“ หมอกไปหลบพักกายพักใจอยู่ที่บ้านของสามีฉันบนภูหลวงรักษ์ เพราะบ้านของพี่วาทินไม่มีใครอยู่ พ่อแม่ตายหมด บ้านจึงถูกปิดไว้อย่างนั้น พวกเราก็จะได้ขึ้นไปดูปีละครั้งเดียว ภูหลวงรักษ์นับได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่กำลังจะบูมในอนาคต อยู่บนภูสูง อากาศดี มีลำธารน้ำตกหลายแห่ง และยังคงความสมบูรณ์แห่งธรรมชาติ เราคุยกันว่าหากหมอกชอบก็จะให้เธออยู่ที่บ้านของพี่วาทินแล้วทำขนม ทำกาแฟ หรือไม่ก็พวกของที่ระลึกขายให้นักท่องเที่ยวไปเลย ”
นั่นคือคำบอกเล่าของปรียา ว่าอวัศยาขึ้นไปพักอาศัยอยู่บนดอยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ นายไฟไม่รอช้า เก็บเสื้อผ้าออกเดินทางโดยเลือกที่จะขับรถยนต์ไปแทนโดยสารเครื่องบินในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที
บ่ายสี่โมงกว่า เขาก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มไม่พักผ่อนใด ๆ ทั้งสิ้น เขาขับรถตรงดิ่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ปรียาได้ให้ไว้
และแล้วเขาก็มาถึง หมู่บ้านอันเป็นธรรมชาติที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาสูง ชาวบ้านนั้นส่วนมากเป็นชาวไทย เชื้อสายจีนเผ่าอิ้วเมี่ยน หรือที่เราชาวไทยเรียกกันว่าชนเผ่าเย้าเสียกว่าครึ่ง ที่เหลือก็เป็นชาวไทยภาคเหนือโดยกำเนิด รวมถึงครอบครัวของวาทิน สามีของปรียาด้วย
ชุมชนที่นี่อยู่กันอย่างสุขสงบ ความเจริญยังไม่รุกรานเข้าไปมากนัก สองข้างทางดารดาษไปด้วยสวนผลไม้ดอกไม้เมืองเหนือ อากาศเย็นสบายกำลังดี นาน ๆ ทีจะมีร้านขายของที่ระลึกอันเป็นเสื้อยืดสกรีนลายภูหลวงรักษ์ ไม่ก็เสื้อผ้าอันสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าเย้า ผักผลไม้สด ๆ จากสวน เป็นต้น
นายไฟหักพวงมาลัยเลี้ยวจอดรถที่หน้าบ้านไม้ชั้นเดียว ยกพื้นราวหนึ่งเมตรขนาดกลางด้านซ้ายมือติดถนน มีรั้วธรรมชาติขึ้นโอบล้อม อาทิ ต้นมะขาม ขี้เหล็ก กระถิน สลับกับต้นลำไยที่ออกลูกเป็นพวงดกและผลเสาวรสสีเหลือง อมม่วงที่เถาเลื้อยพันขึ้นไป ต้นไม้ใบหญ้าถูกตัดแต่งเรียบร้อยตามคำบอกเล่าของปรียาที่ว่า สามีได้ว่าจ้างให้ชายเพื่อนบ้านมาช่วยดูแลให้เดือนละครั้ง
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูรูปบ้านในนั้นที่ปรียามาให้ แล้วยิ้มออกมาอย่างมั่นใจว่าไม่ผิดแน่ ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถ แล้วเดินตรงเข้าไปในพื้นที่บ้าน
ประตูที่ทำจากไม้ประตูฉลุลวดลายสวยงามถูกเปิดออกช้า ๆ เดาว่าคนที่อยู่ด้านในคงจะได้ยินเสียงรถจอดและเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาภายในบริเวณบ้าน
แล้วร่างบอบบางของหญิงสาวในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ กระโปรงยาวผ้าฝ้ายแบบชาวเหนือสีกรมท่าก็ปรากฏขึ้น
ใบหน้าสวยดูซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะกลายเป็นความกราดเกรี้ยว
“ จะตามจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหน ไอ้คนสารเลว ! ” เธอว่าพลางปิดประตูใส่เขาดังปัง ชายหนุ่มเข้าไปประชิดประตูแล้วลงมือเคาะรัว ๆ ปากก็พร่ำขออ้อนวอน
“ หมอก ฟังเราก่อน ออกมาคุยกันก่อน ได้โปรด ”
“ ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคนอย่างคุณ สิ่งที่คุณอยากได้ก็ได้หมดแล้ว ชีวิตของพ่อฉันและชีวิตที่พังทลายไม่เหลืออะไรเลยของฉัน แล้วจะเอาอะไรอีก หรืออยากให้ฉันตายไปถึงจะสะใจ ! ”
“ มันไม่ใช่แบบนั้นหมอก เราต้องคุยกัน ทุกอย่างมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ”
“ ฉันบอกให้กลับไป ! ”
“ ไม่ เราไม่กลับ ถึงหมอกไม่เปิดประตูให้เราก็จะยืนอยู่ตรงนี้ นอนอยู่ตรงนี้ จนกว่าหมอกจะออกมาคุยกับเราให้รู้เรื่อง มาคุยกัน มาเคลียร์กัน แล้วเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กันด้วยอย่างที่เคยวาดฝันไงหมอก ”
“ ฉันไม่เคยมีฝันและไม่มีวันจะมีกับคนอย่างคุณ ”
“ หมอก คุยกันด้วยเหตุผลเถอะนะ แล้วก็เลิกพูดจาห่างเหินกับเราสักที เราเป็นคนรัก เป็นผัวเมียกันนะ ”
“ หยุดพูดจาล่วงเกินฉันเดี๋ยวนี้ เราไม่ได้เป็นอะไรกันและไม่เคยเป็นด้วย ”
“ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละวะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราเคยทำอะไรกันบ้าง ”
“ หุบปาก ! ” เธอตวาดลั่นเพื่อหยุดวาจานั้น แต่ก่อนที่จะได้ต่อปากต่อคำ เสียงของบุคคลที่สามก็ดังขึ้นขัดบทพิพาทของทั้งคู่
“ เกิดอะไรขึ้นหมอก ! ”
นายไฟหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทันที เป็นชายผิวคล้ำ ความสูงน่าจะน้อยกว่าเขาสักสี่ห้าเซนติเมตรทว่ากำยำล่ำสันกว่า สวมกางเกงยีนสีฟ้าฟอกกระด่างกระดำแถมมีรอยขาดแถวหัวเข่าตามแฟชั่น เสื้อกล้ามสีเทาแนบไปกับแผงอกแกร่งที่มีกล้ามเนื้อนูนหนั่นเด่นชัด ผมบนศีรษะยุ่งเหยิง นั่นคงจะเกิดจากการที่เขาพึ่งถอดหมวกกันน็อคออกเพราะมันอยู่ในมือข้างซ้าย ไฟไม่ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ดูคาติสีดำคันใหญ่ที่นายคนนี้ขับมาเพราะมัวแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับการทุ่มเถียงอ้อนวอนอวัศยา ประตูบ้านที่เจ้าหล่อนพึ่งปิดใส่หน้าเขาถูกเปิดออกทันที
ไฟตวัดสายตาขึ้นมองหน้าแขกไม่ได้รับเชิญอย่างหาเรื่อง หน้าตาคมเข้ม หนวดเคราล้อมกรอบใบหน้าเหมือนไม่ได้โกนมาสักสัปดาห์ ท่าทีที่เดินอาด ๆ เข้ามาอย่างไม่กลัวเกรงนั้นมันแสดงอาการหาเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายคนนั้นเดินเข้าไปแตะที่ไหล่บอบบางของอวัศยาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นเจ้าเข้าของนั้น ทำให้นายไฟอยากวิ่งเข้าไปกระโดดถีบยอดหน้าเหลือเกิน