ตอนที่ 219 พิธีกรรม
“จะเป็นไปได้ยังไง? จะมีภาพของจริงสองอันไปได้ยังไง?”
คนนั้นตะโกนขึ้นมาทันที
เยว่เหยี่ยนจ้องเขม็งไป “เยว่หย่ง ไม่ต้องพูด ให้คุณหยางพูดให้จบก่อน!”
หยางโปพยักหน้า เขามองไปทางเยว่เหยี่ยน “ตาเฒ่าเยว่ ไม่รู้ว่าคุณได้ศึกษาเรื่องภาพวาดไหม?”
เยว่เหยี่ยนส่ายหน้า “ฉันไม่ได้ศึกษา นายเป็นคนตัดสิน นายว่ามาเลย นายพูดว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้น!”
ทุกคนมองหน้ากันและกัน ไม่มีใครคาดคิดถึงว่าเยว่เหยี่ยนจะถึงกับเชื่อมั่นในหยางโปขนาดนี้
หยางโปจนปัญญา จำต้องมองไปทางตาอ้วนหลิว “นายมาสัมผัสกระดาษดู”
ตาอ้วนหลิวประหลาดใจมาก เดินขึ้นหน้าไป เขายื่นมือไปหยิบถุงมือ กำลังจะสวม หยางโปก็เอ่ยห้าม “ไม่ต้องสวมถุงมือ”
ตาอ้วนหลิวงุนงงเล็กน้อย เขายื่นมือไปสัมผัสขอบกระดาษ เยว่ปินที่ยืนอยู่ด้านข้างร้อนใจมาก เพราะว่าอายุของภาพนี้ยาวนานมาก ตามหลักเหตุผลแล้วไม่สามารถเอามือสัมผัสได้โดยตรง เพราะว่าบนฝ่ามือมีเหงื่อ ง่ายมากที่เหงื่อจะซึมเข้าไปในกระดาษและทำให้อายุขัยของภาพหดสั้นลง
หลังจากตาอ้วนหลิวสัมผัสแล้ว ก็เงยหน้ามองมาทางหยางโปอย่างสงสัยมาก
“คุณคิดว่าระดับความหนาของภาพนี้เป็นยังไง?” หยางโปเอ่ยเตือน
ตาอ้วนหลิวตกใจมาก ยื่นมือไปสัมผัสอย่างระมัดระวังอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ค้อมกายลงไปจ้องมองกระดาษ ไม่นานเขาก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “อย่าบอกนะว่านี่คือการเปิดภาพ?”
“เปิดภาพ?” เยว่เหยี่ยนมองมาอย่างสงสัย ชัดเจนว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของการเปิดภาพเลยแม้แต่น้อย
ตาอ้วนหลิวกล่าวอธิบาย “ก็คือการนำภาพหนึ่งมาตัดออกเป็นสองภาพ!”
“ตัดออกเป็นสองภาพ?” เยว่เหยี่ยนมองมาอย่างตกตะลึง
ตาอ้วนหลิวพยักหน้า “ใช่แล้ว ตัดจากหน้ากระดาษออกมา คนธรรมดายากที่จะมองออกแต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญแล้ว การเปิดภาพไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น”
เยว่เหยี่ยนมองไปทางหยางโป หยางโปพยักหน้าแล้วกล่าวอธิบายว่า “ภาพนั้นในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิงเป็นยังไง ฉันก็ไม่เคยเห็น แต่ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้านี้ ผมกลับยืนยันได้ว่าภาพนี้เป็นของจริง!”
กล่าวตอบ หยางโปก็ชี้ไปที่ไปที่ขอบมุมของกระดาษที่ใช้วาดภาพ “ช่างฝีมือผู้ที่เปิดภาพนี้มีทักษะสูงมาก ทุกคนดูตรงนี้ รอยตัดราบเรียบมาก ความหนาแทบจะเสมอกัน แต่ว่ามีตำแหน่งของหมึกที่ดูอ่อนบางไปเล็กน้อยเพราะความชุ่มของน้ำหมึก”
เยว่หย่งจ้องเขม็ง “นี่ก็เป็นได้ว่าคุณภาพกระดาษแย่ เดิมทีก็หนาไม่เท่ากันอยู่แล้ว!”
หยางโปพยักหน้า “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล”
กล่าวจบ หยางโปชี้ไปบริเวณแสงไฟที่อยู่ตรงกลางของภาพแล้วกล่าว “หวางเมิงเป็นจิตรกรดังปลายสมัยราชวงศ์หยวนต้นราชวงศ์หมิง ฝีมือวาดภาพของเขาประณีตมาก ทั้งมีรูปแบบที่เป็นอิสระเบาสบาย แต่ว่าจุดนี้ แท่งเทียนมีตำหนิอย่างเห็นได้ชัด แสงไฟก็ปรากฏช่องว่าง นี่ไม่สมควรอย่างยิ่ง!”
“ปรากฏเรื่องแบบนี้ ก็เป็นเพราะว่าภาพนี้เป็นชั้นล่างของการเปิดภาพ ความชุ่มของน้ำหมึกเติมเต็มไม่พอ ถึงได้เกิดรอยตำหนิของน้ำหมึก ถึงขนาดเกิดขึ้นหลายครั้งในภาพ!”
ขณะที่กล่าวอยู่ หยางโปก็ชี้ไปที่หลายตำแหน่ง ทุกคนก็มองออกว่าบริเวณเหล่านั้นน้ำหมึกอ่อนจาง ถึงขนาดเหลือจุดขาวที่ไม่ควรปรากฏไว้
เยว่หย่งโง่งมไปเล็กน้อย เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมิณ เรื่องภาพวาดเดิมทีก็รู้แค่หางอึ่ง หยางโปอธิบายมาสองประโยค เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะโต้กลับยังไงแล้ว
ขณะที่เยว่เหยี่ยนก้มหน้ามองดูนั้นก็หันไปทางหยางโป “หยางโป ตอนนี้เวลากระชั้นชิด ฉันขอถามนายแค่ประโยคเดียว ภาพนี้ที่จริงแล้วนับเป็นของจริงไหม!”
หยางโปพยักหน้า “นับ!”
เยว่เหยี่ยนเอ่ยปากทันที “งั้นก็ดี ตอนนี้ก็แขวนขึ้นไปเลย! ไม่ต้องโต้เถียงกันแล้ว ทุกคนรีบกลับไปที่นั่งของตนเอง อีกเดี๋ยวอย่าได้ทำให้เกิดอะไรผิดพลาด!”
ทุกคนตอบรับแล้วจากไป เยว่ปินขอบคุณหยางโป หยางโปกล่าวถ่อมตนหลายประโยคแล้วจึงค่อยจากมา
ศาลบรรพชนตระกูลเยว่ก่อสร้างปรับปรุงใหม่ เพิ่มโซนจัดแสดงเข้ามาใหม่ ชนรุ่นหลังตระกูลเยว่บริจาคของโบราณที่เกี่ยวข้องมาไม่น้อย ทำให้ศาลบรรพชนตระกูลเยว่คุ้มค่าในการเที่ยวชม
พวกหยางโปสามคนเดินวนรอบหนึ่ง ตอนที่มาถึงอาราม พิธีการก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ทุกคนยุ่งวุ่นวายกันมาก แต่ก็ไม่มีใครสนใจดูแลพวกเขาทั้งสามคน ทั้งสามคนจึงหาที่หนึ่งแล้วยืนนิ่ง มองทุกคนเดินนำไปที่เวทีด้านหน้า
พิธีกรถือไมโครโฟน “ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงาน นี่คือพิธีการเปิดศาลบรรพชนของตระกูลเยว่และการรำลึกเฉลิมฉลองวันครบรอบวันเกิดปีที่ 910 ของเยว่เฟย!”
….
“ต่อไปขอเชิญแขกจากสภาเมืองชางโจวของพรรคคอมมิวนิสต์…สหายกล่าวปาฐกถา!”
“ต่อไปขอเชิญ…”
หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองท่านกล่าวเปิดเสร็จสิ้นแล้ว สุดท้ายก็เป็นคราวของเยว่เหยี่ยน ถ้าหากเสียงปรบมือของการกล่าวเมื่อครู่ยังเบาบางไปสักหน่อย พอเยว่เหยี่ยนขึ้นเวทีแล้วเสียงปรบมือก็ดังสนั่นทำให้ผู้ใหญ่มีสีหน้าเปลี่ยนสี
เยว่เหยี่ยนอยู่ในชางโจวมาทั้งชีวิต มีฉายาไปกว่าครึ่งชางโจว แน่นอนว่าไม่กลัวเรื่องเล็กแค่นี้ เขายืนบนเวทีอย่างมั่นคงแล้วมีท่วงท่าแบบนักยุทธ์ด้วยตนเอง!
เยว่เหยี่ยนถือไมโครโฟนแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้ใหญ่ทุกท่าน ขอบคุณชนรุ่นหลังของตระกูลเยว่ ขอบคุณแขกทุกท่านที่มาเข้าร่วมเฉลิมฉลองกับพวกเรา ณ ที่นี่! ขอบคุณทุกท่าน!”
เยว่เหยี่ยนกล่าวจบแล้วก็คำนับ เรียกเสียงปรบมือก็ดังเซ็งแซ่อีกครั้ง
“เซ่าซิง วันที่ 29 เดือนธันวาคม ปีที่ 11 ฉินฮุ่ยตั้งข้อหาอุกฉกรรจ์ว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ บรรพบุรุษเยว่เฟยวางยาพิษเฟิงป๋อถิงที่หลินอัน จางเสี้ยน นายทหารให้บัญชาการของเยว่เฟย รวมทั้งลูกชายเยว่อวิ๋นถูกหั่นร่างที่หน้าประตูเมือง ก่อนที่จะตายเยว่เฟยได้สารภาพไว้ว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง เข้าใจแจ่มแจ้ง แปดคำ”
“ข่าวร้ายมาถึง ลูกคนชายคนที่ห้าของเยว่เฟย เยว่ถิงลอบไปที่แม่น้ำฉางเจียงในคืนเดียวกัน เปลี่ยนเป็นแซ่เอ้อ หลีกหนีจากสังคมอยู่ในเมืองริมแม่น้ำใหญ่หวงโฮ ต่อมาเขาได้ย้ายเข้าไปตระกูลเนี่ย 21 ปีให้หลัง จักรพรรดิเสี้ยวซงเพื่อชดเชยให้กับความไม่เป็นธรรมของบรรพบุรุษเยว่เฟยและลูก เยว่ถิงจึงได้คืนกลับเป็นแซ่เยว่ ได้ตำแหน่งในราชสำนักเป็นเจ้ากรม ดูแลถานโจวเพื่อป้องกันชายแดนจงเจิ้ง”
“ปลายราชวงศ์ซ่งต้นราชวงศ์หยวน ภัยแล้งและภัยสงคราม ลูกหลานของเยว่ถิงฉวยโอกาสอพยพร่อนเร่ไปถึงฮั่นชวน และเริ่มตั้งรกรากสร้างครอบครัวที่นี่ สืบทอดมาจนถึงลูกหลานรุ่นที่สิบเอ็ด มีสี่พี่น้องเยว่ทง เยว่ฉวน เยว่ต๋า เยว่เป่ย”
“เยว่ทงเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊ มีความชอบในการรบหลายครั้ง ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพเมืองเจียงหนิงแห่งเจียงเฉิง เขากำลังจะจัดงานเลี้ยงกองทัพของหวางจูตี้ก็บุกตะลุยทั้งเหนือใต้ ละทิ้งความโปรดปรานของจักรพรรดิและตั้งตนครองบัลลังก์ ย้ายเมืองหลวงไปที่ปักกิ่ง เยว่ทงรับใช้จักรพรรดิอย่างเต็มกำลัง
จากนั้นปีหย่งเล่อที่สองก็ติดตามจักรพรรดิไปที่งานเลี้ยง ตั้งรกรากที่จิ้งไห่ ตั้งตนเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหว่าจือ”
“เนื่องจากผู้คนจำนวนมากอพยพขึ้นเหนือ น้องชายคนที่สองของเยว่ถง เยว่ฉวนจึงย้ายมาถึงชางโจว น้องชายคนที่สามเยว่ต๋าตั้งรกรากที่ซานตง เยว่เป่ยน้องชายคนที่สี่ตั้งถิ่นฐานที่อวี้เซิ่ง พวกเราสายชางโจวนี้ก็คือลูกหลานของเยว่ฉวน! และเป็นเลือดเนื้อของตระกูลเยว่!”
“ร่างกายผิวพรรณได้รับมาจากพ่อแม่ ไม่กล้าทำร้าย ทั้งต้องกตัญญู สามสิบกว่าปีก่อน ฉันก็เริ่มค้นหาสิ่งของประจำตระกูลของตระกูลเยว่ ติดต่อชนรุ่นหลังของตระกูลทั่วทั้งประเทศ”
“เพียงแต่เวลาผ่านไป ประวัติศาสตร์พื้นที่มากมายของตระกูลไม่อาจสืบค้นได้ มีเพียงสายของเยว่ถงที่เหลืออยู่ที่จิ่งเฉิงยังคงหลงเหลือผังตระกูลสืบลงมา แต่ทว่าจากนั้นก็เชื่อมต่อไม่ติดแล้ว”
“ในเมื่อปีนี้ ฉันได้วิ่งวุ่นไปหลายทาง ท้ายสุดแล้วก็สามารถซ่อมแซมศาลบรรพชนตระกูลเยว่ได้ ทุกสายให้การร่วมมืออาสาบริจาคเงินทองข้าวของอย่างแข็งขัน ฉันขอขอบคุณทุกคนมา ณ ที่นี้ ขณะเดียวกันก็ขอขอบคุณแขกผู้ใหญ่ทุกท่านที่เมตตาและให้การสนับสนุนอีกด้วย!”
“ศาลบรรพชนตระกูลเยว่วันนี้ได้เปิดออกแล้ว นี่คือปฐมบท ความสัมพันธ์ของทุกแขนงทุกสายก็จะยิ่งแน่นแฟ้น! ตระกูลเยว่ก็จะยิ่งเป็นปึกแผ่น! ฉันหวังว่าชนรุ่นหลังของตระกูลเยว่จะยิ่งยอดเยี่ยม!”
เสียงปรบมือด้านล่างเวทีดังราวกับสายฟ้า หลังจากนั้นเสียงประทัดก็ดังสนั่นขึ้นจนหูแทบหนวกอย่างรวดเร็ว!