ตอนที่ 195 เล่นละคร
เบอร์ดาตอบรับคำขอในการประเมินของอย่างตรงไปตรงมา นี่ทำให้หยางโปที่ฟังอยู่ด้านข้างรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อคิดว่าจะได้รีบทำงานรีบเสร็จงานแล้วจะได้กลับจีน ในใจหยางโปเองจึงดีใจเป็นอย่างมาก
จากนั้น กู้ฉางซุ่นก็ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรออยู่ที่นี่ เขากับพวกหยางโป เดินตามเบอร์ดาที่อยู่ด้านหน้าไปยังห้องสะสม
คฤหาสน์ของเบอร์ดานั้นดูแล้วยิ่งเหมือนป้อมปราการ ไม่เพียงแต่ลานที่มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โต พื้นที่ของสิ่งปลูกสร้างเองก็ไม่เล็กเลย ขณะที่เดินตามหลังเบอร์ดา ทุกคนได้ผ่านสิ่งปลูกสร้างมากมาย เมื่อมาถึงด้านหลังป้อมปราการ ตอนนี้เอง ทุกคนถึงได้เห็นอาคารทันสมัยแห่งหนึ่ง ภายนอกทั่วทั้งอาคารหลังนี้ถูกทาไว้ด้วยสีขาว ดูรูปแบบแล้วเหมือนกับป้อมปราการไม่มีผิด
เบอร์ดาหยุดเท้าลงที่ชั้นล่าง หันมาพูดกับกู้ฉางซุ่นว่า “นี่คือห้องสะสมของผม ทั้งอาคารเป็นองค์ประกอบเดียวกัน ลึกลงไปใต้ดินยี่สิบเมตร ทั้งหมดล้วนใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก!”
เบอร์ดาเพียงอธิบายแค่ประโยคนี้ จากนั้นก็หมุนกายเดินเข้าไปข้างใน
กู้ฉางซุ่นชะงัก ในใจตื่นตระหนก เนื่องจากเขารู้ดีว่าการสร้างอาคารอย่างนี้ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล สามารถสร้างอาคารอย่างนี้ได้ แสดงว่าอีกฝ่ายได้สะสมของไว้มากมาย บางทีอาจไม่จำเป็นต้องขายถ้วยลายไก่ ของอื่นๆ ที่ขาย ก็สามารถหาเงินได้เหมือนกัน เมื่อเป็นอย่างนี้เขาก็ไม่ได้ได้เปรียบกว่าสักเท่าไร
หยางโปเห็นเบอร์ดาเดินไปถึงหน้าประตู ก่อนจะทาบลายนิ้วมือยืนยันตัวตน แล้วก็ใช้รูม่านตายืนยันตัวตนอีกครั้ง ท้ายสุดก็กรอกรหัสผ่าน มาตรการสามชั้นทำให้ผู้คนตกใจจนปากอ้าตาค้าง
เมื่อเดินเข้ามาในอาคาร ก็ราวกับได้เดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง หยางโปเห็นว่ารอบด้านล้วนใช้กระจกครอบของสะสมไว้ ภายในมีการรักษาอุณหูมิและความชื้น สภาพเช่นนี้ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่กู้ฉางซุ่นเองเวลานี้ก็ปิดบังความตื่นตระหนกที่แสดงอยู่บนใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่
ใบหน้าเบอร์ดาปรากฏความลำพองใจ หันไปทางกู้ฉางซุ่นพูดว่า “ในตึกใหญ่ตึกนี้มีของสะสมรวมพันกว่าชิ้น ปีก่อนผมได้เชิญคนมาช่วยผมประเมินราคาโดยเฉพาะ ได้ราคาทั้งหมดเกือบห้าร้อยล้านยูโร!”
กู้ฉางซุ่นพยักหน้า ไม่พูดอะไร เพราะเขาเห็นได้ว่าของสะสมส่วนใหญ่ในห้องล้วนเป็นวัตถุโบราณของประเทศจีน ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่ปล้นและแย่งชิงมาจากจีน!
เบอร์ดาเองก็ไม่สนใจ เขาพาทุกคนเดินหน้าต่อไป ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสอง เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ช้อนตาขึ้นก็จะเห็นว่ากึ่งกลางโถงใหญ่มีที่ที่คลุมด้วยกระจกอยู่ที่หนึ่ง ด้านในเป็นถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วนั่นเอง!
หยางโปเดินไปข้างหน้า มองอย่างถี่ถ้วนแวบหนึ่ง พบว่าตัวถ้วยวาดเป็นไก่ตัวผู้กำลังเชิดหน้าอย่างโอหัง ไก่ตัวเมียกับลูกไก่กำลังจิกตะขาบกิน ลูกไก่อีกสองตัวเล่นกันอยู่ ภาพวาดเหล่านี้ก็คือลายของถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว
เบอร์ดาเห็นพวกหยางโปออกไปข้างหน้า ก็ยิ้มขึ้นมา “คุณกู้ ถ้วยลายไก่อันนี้ของผมไม่มีทางที่จะผิดพลาดไปได้แน่ ปีนั้นปู่ทวดของผมบอกผมด้วยปากของท่านเองว่าถ้วยลายไก่ใบนี้เป็นท่านที่หยิบมาจากพระราชวังของจีนด้วยมือของตัวเอง”
กู้ฉางซุ่นเดือดดาล แต่ยังเอ่ยปากว่า “คุณเบอร์ดาคงไม่รู้เรื่องเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือโบราณวัตถุของจีนมีเทคนิคการทำปลอมที่ลึกซึ้งกว้างไกลเป็นอย่างมาก ในสมัยราชวงศ์ถังซ่ง ก็มีคนที่เริ่มทำเครื่องเคลือบลายครามปลอมแล้ว ดังนั้นผมต้องตรวจสอบให้แน่ใจไว้ดีกว่า”
เบอร์ดาฟังคำอธิบาย ก็ชะงักไปทันที “วิธีโกงแล้วหาเงินจากคนอื่นของประเทศจีนช่างลึกซึ้งกว้างไกลจริงๆ แถมยังมีประวัติความเป็นมาอีกด้วย!”
กู้ฉางซุ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยคำ ด้วยกลัวว่าเบอร์ดาจะไม่ขายถ้วยลายไก่ให้อีก
หยางโปได้ยินคำพูดนี้ กลับเงยหน้าโต้กลับไปว่า “คำพูดนี้ของคุณผิดแล้ว วัฒนธรรมจีนลึกซึ้งกว้างไกล ที่ทำให้เกิดของปลอม ของเลียนแบบขึ้นมาได้นั้น ก็เป็นเพราะมีคนจีนมากมายที่ไล่ตามประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นเพราะมีวัฒนธรรมอย่างนี้รายล้อม ถึงทำให้อารยธรรมจีนมาไกลได้ถึงขนาดนี้”
เบอร์ดาหัวเราะฮ่าฮา “ก็นับว่าโชคดีที่เป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อาจที่จะมีพวกคุณในวันนี้ได้”
หยางโปชะงัก รู้สึกเซ็งเหมือนกินแมลงวันเข้าไป อีกฝ่ายหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างนี้ ความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่ประเทศแพ้สงครามพรรค์นี้ทำให้หยางโปรู้สึกอับอาย!
“สงครามมีแพ้มีชนะ สำหรับพวกเราที่เป็นคนธรรมดาแล้ว ล้วนเป็นความทุกข์ยากเท่านั้น!” กุ้ยหรงจิ่วกล่าว
เบอร์ดากับพ่อบ้านของเขามองตากันพลางยิ้ม ราวกับเป็นผู้ชนะ
หยางโปขมวดคิ้วไม่คลาย แต่ยังใช้สายตาตัวเองมองไปทางถ้วยลายไก่
ถ้วยลายไก่เบื้องหน้าเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เค้าโครงลายเส้นนุ่มนวล ในความตรงมีความลึกลับซับซ้อน ในความโค้งงอมีความตรง แสดงออกมาเป็นเสน่ห์แห่งความงามสง่าและความหมดจด ถ้วยด้านนอกตกแต่งเป็นกลุ่มแม่ไก่สองกลุ่ม ตรงกลางเป็นหินทะเลสาบ ต้นกุหลาบจันทร์ และกล้วยไม้ เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
เนื่องจากกั้นด้วยกระจก จึงไม่สามารถหยิบถ้วยลายไก่ออกมาดูอย่างละเอียดได้ หยางโปดูอยู่ครู่หนึ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ระดับความยากในการประเมินของต้องสูงมาก
แต่สำหรับหยางโปแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย แสงสว่างเบื้องหน้าเขาวาบผ่าน แสงรวมตัวกัน ด้วยความหนาแน่นของออร่า ไม่นานหยางโปก็แน่ใจ
เครื่องเคลือบ “ลายครามลงสี” เริ่มเผาในสมัยเฉิงฮั่วของราชวงศ์หมิง เป็นเครื่องเคลือบสีขาวราวหิมะที่เผาในเตาเผาราชสำนักของเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น ใช้การเคลือบลายครามแบบพิเศษที่เรียบง่ายงดงามของสมัยเฉิงฮั่วทำเป็นเค้าโครงลวดลาย ใช้สีอย่างสีแดง เขียว เหลือง ม่วง ที่วิจิตรงดงามเสริมเติมอยู่บนผิวเคลือบ นำเข้าเตาเผาเผาด้วยอุณหภูมิต่ำสองครั้ง ปรากฏเป็นสีสันแห่งดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ส่องสว่างแพรวพราวซึ่งกันและกัน
ในบันทึกประวติศาสตร์กล่าวไว้ว่า จักรพรรดิเฉิงฮั่วหลงใหลภาพอักษรเป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งเขาชื่นชม 《ภาพแม่ไก่ลูกเจี๊ยบ》 ที่คนในราชวงศ์ซ่งวาด เมื่อเห็นภาพอบอุ่นหวานชื่นที่แม่ไก่พาลูกไก่หลายตัวจิกหาอาหาร ก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก บนภาพภาพนี้นั้นเขียนกลอนเจ็ดอักษรบทหนึ่ง แสดงถึงความรักที่อยากจะปกป้องลูกไก่ของแม่ไก่ อาจเป็นเพราะแบบนี้ จักรพรรดิเฉิงฮั่วจึงแตกหน่ออ่อนของปณิธานที่อยากจะทำถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วขึ้นมา
นักวิชาการอีกคนวิเคราะห์ว่า จุดมุ่งหมายที่วาดไก่นั้นมีสองอย่าง หนึ่งคือปีแรกของรัชสมัยเฉิงฮั่วเป็นปีระกา อีกข้อคือ “ไก่ (จี)” กับ “มงคล (จี๋)” ของคำว่า “สิริมลคล (จี๋เสียง)” ออกเสียงคล้ายกัน
กุ้ยหรงจิ่วหยิบแว่นขยาย จ้องมองถ้วยลายไก่ด้านใน พยายามที่จะค้นหาเบาะแส
เวลาจะประเมินถ้วยลายไก่ ลักษณะวงกลมและสัญลักษณ์ข้างล่างถ้วยล้วนช่วยได้เป็นอย่างมาก แต่สถานการณ์ตรงหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้ ณ ตอนนี้สามารถประเมินได้เพียงแค่ขีดอักษรและสีสันเท่านั้น
ผ่านไปเนิ่นนาน กุ้ยหรงจิ่วก็วางแว่นขยายลง เหมยเฉาหนิงเองไม่นานก็วางลงด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนไม่พูดอะไร
กุ้ยหรงจิ่วควักกล้องถ่ายรูปออกมา ขณะจะถ่ายรูป กลับถูกพ่อบ้านขัดขวางเอาไว้
หยางโปเข้าใจความคิดของกุ้ยหรงจิ่ว เพราะเงื่อนไข ณ ขณะนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะถกปัญหากันตรงๆ ได้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็จะถูกอีกฝ่ายได้ยิน และสามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อการเจรจาที่จะมีต่อไปด้วย ดังนั้นกุ้ยหรงจิ่วจึงคิดจะถ่ายรูปสักสองสามรูป เพื่อใช้เป็นหลักฐานตอนถกกัน
การที่ไม่สามารถที่จะถ่ายรูปได้ ทำให้กุ้ยหรงจิ่วตกตะลึง หยางโปรีบดึงอีกฝ่ายทีหนึ่ง หันไปส่งสายตาให้เหมยเฉาหนิง ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินไปที่มุมห้อง
“เป็นยังไงบ้าง?” เหมยเฉาหนิงหันไปมองกุ้ยหรงจิ่ว
กุ้ยหรงจิ่วลังเลเล็กน้อย หันไปมองทางหยางโป “เธอคิดว่ายังไงล่ะ?”
หยางโปไม่มีท่าทีใดๆ หันไปมองรอบๆ สังเกตเห็นกล้องวงจรปิดที่อยู่ไม่ไกล ใจของเขาก็สะดุด ใบหน้าหนักแน่นจริงจัง ส่ายหัวพูดว่า “ชิ้นนี้ไม่ผิด เป็นของจริง!”
กุ้ยหรงจิ่วประหลาดใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าทำไมการกระทำของหยางโปถึงได้แสดงออกมาเป็นตรงกันข้าม
หยางโปเหมือนจะเข้าใจในจุดนี้ อธิบายว่า “ข้างหลังพวกคุณมีกล้องวงจรปิด อย่าหันไป พวกเราต้องหลอกให้ดูเหมือนเถียงกันอยู่!”