ตอนที่ 390 ถ้ำหินงอกหินย้อย
เป็นอีกครั้งที่มากุ้ยโจว หยางโปและคนอื่น ๆรีบเร่งมาตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงในเมืองนอกหมู่บ้านซื่อสุ่ยก่อนพลบค่ำ
หยางโปลังเลอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดแล้วก็ไม่ได้ไปหาชุยอี้ฝาน กลุ่มของพวกเขาได้เข้าไปหาครอบครัวถึงสองครอบครัวถึงจะพักที่นั้น
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น หยางโปลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เห็นอาจารย์ฉินถือไม้เท้าเดินเข้ามา หยางโปจึงรีบทักทาย เมื่อวานนั่งรถมาอย่างยากลำบาก อาจารย์ควรจะพักผ่อนเยอะๆนะครับ “
อาจารย์ฉินส่ายหัว ” ฉันชินแล้ว เมื่อถึงเวลาก็นอนไม่หลับแล้ว ส่วนคนหนุ่มสาวอย่างพวกนายถึงกระปรี้กระเปร่า และสามารถนอนดึกได้มันน่าอิจฉาจริงๆ “
หยางโปยิ้มจางๆ คุณยังหนุ่มอยู่เลย พักผ่อนสักระยะหนึ่ง สุขภาพก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน !
อาจารย์ฉินส่ายหัว ถือไม้เท้าเดินไปข้างหน้าสองก้าว ซื่อสุ่ยมีประวัติมายาวนาน แม้ว่ามันจะถูกย้ายจากที่อื่นมา แต่พวกเขาย้ายมาแบบมีจุดประสงค์ที่ไม่ธรรมดา !
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อาจารย์ฉินก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย เขาก็หันหลังเดินกลับออกไป
หยางโปมองไปที่เงาด้านหลังของอาจารย์ฉินที่เดินจากไป ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร ซื่อสุ่ยมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ?
โทรศัพท์ดังขึ้น หยางโปหยิบออกมา เห็นข้อความที่ตาอ้วนหลิวส่งมา ในที่สุดคืนนี้พวกเขาก็มาถึง แต่ตอนนี้มันสายมากแล้ว
ประมาณแปดโมงเช้า ทุกคนตื่นนอนหมดแล้ว ล้างหน้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แบกของเอาไปไว้ในเป้ เตรียมของอย่างครบถ้วนแล้วขึ้นรถกันในทันที
สำหรับภารกิจในครั้งนี้ หลูตงซิงระดมบอดี้การ์ดอย่างน้อยยี่สิบคน บอดี้การ์ดพวกนี้ส่วนใหญ่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยและสนับสนุนงานด้านความเรียบร้อย ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการปฏิบัติงานอย่างมาก
รถขับไปอีกด้านหนึ่งของเนินเขาหมู่บ้านซื่อสุ่ย อาจารย์ฉินพาทุกคนออกมาจากรถ เดินไปบนถนนระหว่างกลางสันเขาที่สูงชัน อาจารย์ฉินเดินได้ไม่สะดวก หลูตงซิงได้จัดการสั่งบอดี้การ์ดสองสามคนสลับกันแบกเขา แต่บอดี้การ์ดพวกนี้ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไร มีเสี่ยวอู่คนเดียวที่รับผิดชอบภารกิจนี้ !
เมื่อเห็นร่างกายที่ผอมบางของโหยวเสี่ยวอู่ ลัวย่าวหัวก็ขมวดคิ้วพูด นายว่าเขาจะสามารถปีนขึ้นไปได้ไหม ?
หยางโปชำเลืองมอง เห็นได้ชัดว่าโหยวเสี่ยวอู่มีพละกำลังมากกว่าที่ทุกคนคิด หลังจากเดินไปได้สักพัก สีหน้าของเขาก็แดงจนหายใจไม่สะดวก อย่าเดาส่งเดช นายสะสมพลังงานในร่างกายตัวเองให้ดีก่อนแล้วค่อยมาพูด !
ลัวย่าวหัว เหลียวมองไปทางอาจารย์ฉินอีกครั้ง แล้วเงียบและปีนเขาต่อไป
ถนนบนภูเขาขรุขระ เมื่อทุกคนเดินไปมาตลอดทางใช้เวลามากพอสมควร บวกกับสิ่งของมากมายในเป้ที่แบกมา ไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มหอบหายใจแรงขึ้น
หลูตงซิงนั่งบนก้อนหินที่ยื่นออกมา เขามองออกไปในระยะไกล รอบๆภูเขานี่ การเดินทางไม่สะดวก ทำไมตอนแรกหมู่บ้านซื่อสุ่ยถึงมาตั้งถิ่นฐานที่นี่กันนะ
หยางโปก็มองไปรอบ ๆ ตำแหน่งที่ตั้งทั้งหมดของหมู่บ้านซื่อสุ่ย ตั้งอยู่ตรงกลางภูเขา เชิงเขามีลำธารอยู่สายหนึ่ง แม้ว่าจะตรงตามลักษณะพิเศษของที่ตั้งใกล้กับน้ำ แต่ก็อยู่บนภูเขา หมู่บ้านซื่อสุ่ยไม่เลือกตั้งอยู่ที่ราบ แต่กลับมาตั้งหมู่บ้านอยู่บนเขา มันน่าแปลกใจจริงๆ
เมื่อไปถึงที่นั่น พวกนายก็จะรู้เอง อาจารย์ฉินชี้ไปในที่ระยะไกล
เดินตามหลังอาจารย์ฉินและโหยวเสี่ยวอู่ ทุกคนก็เดินลงเขาไปทางทิศใต้ของหมู่บ้านซื่อสุ่ย ทางด้านทิศเหนือมีความลาดชันเหมือนคมมีด มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แปลกประหลาดเป็นพิเศษแบบนี้ ทำให้ทุกคนเดินอย่างลำบากทีเดียว
ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาจนถึงเชิงเขา แม่น้ำก็ไหลผ่าน อาจารย์ฉินยืนอยู่ด้านหน้าของแม่น้ำ มองและชี้ไปข้างหน้า มีถ้ำอยู่ตรงนั้น นั่นก็คือปลายทางแล้ว
พูดไปอาจารย์ฉินยังชี้ไปที่แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและสั่งกำชับว่า ส่งคนสองคนไปจัดแต่งเชือกนิรภัยให้เรียบร้อย
หลูตงซิงเข้าใจความหมายของอาจารย์ฉินในทันที เขาจัดคนสองคนและสั่งกำชับพวกเขาอีกครั้ง
ในไม่ช้าหยางโปก็เห็นบอดี้การ์ดสองคน แบกเชือกหนายาวบนไหล่ พลางเอาเชือกออกมาวางลง พลางเดินไปข้างหน้า เชือกทั้งสองถูกร้อยรวมกัน พอดีจนสร้างเป็นสะพานเชือกคู่หนึ่งที่ปลอดภัยได้แล้ว
เมื่อมีสัญญาณความปลอดภัยดังมาจากด้านใน ทุกคนถึงได้เดินตามไป
หยางโปแบกเป้ เดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน ก้นแม่น้ำลื่นเล็กน้อย โชคดีที่เชือกทั้งสองมีบทบาทอย่างมาก
หลังจากข้ามแม่น้ำไปและเข้าไปในถ้ำ หยางโปก็เห็นในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย ทุกคนจ้องมองไปก็ไม่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากนัก นี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปของการเคลื่อนย้ายของเปลือกโลก ไม่ได้เป็นสถานที่มหัศจรรย์มากมายอะไร
ลัวย่าวหัวจ้องมองหินย้อย ตามที่นักวิทยาศาสตร์กล่าว หินงอกเป็นเสมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ทำให้ผู้คนได้เห็นร่องรอยการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของวิวัฒนาการของพวกมัน
อาจารย์ฉินมองไปทางกลุ่ม แล้วเดินตรงเข้าไป
หยางโปโค้งตัวเดินอ้อมหินย้อยออกไป เดินไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ยืดตัวตรงขึ้น เขารู้สึกได้ถึงแสงตรงด้านหน้า ทันใดนั้นเขาก็เห็นหินงอกหินย้อยสูงตระหง่านปรากฏขึ้นต่อหน้าของเขา มันสูงสามถึงสี่เมตรได้ !
หินงอกหินย้อยสีขาวขุ่นใส ภายใต้แสง มันดูพร่างพราวแวววับ ดูแล้วเหมือนฝันเหมือนภาพหลอน ทำให้คนตกอยู่ในภวังค์และหลงใหลไปในชั่วขณะ
มีแผ่นที่อยู่ด้านบนนี้ ! หยางโปจ้องมอง ไม่นานก็พบปัญหาทุกอย่างที่มีอย่างรวดเร็ว
ทุกคนล้อมรอบเข้าไป เห็นร่องรอยของภาพแกะสลักบนหินงอกหินย้อยสีขาวหิมะเพราะสาเหตุของแสง จึงทำให้ภาพแกะสลักพวกนี้เห็นได้ไม่ค่อยชัด ดังนั้นทุกคนทำได้เพียงเอาไฟฉายส่องไปในมุมที่มีการเปลี่ยนแปลง ถึงเห็นแผนที่บนหินงอกหินย้อยนี้
….
ซิงเหย๋ชิ้งยืนอยู่กลางบ้านของซุนหนีที่หมู่บ้านซื่อสุ่ย เขาฟังเรื่องราวที่เซอเจ๋อพูดเกี่ยวกับซุนหนี รวมทั้งการหายตัวไปของเขา
เมื่อได้ยินว่าซุนหนีถูกคู่อริ พบเข้า และตกลงไปจากหน้าผาพร้อมกัน ซิงเหย๋ชิ้งก็ตกใจขึ้นมาทันที
เซอเจ๋อจวุ่นชื่อของนายฟังดูดีมาก ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อของนายเหมือนกับได้ยินแบรนด์กุชชี่จากอิตาลียังไงอย่างนั้น แค่เหมือนบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างซุนหนี ถ้าเขาถูกคนธรรมดาคนหนึ่งฆ่าตายได้ ? มันก็เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว !
สีหน้าเซอเจ๋อมีความโกรธโผล่ออกมา คุณพูดว่าอะไรนะ
ซิงเหย๋ชิ้งรีบตอบสนองทันที เซอเจ๋อจวุ่น นายก็รู้ว่า ฉันเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากของประเทศญี่ปุ่น ฉันศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศของพวกคุณมาอย่างดี โดยเฉพาะศึกษาประวัติศาสตร์ของชนกลุ่มน้อยซะเป็นส่วนใหญ่ สำหรับชื่อเสียงของซุนหนีนั้น ฉันก็พอได้ยินมาบ้าง !
เมื่อเห็นสีหน้าโมโหของเซอเจ๋อผ่อนคลายลง ซิงเหย๋ชิ้งก็พูดต่อว่า ฉันมาที่นี่ครั้งนี้ เพื่อต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเผ่าอี้ให้มากขึ้น ร่วมทั้งศาสนาหนึ่งของชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่เป็นเรื่องราวที่ซุนหนีเคยทำมา ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวของเขาเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มันคุ้มค่ากับที่ฉันจะศึกษาไปตลอดชีวิต !
เซอเจ๋อจวุ่นมองซิงเหย๋ชิ้ง เขาพยักหน้า ซุนหนีเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เขาควรจะมีคนเขียนเล่าประวัติของเขาออกมาบ้าง
ซิงเหย๋ชิ้งพยักหน้า เขาพูดออกไปเหมือนจะไม่สนใจ ใช่ ฉันแค่อยากจะถาม นายรู้รึเปล่าว่าซุนหนีได้ทิ้งเอกสารอักษรของหนังสือบางประเภทเอาไว้ไหม ?