เปลวไฟในม่านหมอก – ตอนที่ 12 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

ร่างบอบบางสาวเท้าไปเบื้องหน้าบนทางเท้าอย่างหมดเรี่ยวแรง ดวงตาเลื่อนลอยแห้งผากท้อแท้

สามวันแล้วที่เธอเฝ้าหาห้องและบ้านเช่า ตอนแรกก็ตกลงกันดิบดี ทว่าหลังจากนั้นเจ้าของบ้านก็พร้อมใจกันโทรศัพท์ติดต่อมายกเลิกด้วยเหตุผลที่แตกต่าง จนตอนนี้เธอก็ยังหาที่พักไม่ได้แม้แต่แห่งเดียว

แบบนี้กระมังที่เขาเรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เวลาดวงตกเจ้ากรรมนายเวรจะรุมเข้ามาพร้อม ๆ กัน โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ ไอ้จะให้ไปรบกวนปรียาและสามีก็เกรงใจเหลือเกิน

พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น อวัศยารีบหยิบมันออกจากกระเป๋า พบว่าเป็นหมายเลขของพี่ส้ม คนรับใช้ของที่บ้านซึ่งตอนนี้กลายเป็นคนของนายอัคคีไปเสียแล้ว เธอรีบกดรับด้วยเกรงว่าส้มจะแจ้งข่าวเรื่องคุณพ่อ เพราะเธอฝากให้ส้มดูแลเวลาที่ออกมาข้างนอก

แล้วสิ่งที่เธอกลัวก็เกิดขึ้นจริง ๆ เสียงปลายสายระล่ำระลักตื่นเต้นเหลือเกิน

“ คุณหนูคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ คุณท่านสลบไปไม่ได้สติ ตอนแรกส้มก็นึกว่าท่านหลับจนถึงเวลาทานยาก่อนอาหารเย็น ไปปลุกท่านก็ไม่หือไม่อือ ส้มไม่รู้จะทำยังไงโชคดีที่คุณอัคคีเดินมาพอดีเลยให้คนพาคุณท่านไปส่งโรงพยาบาลแล้วค่ะ ” หัวใจอวัศยาตกไปที่ตาตุ่ม

“ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นพี่ส้ม ทำไมอยู่ ๆ คุณพ่อเป็นแบบนั้นคะ ”

“ ส้มก็ไม่ทราบค่ะคุณหนู ส้มให้ทานอาหาร ทานยาตามที่คุณหนูสั่งไว้ทุกอย่าง ส้มขอโทษนะคะ ส้มไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ”

“ ไม่เป็นไรค่ะพี่ส้ม มันเป็นเหตุสุดวิสัย ขอบคุณมากที่ดูแลคุณพ่อและโทรแจ้งหมอก ตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่โรงพยาบาลไหนคะ พี่ส้มอยู่ด้วยหรือเปล่า ”

“ ตอนนี้ส้มอยู่หน้าห้องฉุกเฉินค่ะ โรงพยาบาลรักษ์สุขเมมโมเรียล ”

“ หมอกจะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ ”

เธอว่าก่อนจะกดวางสายแล้วเรียกแท็กซี่ไปยังจุดหมายปลายทางในทันที

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ถึงที่หมาย ร่างบอบบางสาวเท้าไปยังห้องฉุกเฉินตามที่ส้มบอกแล้วแจ้งชื่อของคุณพ่อ แต่เจ้าหน้าที่ตรงนั้นแจ้งกับเธอว่า

“ เราย้ายคนไข้ไปที่ห้องไอซียูแล้วครับ เนื่องจากมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ” ใบหน้าหวานซีดขาวราวกระดาษแล้วรีบตรงไปยังปลายทางที่เจ้าหน้าที่แจ้ง

เธอได้แต่นั่งแหมะรออยู่ด้านหน้าเก้าอี้พักสำหรับญาติผู้ป่วยอย่างกระวนกระวาย โทรศัพท์หาส้มก็ได้รับคำตอบว่าเธอต้องกลับไปที่บ้านพร้อมกับคนขับรถ เพราะอย่างไรเสียห้องไอซียูก็ไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยม และเป็นคำสั่งของคุณอัคคีด้วย จึงเหลือแต่เพียงอวัศยาที่นั่งรอเพียงลำพังอย่างอ้างว้างและโดดเดี่ยว

“ คุณแม่ขา ช่วยคุณพ่อด้วยนะคะ อย่าให้คุณพ่อเป็นอะไรไปเลย ” เธอพึมพำอ้อนวอนมารดาที่จากไปแล้วอย่างมีความหวังด้วยน้ำตาอาบแก้ม

นานเท่าไรไม่รู้ รู้เพียงว่าวินาทีที่ประตูห้องไอซียูถูกเปิดออก เธอพุ่งเข้าไปหาทีมแพทย์ในทันที

“ คุณหมอคะ คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างคะ ปลอดภัยหรือยัง ” หนึ่งในทีมแพทย์สองท่านที่เดินออกมาเป็นผู้ให้คำตอบ

“ คนไข้มีอาการช็อก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้ระบบร่างกายรวนไปหมด ปอดทำงานไม่ปกติและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือน้ำท่วมปอด ความดันสูงจากการที่หัวใจพยายามปั๊มเลือดเข้าทั้งที่เส้นเลือดมันตีบตันจนเสี่ยงจะแตกอีกรอบ ทีมแพทย์จึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ”

จากเดิมที่หน้าซีดขาว ตอนนี้แทบจะออกไปทางเทาเพราะไม่มีสีเลือดอีกแล้ว

“ มีทางรักษาไหมคะ ”

“ มีครับ แต่ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ ต้องรอผลแสกนสมองอีกรอบ และตอนนี้ทางทีมแพทย์พยายามลดความดันของร่างกายลง ถ้าเรียบร้อยแล้วเราจะสามารถรักษาได้ด้วยวิธี EPS และ RFA คือใช้สายสวนและจี้ไฟฟ้าที่หัวใจ และตรวจการทำงานด้วยวิธี EPS No Ablation อย่างใกล้ชิดและจะทราบผลการตรวจที่ละเอียดแม่นยำกว่า ซึ่งขั้นตอนการรักษานี้จะมีค่าใช้จ่ายราวห้าแสนห้าหมื่นบาท ยังไม่รวมค่าห้องพิเศษและค่ายาหลังจากนั้น รวม ๆ แล้วก็ราวหนึ่งล้านบาทครับ ”

หัวใจของอวัศยาตกวูบไปที่ตาตุ่ม หากเป็นสมัยก่อนยอดเงินเพียงหลักล้านมันเล็กน้อยสำหรับเธอเทียบได้เท่ากับหลักสิบยี่สิบ ทว่าตอนนี้ ตอนที่ครอบครัวล้มละลายไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนของตัวเองจะหาไหนมาทันหนอ จะให้ไปอาศัยปรียาเพื่อนรักก็เกรงใจเหลือเกิน เดิมทีปรียาก็ทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเดียวกับวาทินผู้เป็นสามีและกู้เงินมาผ่อนซื้อตึกเพื่อทำเป็นร้านขายยา ตอนนี้ก็ถือว่ายังอยู่ในระยะเริ่มต้นชีวิต ส่วนวาทินก็ยังทำงานในโรงพยาบาลอยู่ ทั้งคู่คงยังมีภาระโข จะหาเงินล้านที่ไหนมาให้ยืมได้

แต่ถ้าหาไม่ได้ ชีวิตคุณพ่อก็จะล่องลอยหายวับไปกับมือ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset