ตอนที่ 185 มองทะลุ
หยางโปต่อสายหาเฉาหยวนเต๋อ โทรศัพท์ก็มีการรับสาย
ผงทอง? อาจารย์เฉา คุณคงไม่คิดว่ามันคือผงทองนั่นใช่ไหม? หยางโปเอ่ยถาม
เฉาหยวนเต๋อหัวเราะ เมื่อกี้กำลังยุ่งเลยล้อนายเล่น ตอนนี้ฉันกำลังตรวจสอบวัตถุอ้างอิง ฉันคิดว่าของชิ้นนี้ไม่ค่อยเหมือนผงทอง
บรรจุอยู่ในกล่องแต่งหน้า กล่าวกันโดยทั่วไปแล้วน่าจะเป็นแป้งไว้ทาหน้า แต่ผงทองไม่ได้เป็นผงแป้งทำจากทองเลยน่ะสิ! หยางโปกล่าว
เฉาหยวนเต๋อฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นมา
สิ่งที่เรียกว่าเครื่องประทินโฉมผู้หญิงนั้น ในความเป็นจริงแล้วน่าจะเป็นตะกั่วสีขาวอย่างหนึ่ง ไม่ได้เป็นสีทองเลยแม้แต่น่อย ใบหน้าขาวที่ร่องงิ้วในสมัยโบราณก็จะใช้ตะกั่วมาปะทาใบหน้า
เอาล่ะ ฉันหาเจอแล้ว! เฉาหยวนเต๋อจู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมา
มันคืออะไรเหรอครับ? หยางโปเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้มาก
อื้ม ฉันยังไม่แน่ใจ แบบนี้ก็ดีตอนนี้ก่อนอื่นเธอหยิบผงทองขึ้นมาหยิบมือหนึ่งแล้วลองเผาดูหน่อย” เฉาหยวนเต๋อกล่าว
หยางโปประหลาดใจมาก “เผา?”
“ใช่ ใช้ไฟเผา!” เฉาหยวนเต๋อกล่าวย้ำ
หยางโปไม่ได้ลังเล เขาหยิบจานลายครามใบเล็กมาใบหนึ่ง หยิบผงทองนิดหน่อยไปวางไว้บนจานแล้วค่อยใช้ไม้ขีดก้านหนึ่งจุดไฟ ลำแสงสีเหลืองเข้าไปใกล้ผงทอง อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว ผงทองก็เผาไหม้ขึ้นมา ส่งลำแสงสีขาวเจิดจ้า ดูเหมือนกับการเผาโซเดียมกับโลหะในการทดลองทางเคมีอย่างไรอย่างนั้น!
หยางโปรีบหันไปกล่าวกับเฉาหยวนเต๋อ “เผาไหม้แล้ว! มันเผาไหม้แล้ว!”
“ดี!” เฉาหยวนเต๋อร้องดีคำหนึ่ง “หลังจากเผาเสร็จแล้ว เธอดูสีอีกที!
ผงทองน้อยมาก ไม่นานเปลวไฟก็มอดลง เผยผงแป้งสีขาวออกมา ในตอนนี้ถึงจะค่อยดูเหมือนตะกั่ว
“กลายเป็นผงแป้งสีขาวแล้ว!” หยางโปกล่าว
เฉาหยวนเต๋อหัวเราะฮ่าฮ่า แล้วกล่าว “ฉันรู้ว่านี่คืออะไรแล้ว นี่คือหลานจิน!
“หวังเจียในราขวงศ์จินบันทึกเรื่องหนึ่งไว้ใน <บันทึกเสริมยุคก่อนราชวงศ์ฮั่น> ว่าครั่งปิดจดหมายของราชวงศ์หยวนในปีแรก ฝูซินกั๋วโจมตีดินของหลานจิน บอกว่าหลานจินชนิดนี้มาจากน้ำพุร้อน รูปร่างเหมือนดิน หลังจากหลอมกลั่นแล้วสีของมันก็กลายเป็นสีขาว ส่องสว่างราวกับเงิน ถึงขนาดเป็นเทียนเงินได้!”
“หลานจินชนิดนี้มักจะใช้เป็นครั่งปิดจดหมาย กล่องไม้ หรือประตูวัง ภูติผีปีศาจไม่กล้ากร้ำกลาย ในสมัยราชวงศ์ฮั่น นายพลออกศึกและใช้กำจัดแว่นแคว้นเหล่านั้น ดินปิดครั่งนี้ใช้ปิดล็อกได้หลากหลาย หลังจากจักรพรรดิอู่ตี้แล้ว ดินทองแบบนี้ก็หายไป”
หยางโปตกตะลึงมาก เขาได้ยินเรื่องหลานจินชนิดนี้เป็นครั้งแรก ทั้งยังได้ผลลัพธ์ที่แปลกประหลาดมาก มีลักษณะของสังคมศักดินาแฝงไว้อย่างเข้มข้น
“ผมมีหลานจินนี้แล้วจะใช้ประโยชน์อะไรได้?” หยางโปมองหลานจิน และเขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“เก็บเอาไว้เถอะ บางทีต่อไปอาจจะได้ใช้ เธอไปเจอกับของประหลาดแบบนี้ได้ยังไงล่ะ?” เฉาหยวนเต๋อเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ก็เลยซื้อมาเพราะความประหลาด” หยางโปส่ายหน้าและไม่ได้พูดมากความ
เฉาหยวนเต๋อหัวเราะ “เธอนี่โชคดีจริงๆ!
ทั้งสองคนสนทนากันอยู่ครุ่งหนึ่ง หยางโปถึงได้วางสายโทรศัพท์
เขาเพิ่งจะมีโอกาสเริ่มต้นสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผงทองดูราวกับเหมือนโลหะสีทอง เพียงแต่น้ำหนักสู้ทองคำไม่ได้ เมื่อสัมผัสดูแล้วก็เรียบลื่นละเอียดมาก
ประกายแสงปรากฏขึ้นตรงหน้า หยางโปก็เบิกตากว้างจ้องมอง อยากจะรู้ให้กระจ่างว่าสาเหตุที่ทำให้ตนเองจู่ๆ ก็เร่งร้อนจะซื้อผงทองมาคืออะไรกันแน่ เขารู้สึกว่าหลานจินตรงหน้าส่องแสงสว่างเจิดจ้า ประกายแสงนี้สว่างจ้าระยิบระยับ แสงสว่างราวเส้นไหมดังก่อนหน้าได้หายไปแล้ว
แสงสว่างระยิบระยับสว่างจ้าขึ้นมา หยางโปปิดตาลงน้อยๆ ต้องการหลบเลี่ยงประกายแสงแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าประกายแสงตรงหน้าจะยิ่งมากขึ้น เขารู้สึกถึงแสงสว่างเจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโถมเข้ามาในดวงตาของตนเอง
ตรงหน้าเป็นมหาสมุทรสีขาวผืนหนึ่ง เขามองสถานการณ์ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจน
สมองของเขามึนงงทำให้เขาพลันหมดสติไปบนเตียง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หยางโปถึงได้สติขึ้นมาจากการหลับใหล
เขาสัมผัสได้ถึงแสงโคมไฟยังเหมือนเดิม เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองหลับไป เพียงแต่ตอนที่เขามองไปทางกล่องไม้ กลับชะงักไปในทันที เพราะว่าเขาเห็นว่าหลานจินที่เดิมเคยมีอยู่เต็มแน่นกลับหายวับไปไม่เห็นเลย!
หยางโปเร่งรีบมองไปทางใต้โต๊ะ ด้านล่างไม่มีอะไรเลย บนเตียงก็ไม่มี ที่อื่นๆ ก็ไม่ปรากฏผงทองสีเหลืองเลยสักนิด ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้หยางโปประหลาดใจมาก
อย่าบอกนะว่าตัวเองกลืนผงทองไปแล้ว?
หยางโปอดที่จะคาดเดาไม่ได้ แต่ว่าเขาก็ปฏิเสธไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะว่าตอนที่เขาหยิบกระจกมาส่องดูในปากก็ไม่ปรากฏร่องรอยอะไรของผงทองเลยแม้แต่น้อย
หยางโปถึงค่อยคิดถึงฉากอันผิดปกติก่อนหน้านี้ แสงสีขาวระยิบระยับ ไม่เหมือนกับประกายแสงดั่งเส้นไหมในเวลาปกติเลย หรือว่าปัญหาเกิดขึ้นจากที่นี่?
หยางโปจ้องมองกล่องไม้ กล่องไม้ใบนี้เป็นสิ่งของสมัยปลายราชวงศ์หมิง แต่ว่าทำไมข้างในถึงได้บรรจุหลานจินเอาไว้?
ประกายแสงตรงหน้าวาบขึ้นอีกครั้ง หยางโปสามารถมองเห็นว่ากล่องไม้มีประกายแสงดั่งเส้นไหมควบรวมกันได้อย่างชัดเจน
มันแฝงความสดชื่นเบาสบายสายตาอยู่บ้าง ทันใดนั้นหยางโปก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
เพราะว่าเขามองเห็นจุดโฟกัสของสายตา ภาพตรงหน้าถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลง เขามองทะลุผ่านกล่องไม้ไปแล้วมองเห็นแผ่นกระดาษที่วางอยู่ใต้โต๊ะ!
มองทะลุ!
หยางโปคิดไม่ถึงว่าตนเองจะถึงกับมองทะลุได้ เขาไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้เลยสักนิด!
แต่ว่าหยางโปก็ดีใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะว่าการมองทะลุนั้นหมายความว่าเขาสามารถประเมินของบางอย่างได้ง่ายดายยิ่งขึ้น!
หยางโปมองดูเวลา ตอนนี้ตีสี่กว่าแล้ว เขาปิดโคมไฟแต่ไม่ว่ายังไงเขาก็นอนไม่หลับ
เขาทนไปตลอดจนถึงเจ็ดโมงเช้ากว่าๆ หยางโปก็ปีนขึ้นจากเตียง เอาตู้เซฟพาข้าวของไปส่งที่ธนาคาร ฝากเอาไว้ในตู้นิรภัย
เขายืนอยู่ด้านนอกตู้นิรภัย จ้องมองข้าวของข้างใน แย้มยิ้มอย่างเข้าใจ เพราะว่าเขาค้นพบว่าตัวเองสามารถมองประตูที่อยู่ห่างไปแล้วมองเห็นสถานการณ์ภายในได้จริงๆ
มันดำเนินการได้อย่างราบรื่นมาก วีซ่าและพาสปอร์ตก็ดำเนินการไปอย่างรวดเร็วที่สุด ตาอ้วนหลิวโทรศัพท์มาหาเป็นการพิเศษ ให้หยางโปเตรียมตัวไว้ให้พร้อม
หยางโปจำใจจากตลาดของโบราณทั้งหลาย ในขณะเดียวกันก็เริ่มเตรียมตัวทริปไปเยอรมนี
หยางหล่างยืมเงินจากครอบครัวไม่ได้ ทำให้เขาโกรธจริงๆ แต่ว่าเขาในเวลานี้ก็อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
“น้องชายของเธอรวยแล้ว แต่เธอดูท่าทางตอนนี้ของเธอสิ ต่อไปก็เป็นคนละโลกกับน้องชายของเธอแล้ว!” หลานเยว่หันไปกล่าวกับหยางหล่าง
หยางหล่างใจเสียเล็กน้อย “ฉันจะทำยังไงดี?”
“ไปหาน้องชายของเธอไม่ได้แน่ เธอก็เห็นแล้วนี่ วันนั้นเธอไปหาเขาอยากได้เครื่องลายครามชิ้นหนึ่ง เขาก็ไม่ยอมให้ ขี้งกกระทั่งครอบครัวจริงๆ!” หลานเยว่ก่นด่า
หยางหล่างขมวดคิ้ว “เกรงว่าที่บ้านจะไม่ยอมให้เงิน”
“ถ้างั้นก็กลับไปเอา เธอกลับไปเอามาด้วยตัวเอง!” หลานเยว่ชักชวน
“เอา?” หยางหล่างตกตะลึงมาก “พวกเขาบอกว่าไม่ให้แล้ว ฉันจะไปเอามาได้ยังไง?”
“ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่อยู่ไปเอา!” หลานเยว่กล่าว
หยางหล่างพลันชะงักลงไป “แบบนี้ไม่ดีมั้ง?”
“ในเมื่อพวกเขาไร้น้ำใจกับเธอ ถ้างั้นก็อย่ามาว่าโทษเธอที่ไร้น้ำใจ! หยางหล่าง ปีนี้เธออายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว เธอไม่มีเวลามากมายที่จะสามารถใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยแล้ว! เธอต้องรู้ว่าเธออยากทำธุรกิจ ตอนนี้ก็ต้องไปเอาเงินทุนออกมา! เธอไม่มีวิธีอื่นแล้ว!” หลานเยว่กล่าว
หยางหล่างนั่งอยู่ด้านข้างแล้วครุ่นคิดขึ้น เขาไม่ได้เปิดปากพูดมากอีกแต่กลับลังเลขึ้นมาเล็กน้อย