ตอนที่ 211 สืบถาม
หยางโปที่ออกไปซื้อโสมคน ยืนอยู่นอกประตู พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็หิ้วโสมคนตรงไปทางด้านนอก
ป้าเห็นหยางโปจะออกไปข้างนอก ก็รีบถามว่า “เสี่ยวโป เธอจะไปไหนน่ะ?”
“ผมมีธุระนิดหน่อยน่ะครับ” หยางโปบอก
ป้ามองห่อโสมคนอย่างดีที่หิ้วอยู่ในมือหยางโป ก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
เมื่อกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วย ป้าก็เห็นเฉิงหยวนซานกำลังคุยกับพ่อของหยางโปเสียงดัง เธอเอ่ยปากถามว่า “เสี่ยวโปเป็นอะไรไป? ในมือหิ้วโสมคนเกรดสูงมา ทำไมถึงไปซะแล้วล่ะ?”
พ่อหยางอ้าปากด่ากราดทันที “ไอ้ลูกอกตัญญู ซื้อของดีๆ มาแต่ไม่เอามาให้พ่อมันกิน หรือว่ายังจะเอาไปให้ขอทานกัน? หรือเพราะฉันเคยพูดจาว่าร้ายมัน? ฉันก็เลยไม่ได้ของ!”
ในห้องพักผู้ป่วยเงียบลง ทุกคนล้วนนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ พ่อหยางแค่นเสียงเย็นชา ไม่พูดอะไรอีก หลังด่าแล้ว เขาก็กระจ่างขึ้นมา เมื่อกี้หยางโปต้องได้ยินเรื่องที่คุยกันข้างในแน่ แต่ได้ยินแล้วยังไง?
ป้าผงกศีรษะ “ก็ใช่น่ะสิ เสี่ยวโปก็อย่างนั้นล่ะ ซื้อของมาแต่ไม่เอามาให้ในห้อง หรือว่าจะเอาไปให้ที่ข้างนอกได้? พ่อของเขาไม่ได้อยู่ข้างนอกสักหน่อยนี่!”
…….
หงอวี้ลงมาจากรถ เห็นหน้าประตูใหญ่เขียนอักษรจีนตัวย่ออยู่หลายอักษรว่า “โรงพยาบาลประชาชนมณฑลเจียงซู”!
“อยู่ที่นี่ใช่รึเปล่า?” หงอวี้พูด อักษรจีนตัวย่อพวกนี้ เขาไม่รู้จักเลยสักตัวเดียว แต่ก็เดาได้ประมาณหนึ่ง
“เป็นที่นี่ครับ” ชุยอี้ผิงบอก
ชุยอี้ผิงเป็นคนปักกิ่ง เขาไปเรียนที่เยอรมัน ครั้งนี้ได้กลับมาพร้อมกันกับหงอวี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจไปด้วยเหมือนกัน เขาหันไปมอง เห็นร่างของหงซิ่วซิ่วสวมชุดสีแดง ใส่แว่นกันแดดสีดำทรงนักบิน ยืนอยู่เช่นกัน
“หวังว่าจะไม่ผิดที่นะ” หงซิ่วซิ่วเอ่ยปาก
พูดแล้ว หงซิ่วซิ่วก็หันกาย รับของขวัญจากมือบอดี้การ์ด ก่อนกำชับอีกครั้งว่า “อีกเดี๋ยว พวกเธอก็รอบนรถแล้วกัน พวกฉันจะขึ้นไปกันสามคน”
“คุณหนู” บอดี้การ์ดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หงอวี้ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ยิ้มอย่างเบิกบาน เขาหันไปมองชุยอี้ผิง เห็นเขารับของขวัญส่วนใหญ่ไปแล้ว ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จึงหันไปพูดกับบอดี้การ์ดว่า “ฟังที่คุณหนูใหญ่พูดเถอะ! ที่นี่เป็นประเทศจีน ไม่มีปัญหาเรื่องความไม่สงบหรอก”
เห็นบอดี้การ์ดยังคงมีสีหน้าไม่เห็นด้วย หงอวี้จึงได้แต่พูดว่า “ฉันว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน ให้นายหนึ่งคนตามไป ส่วนคนอื่นไม่ต้องตามมา”
พูดแล้ว หงอวี้ก็หันกายเดินเข้าไปในโรงพยาบาล
ในโรงพยาบาลสว่างและสะอาด ไม่ได้แตกต่างจากโรงพยาบาลที่เยอรมันมากนัก หงอวี้เพิ่งวิ่งหนีออกมาจากดงกลิ่นฟอร์มาลีน คาดไม่ถึงว่าแป๊บเดียวเขาก็กลับมาในดงนี้อีกแล้ว
หาห้องพักผู้ป่วยที่ได้ถามล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว พวกเขายืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย หงอวี้หันไปทางชุยอี้ผิงถามว่า “เธอมาหาเขาไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เหรอ?”
ชุยอี้ผิงพยักหน้า “พี่หง ผมยังจะหลอกอะไรพี่ได้?”
พูดจบ ชุยอี้ผิงก็เร่งว่า “ตอนที่หยางโปอยู่ที่เมืองหลวง ในเมื่อพวกเรามากันแล้ว ก็เข้าไปทักทายคุณลุงคุณป้ากันสักหน่อยก่อน ผมเองก็มีเรื่องอยากจะถามอยู่เรื่องหนึ่ง
หงอวี้พยักหน้า มองของขวัญในมือชุยอี้ผิงกับน้องสาวอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรเสียมารยาท จึงเคาะประตูห้อง
“ใครน่ะ!”
มีเสียงหนึ่งถามออกมาจากในห้องพักผู้ป่วย หงอวี้รีบพูดว่า “ผมมาเยี่ยมคุณลุงหยางครับ”
“เชิญเข้ามา!”
ไม่รอให้หงอวี้อธิบายเพิ่มเติม คนด้านในก็ให้เขาเข้าไป
เมื่อเข้าประตูมา หงอวี้ก็เห็นว่าสี่ด้านของห้องผู้ป่วยมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย เขาเองก็เห็นคนด้านในไม่ชัด จึงได้แต่เอาสายตาวางไว้ที่เตียงผู้ป่วยกลางห้อง ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไป “คุณลุงหยาง สวัสดีครับ!”
พ่อหยางมอง “สวัสดี เธอคือ?”
หงอวี้ชี้ไปที่ด้านหลัง “คุณลุงหยาง พวกเราทั้งหมดเป็นเพื่อนของหยางโป ได้ยินข่าวว่าคุณลุงไม่สบาย เลยมาเยี่ยมครับ!”
พ่อหยางมองอาหารเสริมที่มีมูลค่าไม่น้อยด้านหลังหงอวี้แวบหนึ่ง เขาเอ่ยปากว่า “นั่งก่อนๆ!”
หงอวี้ยิ้ม ก่อนจะเห็นว่ามีคนหาที่ให้พวกเขาทั้งสามคนนั่ง เขารีบพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ!”
แม้จะพูดแบบนี้ แต่หงอวี้ก็ยังหาที่นั่งนั่งลงไป หงซิ่วซิ่วกับชุยอี้ผิง ยืนอยู่ด้านหนึ่ง
หงอวี้ยิ้มพลางอธิบายว่า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ ก่อนหน้านี้ผมได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย จะเหนื่อยมากไม่ได้ เรื่องที่ผมนั่งนี่ ทุกคนอย่าได้ตำหนิเลยนะครับ”
“เกรงใจกันไปแล้ว” พ่อหยางกล่าว
หงอวี้ยิ้มก่อนจะแนะนำชื่อทั้งสามคน แล้วนั่งหน้าเตียงผู้ป่วยคุยกับพ่อหยาง
“พวกเธอเป็นเพื่อนหยางโปเหรอ? เป็นคนที่ไหนล่ะ” พ่อหยางถาม
“ผมกับน้องสาวเป็นคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อี้ผิงเป็นคนปักกิ่ง” หงอวี้ตอบ
ชุยอี้ผิงนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ฟังเรื่องเปื่อยไร้สาระ เขาจ้องพ่อกับแม่หยางโป พยายามที่จะหาจุดของหน้าตาที่เป็นลักษณะเฉพาะของหยางโปออกมาจากตัวของทั้งสองคน
เรื่องรูปลักษณ์นั้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงตรงหน้า แต่บางครั้งก็ยังมีการยึดเอาอารมณ์ความคิดตัวเองเป็นหลักอยู่ ก็เหมือนตอนนี้ ชุยอี้ผิงจับจ้องพ่อแม่หยางโป เมื่อมองทั้งสองคน ไม่ว่าจะมองยังไงก็หาลักษณะเฉพาะออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าหยางโปกับคนทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถที่จะชี้ขาดด้วยวิธีอย่างนี้ได้ ชุยอี้ผิงจึงคิดที่จะหยั่งเชิงสักเล็กน้อย
ฉวยอากาสตอนที่การพูดคุยหยุดชะงัก ชุยอี้ผิงมองไปทางแม่หยาง “คุณน้าครับ ผมกับหยางโปรู้จักกันมาครึ่งปีกว่าแล้ว แต่ยังไม่รู้วันเกิดของเขาเลย เขาเกิดเมื่อไหร่เหรอครับ?”
แม่สนใจหงอวี้มาตลอด พอได้ยินคำถามของชุยอี้ผิง ก็ชะงักเล็กน้อย “เสี่ยวโปน่ะหรือ วันเกิดของเขา…”
เสียงของแม่สะดุดลง ก่อนจะครุ่นคิด เมื่อวานที่ลุงหลุดปากพูดนั้น เธอก็รู้สึกว่าหยางโปเปลี่ยนไปมาก วันนี้ที่มามอบของขวัญ ล้วนแต่เป็นเพื่อนของหยางโป จะเป็นไปได้ไหมว่าเป็นเขาส่งมาหยั่งเชิง? นอกจากนี้ เมื่อกี้ป้าของหยางโปเองก็บอกว่าเจอหยางโป เขารีบร้อนออกไปขนาดนี้ หรือก็เพื่อเพราะเวลานี้?
เมื่อคิดอย่างนี้ แม่จึงเปิดปากว่า “หยางโปเกิดวันที่ 19 ม.ค. ปี 85”
ชุยอี้ผิงได้ยินคำตอบ ก็ชะงักไปเล็กน้อย เพราะเขาเคยถามไปแล้ว คนที่เขาต้องการจะหานั้นเกิดเดือนพฤษภาคม หยางโปโตกว่าคนคนนั้นไปสี่เดือน
“ก่อนหน้านี้ผมได้ยินว่า หยางโปเรียนไม่จบ ม.ปลาย” แม้ว่าจะผิดหวัง ชุยอี้ผิงก็ยังเอ่ยปากถามขึ้น
ชุยอี้ผิงขาดการฝึกฝนเทคนิคการพูดที่สำคัญ ดังนั้นเมื่อถามขึ้น วัตถุประสงค์จึงดูชัดเจนจนผิดปกติ แม้แต่แม่หยางเองยังรู้สึกได้ถึงการหยั่งเชิงล้วงภูมิหลังของหยางโป
โชคดีที่ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของหยางโปเรียบง่าย ไม่มีอะไรมีค่าให้เอ่ยถึงตั้งแต่ต้น
ชุยอี้ผิงถามอีกฝ่ายตลอดสองสามชั่วโมง ก็ไม่สามารถถามความคืบหน้าที่สำคัญๆ ได้เลย ถึงขนาดถูกชักพาไปผิดทาง
หงอวี้กับชายชราคุยกันอยู่นานมาก พอเห็นด้านชุยอี้ผิงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แม้ว่าจะไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่หงอวี้ก็ยังช่วยพูดว่า “เมื่อก่อนหยางโปใช้ชีวิตเรียบง่ายขนาดนี้เลยเหรอครับ!”
แม่หยางพยักหน้า “หยางโปฉลาดเฉลียวมาตลอด แล้วก็ไม่เคยไปทำเรื่องนอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้นคนในบ้านเลยรู้สึกวางใจเขามาก”
หงอวี้ยิ้ม “นั่นสิครับ วันก่อนผมโทรหาเขา เขาบอกว่าอยู่ที่ปักกิ่ง ผมไม่ได้รอเขาก็รีบมาที่นี่เลย”
“เอ๊ะ เสี่ยวโปมาแล้วนะ สายวันนี้ยังอยู่อยู่เลย เมื่อกี้ก็ออกไปซื้อของ” แม่หยางกล่าว