ตอนที่ 228 แลกเปลี่ยน
ระหว่างที่หยางโปเดินไปรอบๆบ้าน ลัวย่าวหัวที่รู้ว่าหยางโปต้องการจะซื้อที่นี่เขาก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ที่นี่มันไม่ได้ใหญ่นะ อย่างน้อยๆซื่อเหอย่วนก็ต้องมีสองสามขั้นแหละถึงจะโอเค”
หยางโป “นายนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย บ้านหลังนี้มีราคาอย่างน้อยๆหนึ่งพันล้านเลยนะ ถ้าหากเป็นบ้านสองชั้นอาจจะมีราคามากกว่าสองพันล้านด้วยซ้ำ ส่วนถ้าเป็นสามชั้นคงจะห้าพันล้านนู้นแหละ”
ลัวย่าวหัว “นายก็รีบบอกสิว่านายยังขาดเหลือเท่าไหร่ฉันจะได้ให้นายยืม”
หยางโปมองไปรอบๆ “ที่นี่ไม่เลวเลยฉันว่าฉันจะซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้หลังจากนี้ถ้าหากเจอบ้านที่มีสองสามชั้นที่ดูเหมาะสมกับราคาแล้วก็ถูกใจฉันอาจจะยืมเงินนายอีกที”
ลัวย่าวหัวกรอกตาไปมา “นายเอาเงินฉันไปลงทุนนั่นแหละเป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุดแล้ว”
หยางโปยิ้มก่อนที่จะหันไปมองตาเฒ่าเว่ย “เป็นยังไงบ้างครับ?”
อีกฝ่ายหันมา “เข้ามาคุยด้านในก่อนสิ”
หยางโปพยักหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในห้อง ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีกเพราะดูเหมือนว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีมากกว่าครึ่งแล้ว และบ้านซื่อเหอย่วนเองก็ไม่ได้หาซื้อได้ง่ายๆอย่างที่ลัวย่าวหัวพูดและมันก็มีจำนวนจำกัดด้วย มีคนจำนวนมากที่ไม่มีทางยอมขายบ้านพวกนี้เด็ดขาดต่อให้ยอมจ่ายเท่าไหร่ก็ตาม
หลังจากที่ทั้งสองคนนั่งลงแล้วตาเฒ่าเว่ยก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหยางครับผมคิดว่าถ้าหากคุณสามารถให้ราคาที่เหมาะสมได้เราน่าจะสามารถทำการแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ”
หยางโป “งั้นคุณก็ลองเสนอราคามาดูสิครับ”
“หนึ่งพันแปดร้อยล้าน!”
หยางโปขมวดคิ้วเข้าหากันถึงแม้ว่าบ้านพวกนี้จะมีราคาสูงมากแถมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ราคาที่อีกฝ่ายเสนอมามันยังสูงเกินไปแถมยังสูงกว่าราคาตลาดมากอีกด้วย อีกอย่างหยางโปก็คิดว่ามากสุดบ้านหลังนี้คงได้แค่หนึ่งพันล้านหยวนเท่านั้น
“ถ้าราคาหนึ่งพันแปดร้อยล้านหยวนก็ตกเฉลี่ยอยู่ที่หกหมื่น แต่ผมคิดว่ามันควรจะอยู่ที่ประมาณสามหมื่นก็น่าจะพอแล้วนะครับ ถ้าเป็นราคาเก้าร้อยห้าสิบล้านหยวนผมคิดว่าน่าจะเป็นราคาที่เหมาะสมกว่า”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีหลังจากที่ได้ยินราคาของอีกฝ่ายอันที่จริงหากยึดตามที่หยางโปพูดอย่างน้อยๆก็ต้องใช้เงินลงทุนอยู่ที่แปดร้อยกว่าล้านถึงจะสามารถขอกรีนการ์ดได้ ถ้าหากเขาสามารถขายออกได้หนึ่งพันแปดร้อยล้านเขาก็จะยังเหลือเงินเก็บอีกพันล้านหยวนซึ่งมันสามารถนำไปใช้เพื่อเลี้ยงชีพพวกเขาได้ตลอดชีวิต
“คุณหยางครับ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าบ้านที่นี่เป็นสิ่งที่ผมรักษาเท่าชีวิตแถมยังเป็นแหล่งทำเงินของผมอีกด้วย ถ้าหากผมขายมันไปผมก็ไม่มีที่ไปแล้ว…ผมหวังว่าคุณหยางเองก็น่าจะเข้าใจเหตุผลของผมนะครับ”
หยางโปนั่งลง “แต่ราคาที่คุณพูดมามันสูงเกินไป เอาเป็นว่าผมให้คุณได้แค่หนึ่งพันสองร้อยล้าน ถ้าหากคุณยังไม่พอใจอีกผมก็หมดทางเลือกแล้วล่ะครับ”
อีกฝ่ายชี้ไปที่เครื่องพอร์ชเลนที่ถูกวางอยู่เต็มห้อง”เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งพวกนี้สามารถทำเงินได้ไม่น้อยเลยนะครับ”
หยางโปมองไปที่โต๊ะวางน้ำชา “พวกเรารู้ดีครับว่าของที่อยู่ในนี้ทำเงินได้เท่าไหร่ แค่มองด้วยตาก็รู้แล้วครับ”
ตาเฒ่าเว่ยลังเล “งั้นฉันขอโทรศัพท์แป๊บนึงนะ”
หยางโปพยักหน้า “ตามสบายครับ”
หลังจากผ่านไปไม่นานเขาก็เดินออกมา “หนึ่งพันสองร้อยล้านก็ได้ครับ”
ลัวย่าวหัวเห็นทั้งสองจับมือตกลงกันก่อนที่จะเริ่มเซ็นสัญญาแลกเปลี่ยนซื้อขายในเวลาอันรวดเร็ว
หลังจากจ่ายเงินแล้วหยางโปก็ได้กุญแจบ้านมา ในขณะที่ตาเฒ่าเว่ยเองก็ไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ต่อเพราะอันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ทุกวันส่วนใหญ่ก็มักจะไปอยู่ที่ชานเมืองที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก
หลังจากที่ตาเฒ่าเว่ยเก็บของทุกอย่างไปแล้วทั้งสองคนก็ไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นของหยางโปทันที
เจ้าอ้วนหลิว “ตอนแรกฉันกะว่าจะแนะนำแหล่งวัตถุโบราณจากบ้านโบราณพวกนี้ให้ คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากจะได้มาเจอบ้านโบราณแล้วจะได้ซื้อมันเก็บเอาไว้ซะเอง”
“ต้องขอบใจนายนะเนี่ยที่ทำให้ฉันได้บ้านหลังนี้ เอาเป็นว่าขากลับเดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวเพื่อเป็นการตอบแทนเอง” หยางโปพูด
ลัวย่าวหัวยังคงพูด “แต่มันก็ยังเล็กไปหน่อยอยู่ดี นี่ถ้าคนเยอะๆคงเบียดกันจนอึดอัดแย่”
ลัวย่าวหัว “พ่อนายก็ยังอยู่ใช่ไหม?”
“อยู่ซิ ทำไมเหรอ?”
“ก็เพราะว่าเขายังอยู่ไงเวลามีการรวมตัวกันคนเลยเยอะ แถมทุกคนก็ต้องกลับมาบ้านกันหมด ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ต้องอึดอัดอยู่แล้ว แต่ของฉันไม่เหมือนกับนายเพราะฉันไม่ได้มีญาติเยอะเท่ากับนายนิ”
หยางโป “ก็จริงของนาย “
หลังจากที่กลับมาถึงที่บ้าน หยางโปก็กลายเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้และแน่นอนว่ามันทำให้เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
….
แม่ของหยางหลางรับสายซึ่งโทรมาจากโรงพยาบาลก่อนที่จะชะงักไป “หยางหลางเป็นลมเหรอคะ?”
พ่อหยางที่นอนอยู่บนเตียงที่กำลังรู้สึกโมโหอยู่ว่าการบริการของที่นี่นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ แต่ทันทีที่ได้ยินแม่หยางพูดก็เกิดอาการตกใจขึ้นมา “ว่าไงนะ? หยางหลางเป็นลม? เกิดอะไรขึ้น? แล้วเขาอยู่ที่ไหน?”
“ตอนนี้อยู่ห้องผู้ป่วย” แม่หยางตอบ
“อยู่โรงพยาบาลอะไรล่ะ รีบบอกมาสิ!” พ่อหยางเกิดความร้อนรนใจขึ้น
“อยู่ชั้นล่างนี้เอง” แม่หยางตอบ
“ยังจะอึ้งอะไรของเธออยู่อีก! รีบลงไปดูลูกสิ!” พ่อหยางพูดด้วยความร้อนใจก่อนที่จะลงมาจากเตียงพร้อมกับเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับตะโกน “หยางหลาง โถ่! ลูกชายของฉัน ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”
หลังจากนั้นไม่นานพ่อหยางก็เดินมาถึงหน้าเตียงของลูกชายของเขา ก็พบว่าหยางหลางตื่นแล้วแต่สายตาของเขายังคงว่างเปล่าแถมดูไร้วิญญาณและไม่ได้สนใจพ่อแม่ของเขาเลยแม้แต่น้อย
พ่อหยางเขย่าตัว “เสี่ยวหลางลูกเป็นอะไรไป? ตอบพ่อสิ”
แต่เมื่อเห็นว่าหยางหลางไม่ตอบ พ่อหยางก็รีบเขย่าตัวแรงขึ้น “เสี่ยวหลาง! ทำไมจู่ๆถึงเป็นลมไปล่ะลูก?”
หยางหลางยังคงจ้องไปด้านหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าเหมือนเดิม
แม่หยางวิ่งเข้ามาแต่หลังจากที่เห็นท่าทางของลูกชายแม่หยางก็เกิดอาการตกตะลึงขึ้นพร้อมกับรีบเข้าไปประคองลูกพร้อมกับร้องไห้ “เสี่ยวหยางลูกเป็นอะไรตอบแม่สิลูก ฮืออออ”
“ไม่ต้องร้อง!” พ่อหยางพูดขึ้น “ตอนนี้ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
พ่อหยางเห็นว่าหยางหลางไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงยกมือขวาขึ้นก่อนที่จะตบไปที่หน้าของหยางหลางอย่างแรงจนเกิดรอยนิ้วมือ
ทว่าหยางหลางยังคงนิ่งราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร พ่อหยางก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาจนหันไปถามพยาบาลที่เดินตรวจคนไข้อยู่ “คุณพยาบาล นี่ลูกผมเป็นอะไรไป?”
พยาบาล “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ คิดว่าน่าจะตกใจจนเกิดอาการช็อกน่ะค่ะ”
“แล้วผมต้องทำยังไงถึงจะเรียกให้เขาตื่น?” พ่อหยางถาม
“ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกค่ะ ตอนนี้เขาน่าจะตื่นแล้วคุณลองหาทางดูนะคะ” พยาบาลตอบ
พ่อหยางพยักหน้าก่อนที่จะหันไปหาหยางหลางอีกครั้งพร้อมกับตบไปที่หน้าของหยางหลางอย่างแรงจนทำให้หน้าของเขาแดงขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะแดงกว่าครั้งก่อนหลายเท่า