ตอนที่ 260 คำเสนอแนะเรื่องเรียนต่อ
หยางโปหัวเราะ ” ช่างมันเถอะ “
หยางโปรู้ว่าที่จิงเฉิงนี้โรงแรมแบบเรือนสี่ประสานจะค่อนข้างพิเศษสักหน่อย ราคาแพง อย่างเรือนสี่ประสานที่เขาซื้อมาชุดนี้ คืนหนึ่งอย่างน้อยก็น่าจะหลายพันไปจนถึงมากกว่าหมื่นหยวน
ก่อนหน้านี้ เขาก็คุยเรื่องขุดสร้างทำเป็นห้องใต้ดินกับลัวย่าวหัวเอาไว้แล้ว แต่เพราะว่าช่วงใกล้สิ้นปี ทีมก่อสร้างจำนวนมากไม่มีคน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าช่วงเวลาก่อสร้างเอาไว้ปีหน้า
ชุยอี้ผิงเดินดูรอบบ้าน ” สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลว นายชอบมากเหรอ ? “
หยางโปยิ้มพลางพยักหน้า ” ฉันชอบมาก “
ชุยอี้ผิงพยักหน้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ” ไป ฉันจะพานายไปกินชามื้อเช้า “
หยางโปขึ้นรถของชุยอี้ผิง ชุยอี้ผิงถึงกับพาเขาไปที่สำนักงานข้าราชการจิงเฉิงหยางเฉิงที่ซีตัน ทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน ไม่นานอาหารเช้าหลากหลายก็มาส่ง
หยางโปไม่ได้เจอชุยซื่อหยวนก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทั้งสองกินอาหารเช้าแบบกวางตุ้งไปพลางสนทนา
หยางโปเดาออกว่าชุยอี้ผิงจะต้องได้รับหน้าที่อะไรมาแน่ เขาก็เหมือนสะพานเชื่อมต่อและสานสัมพันธ์ระหว่างเขากับชุยซื่อหยวน เขาจำเป็นต้องคิดหาวิธีให้ตนเองเข้าใจ หยางโปก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ยอมรับชุยซื่อหยวน แต่ยังไงเขาก็เป็นพ่อแท้ๆ
สนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ชุยอี้ผิงก็เอ่ยถาม ” ตอนนี้งานหลักขายผลงานทางศิลปะของนายนี่เป็นยังไงบ้าง ? ธุรกิจโอเคอยู่ใช่ไหม ? “
หยางโปชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมา ชุยซื่อหยวนจะต้องสืบเรื่องของเขามาแล้วแต่ คิดมาถึงตรงนี้ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ” ร้านขายของโบราณไม่ได้เปิดนานแล้ว ธุรกิจก็ยังพอไปได้ “
ชุยอี้ผิงกลับเข้าใจผิด เขาขมวดคิ้ว ” สถานการณ์แบบนี้ของนาย เรียนต่อจะยังดีที่สุด ฉันรู้จักกับอาจารย์ที่วิจัยเรื่องโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นายอยากไปเรียนปริญญาโทไหม ? “
หยางโปมองอีกฝ่าย ในใจเดาได้ว่านี่เกรงว่าจะเป็นคำแนะนำของพ่อแท้ที่จะจัดเตรียมลู่ทางให้เขาสินะ ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องประวัติการศึกษานี้แล้ว จึงได้ส่ายหน้าเอ่ยปฏิเสธ ” ช่างมันเถอะ “
ชุยอี้ผิงชะงักไป ” นายไม่ชอบเหรอ ? “
” ฉันออกจากโรงเรียนมาสองปีแล้ว รู้สึกว่านั่งเรียนไม่ได้แล้ว และฉันก็ไม่อยากไปเรียนแล้ว ” หยางโปจำต้องเอ่ย
ชุยอี้ผิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า ” แต่ว่านายต้องคิดให้ดีนะ ตอนนี้นายยังเด็ก มีประวัติว่าเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ต่อไปเรื่องนี้ก็จะช่วยเหลือนายได้มากแน่ๆ “
ชุยอี้ผิงกล่าวจบก็มองหยางโป ” นายต้องเข้าใจเรื่องหนึ่ง ไม่ว่ายังไงประเทศนี้ก็วัดกันด้วยความสามารถ ถึงจะมีสิทธิมีเสียงอยู่ในมือ มีแค่คนสำคัญในแต่ละสายอาชีพ ถ้ามีการศึกษา ในการวิจัยอะไรก็จะเดินไปได้ไกล นายถึงจะสามารถกุมอำนาจเอาไว้ได้ “
หยางโปได้ยินคำพูดนี้ของชุยอี้ผิงก็ครุ่นคิดหนัก เขารู้ว่าเฉาหยวนเต๋อกับหลิวเหลียงอวี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เฉาหยวนเต๋ออยู่ในหอคอยงาช้างมาตลอด เขาวิจัยอยู่ในระบบ แต่กลับเลื่อนสูงขึ้นไปทีละก้าว ตอนนี้ก็ยังมีตำแหน่งผู้อำนวยการในกรมโบราณคดีของประเทศ แต่หลิวเหลียงอวี้กลับมีพื้นฐานสายนอกแบบเดียวกับเขา คลุกคลีอยู่ข้างนอก ตอนนี้ถึงแม้ฐานะครอบครัวจะร่ำรวย แต่กลับไม่มีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกัน
” ฉันจะคิดดูนะ ! ” หยางโปกล่าว
ชุยอี้ผิงพยักหน้า ” อื้ม ต้องใคร่ครวญให้ดีๆ นะ เส้นทางต่อไปนี้ของนายจะเดินไปยังไง ? ต่อไปจะต้องมีกลยุทธ์และวิธีการในการรับมือ “
หยางโปไม่ได้ตอบรับ ทั้งสองไม่นานก็กินอาหารเช้าเสร็จ ชุยอี้ผิงมาส่งหยางโปกลับที่เรือนสี่ประสาน ไม่ได้รั้งอยู่นานก็กลับไป ราวกับเขามาถามเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ
หยางโปมองไปทางชุยอี้ผิงที่จากไป แล้วก็ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด
ชุยอี้ผิงออกจากบ้านไปแล้ว ก็เดินไปที่ด้านข้าง หลังจากเข้าไปในเรือนสี่ประสานแล้วเขาถึงกับไม่เจอพนักงานของโรงแรมเลย และไม่พบเครื่องหมายของโรงแรมด้วย ก็อดที่จะประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้เขาจะไปสอบถามโรงแรมว่าขายที่นี่หรือไม่ ถ้าหากขายบางทีอาจจะเสนอให้ที่บ้านซื้อมาให้หยางโปอยู่
ชุยอี้ผิงเดินวนรอบเรือนสี่ประสานไปรอบหนึ่งก็ไม่เจอเครื่องหมายอะไรของโรงแรมเลย เขาจำต้องเดินออกไปบนถนนเส้นเล็กใกล้ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำ เห็นชายชราในเสื้อเชิ้ตสีขาวคนหนึ่งกำลึงฝึกรำไทเก๊กอยู่
ชุยอี้ผิงยืนอยู่ด้านข้าง รอให้เหล่าคนชราสนทนากันเสร็จแล้วจึงได้เดินไปเปิดปากเอ่ยถาม ” คุณตาครับ ผมขอถามคุณตาเรื่องหนึ่งหน่อยครับ “
ชายชรามองมา ” เรื่องอะไรล่ะ ? “
” โรงแรมนี้ทำไมถึงไม่มีแผนกต้อนรับ แล้วจะเข้าพักได้ยังไงเหรอครับ ? ” ชุยอี้ผิงเอ่ยถาม
ชายชรามองไปทางที่ชุยอี้ผิงชี้ ” โรงแรม ? ที่นี่ไม่มีโรงแรมนะ ? “
” ไม่มีโรงแรม ? ” ชุยอี้ผิงประหลาดใจ ” ทำไมจะไม่มีโรงแรมล่ะครับ อย่าบอกนะว่าที่นี่ไม่มีคนอยู่ ? “
” อ้อ เธอพูดถึงเรือนสี่ประสานหลังนี้เหรอ ? ” ชายชราชี้ไปทางเรือนสี่ประสานที่หยางโปพักอยู่แล้วหัวเราะ
” บ้านหลังนี้ก่อนหน้านี้สืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น ช่วงก่อนหน้านี้มีคนหนุ่มคนหนึ่งมาเหมือนว่าจะโอนบ้านหลังนี้ให้ไปแล้ว คนหนุ่มคนนั้นมาไม่บ่อย และไม่ค่อยอยู่ เพื่อนบ้านใกล้ๆ ก็ไม่รู้จักเขาหรอก “
ชุยอี้ผิงตกตะลึง ตาของเขาเบิกกว้าง ” คุณตาครับ คุณบอกว่าบ้านหลังนี้ถูกคนหนุ่มคนหนึ่งซื้อไปแล้วเหรอครับ ? “
ชายชราพยักหน้า ” ใช่แล้ว ตอนนี้ราคาบ้านสูงขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะตกไปอยู่ในมือของคนหนุ่มคนหนึ่งได้ซะแล้ว “
” เขาซื้อบ้านหลังนี้ไปเท่าไรเหรอครับ ? ” ชุยอี้ผิงเอ่ยถาม
” เรื่องนี่ ฉันก็ไม่แน่ใจนะ แต่ว่าบ้านของที่นี่อย่างน้อยก็ต้องมากกว่าสิบล้านหยวนขึ้นไปนะ ” ชายชรากล่าว
ชุยอี้ผิงไม่ได้ฟังที่ชายชราพูดเลย พอเขากล่าวขอบคุณแล้วก็จากไป ในใจกลับตกตะลึงอย่างมาก !
พวกเขาดูถูกหยางโปเกินไปจริงๆ ! ยิ่งสืบดูพวกเขาก็ยิ่งพบความน่าประหลาดใจที่หยางโปมอบให้ !
ตอนที่ทุกคนคิดว่าหยางโปแค่เปิดร้านขายของโบราณธรรมดาก็ไม่ได้จะเจ๊ง แต่กลับกลายเป็นพบว่า
หยางโปขายสินค้าไปในร้านไปทั้งหมดแล้วค่อยปิดกิจการ ตอนที่พวกเขาคิดว่าจะช่วยหยางโปให้ไปเรียนหนังสือจะให้ใจของเขาเกิดผูกพัน ก็คิดไม่ถึงเลยว่าหยางโปจะถึงกับมีฐานะร่ำรวยอยู่นานแล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขายินยอมจะไปเข้ามหาวิทยาลัยไหมก็ยังเป็นปัญหา
ชุยอี้ผิงเร่งรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาจะรายงานเรื่องที่เพิ่งสืบเจอนี้ให้กับคุณอา เรื่องนี้ไม่สามารถมองข้ามได้อย่างเด็ดขาด
เวลานี้หยางโปในที่สุดก็ตัดสินใจแน่วแน่ เขาจะไม่ไปเข้ามหาวิทยาลัย !
ในเมื่อทำธุรกิจแล้ว เขาก็ไม่เคยได้ไปเข้าคอร์สพิเศษสักครั้ง เขาไม่คิดว่าการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับเขานัก สำหรับปัญหาเรื่องสถานะและอำนาจที่ชุยอี้ผิงพูดถึงนั้น ตอนนี้เขายังไม่คิดถึงมัน เพราะว่าเขาเข้าใจดีว่าตราบใดที่เขาก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาได้ เรื่องพวกนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว !
หยางโปตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้อง ตอนที่ก้าวเข้าไปบนบันไดนั้นเอง เขาก็ยกก้าวขึ้นสูง แต่กลับรู้สึกสะดุดอยู่ใต้เท้า พลันโถมเข้าไปทั้งตัว หยางโปรีบยื่นทั้งสองมือไปยันบนพื้น
ความรู้สึกเย็นเยือกใต้ฝ่าเท้า หยางโปล้มกองอยู่บนพื้น หัวเข่าคุกเข่าอยู่บันได สองมือก็พลันชาหนึบขึ้นมา
หยางโปยกมือขึ้นมา สังเกตเห็นบนมือมีรอยเลือดซิบบางๆ หัวเข่าของเขาเจ็บปวดมาก เขาก้มหน้าลงไปมองก็เห็นว่าบนบันไดใต้เท้านั้นว่างเปล่าไม่มีอะไร ทันใดนั้นหยางโปก็ชะงักนิ่งไป
ช่วงนี้ อย่าบอกนะว่าเขาจะโชคร้าย ?