เปลวไฟในม่านหมอก – ตอนที่ 9 กอดแน่นเกินไปแล้ว

สาวแรกรุ่นช่างอ่อนด้อยต่อเพลิงพิศวาส ขาดกำแพงถูกผิดเพื่อกำบังปกป้อง ความร้อนรุ่มหวานหอมเป็นแรงกระตุ้นเร้าให้ตกเป็นทาสมันแต่โดยดี

ปากอวบอิ่มเผยออ้าให้อีกฝ่ายเข้ามาดูดดื่มลิ้มเลียโดยง่ายดาย บางคราวยังเผยอดูดดึงตอบรับ มือที่ผลักไสพลันโอบกอดไหล่แกร่งไว้หลวม ๆ ให้เขาเปิดเปลือยเสื้อยืดขึ้นเหนือทรวงอกผลิพุ่งแล้วดูดกินอย่างตะกรุมตะกราม สองขาเรียวแยกออกเพื่อให้มือสากใหญ่ล้วงไล้เข้ามารุกรานในกลีบกุหลาบแรกแย้มที่มีน้ำหวานจากเกสรสาวเอ่อล้นจากการปลุกเร้า ปล่อยให้เขาลูบโลมนอกในอย่างเต็มที่

“ ไฟจ๋า หมอก… อื้อ ” เธอครวญกระเส่าไม่ได้ศัพท์ เมื่อยามที่นิ้วสากคลึงวนทั่วสองกลีบอูมแล้วกดลงตรงกลางรอยแยก แทรกซอนจนพบเกสรกระสันอันน้อยแล้วรูดนิ้ว พลิ้วเล่นหนักหน่วง มือน้อยจิกลงบนไหล่ล่ำจนเป็นรอยเล็บ

“ เรารักหมอกนะ ” หนุ่มบ้านนาว่าออกมาซื่อ ๆ ลมหายใจหอบแรงด้วยเพลิงราคะโหมกระพือในเลือดหนุ่ม

“ แต่มันผิด เราต้องรอให้เป็นผู้ใหญ่ ” แม้ซ่านเสียว จนสติเลือนพร่า ทว่ายังพอมีความรู้ผิดอยู่บ้างจึงเอ่ยท้วงติงเสียงสั่นพร่า ทว่าอีกฝ่ายหาได้สนใจไม่ นิ้วสากยังคงลากไล้เร่งเร้าให้อีกฝ่ายเร่าร้อนแล้วหลอมละลายเป็นน้ำรักหลั่งไหลฉ่ำเยิ้ม

“ รอไม่ไหวแล้วหมอก วันนี้หมอกต้องเป็นเมียเรา ”

“ อื๊อ ไม่เอา ” เธอว่าพลางผลักร่างใหญ่ให้ออกห่าง

“ ต้องเอา ”

“ ไม่เอา ไหนไฟว่ารักหมอกไง ทำไมไม่ให้เกียรติหมอกเลย ทำแบบนี้เอาเปรียบหมอกชัด ๆ มีแต่จะเอา จะได้ ”

สาวน้อยทำเสียงกระเง้ากระงอดจนคนตัวใหญ่ต้อง ใจอ่อน

“ ขอโทษ ไม่เอาแล้วก็ได้ แต่ไม่ปล่อยนะ อยากกอด อยากหอม แบบนี้ ” ว่าพลางกอดรัดเรือนร่างบอบบางเข้าหาแผงอกแกร่ง แนบสนิทชิดกันจนแทบทุกอณู

“ ไฟ ปล่อยหมอกนะ กอดแน่นเกินไปแล้ว ”

“ ทำไมล่ะ ก็อยากกอด ”

“ ก็… มันชนกัน ” เธอว่าพลางหน้าแดงไปหมดด้วยความอาย อะไรบางอย่างมันดุนดันอยู่ที่ท้องน้อยราบเรียบ

“ อะไรชน นมกับนม จิ๋มกับเจี๊ยวน่ะเหรอ ” อีกฝ่ายโพล่งออกมาขำ ๆ สาวน้อยหยิกแขนเขาเสียแรงจนชายหนุ่มร้องโอดโอย

“ โอ๊ย เจ็บ ! ยอมแล้วเมียจ๋า ”

“ บ้า ไฟพูดบ้า ๆ ใครเมียไฟ ” ว่าพลางระดมถวายผางตุ้บตั้บไปในทุกที่ที่มือน้อยเอื้อมถึง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ

“ เฮ้ย มึงได้ยินไหมไอ้พล กูได้ยินเสียงคนคุยกันเมื่อกี้ อยู่แถวนี้แหละ ”

“ เออจริง เสียงเหมือนผู้หญิง จะใช่เสียงคุณหนูหรือเปล่าวะ ” มือน้อยรีบเลื่อนขึ้นปิดปากคนตัวใหญ่ที่กอดรัดเธอไว้ไม่ให้พูด แล้วกระซิบบอกเขาเบา ๆ อย่างตื่นกลัว

“ คุณพ่อให้ลูกน้องออกตามหาหมอกแน่ ๆ ไฟต้องเงียบนะ ห้ามเสียงดัง ” อีกฝ่ายแย้มยิ้ม พลางดันร่างน้อยให้ถอยลึกไปที่กอบัวอันมีใบใหญ่โตชูช่อพอที่จะบดบังทั้งคู่ให้ปลอดภัย

“ อยู่ตรงนี้นิ่ง ๆ ก็ไม่มีใครเห็นแล้ว หมอกนั่นแหละต้องเงียบ ห้ามดื้อ ห้ามเสียงดัง ห้ามขัดขืน ” และก่อนที่สาวน้อยจะรู้ตัว ริมฝีปากก็ประทับลงมาครอบครองเธออีกครั้ง แล้วมอบจุมพิตอันเร่าร้อนจนเธอหายใจหายคอไม่ทัน

“ อื้อ ” เธอได้แต่อึกอักอยู่ในลำคอ ไม่ไหว ถ้าเขายังจูบต่อไปเธอต้องขาดใจตายแน่

อวัศยาพยายามดิ้นรนให้พ้นพันธนาการทั้งปวงจากอ้อมกอดและจุมพิตนั้น เธอรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งพร้อมหอบหายใจแรงราวกับไปวิ่งมาร้อยเมตร

“ ไฟ ! ” เธอหลุดปากร่ำเรียกชื่อเขาออกมา ก่อนจะพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนที่นอนปิคนิคสามฟุตครึ่งที่มุมห้องในเรือนคนรับใช้

“ ฝัน แค่ฝันเหรอเนี่ย ”

เธอพูดกับตัวเองแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้า

“ แต่ทำไมฝันถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนะ แปลกจริง ” เธอพร่ำบ่นก่อนจะค่อย ๆ เอนกายลงนอนอีกคราแล้วหลับใหลไปในเวลาเพียงไม่นาน

ทว่ามีผู้หนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาโพลง เขาได้ยินเต็มหูว่าลูกสาวร่ำเรียกชื่อใคร นั่นยิ่งทำให้เขาทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

ไอ้ไฟ… หากมันเข้ามามีอิทธิพลได้แม้ในฝัน ดังนั้นมันคงไม่ยากหากมันจะทำอะไรกับเธอในชีวิตจริง ที่สำคัญตอนนี้มันอยู่ห่างเพียงชั่วคืบชั่วศอก อยู่ในบริเวณบ้านและรั้วเดียวกัน เธอเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือ

จะบีบก็ตาย จะคลายก็คงตาย เพราะคนอย่างไอ้ไฟคงไม่ปล่อยให้ลูกไก่ของพ่อไก่ที่เคยทำร้ายกาจกับมันไว้เป็นอิสระเฉย ๆ แน่

“ ไอ้เหี้ยอิทธิ มึงทำให้ยายกูตาย มึงทำให้พี่น้องและคนในหมู่บ้านฉิบหาย มึงจำคำกูไว้ แม้ตายเป็นผีกูก็จะมาเอาคืนให้สาสม มึงจะต้องเจ็บปวดและฉิบหายมากกว่าที่มึงทำกับกู เป็นร้อยพันเท่า ! ”

คำอาฆาตของเด็กหนุ่มยังคงกึกก้องอยู่ในหัว สายตาเคียดแค้นที่จ้องมองมาอย่างไม่กลัวเกรง แม้ว่าจะโดนกระทืบจนเลือดกระอักท่วมเนื้อตัวจากลูกน้องอันเป็นชายฉกรรจ์หลายคนของเขาก็ตามที

น้ำตาใสไหลลงที่หางตา เขาเกลียดตัวเองที่เลวชาติเหลือเกิน แถมตอนนี้ยังไม่มีความสามารถจะปกป้องลูกสาวได้อีก

คนอย่างเสี่ยอิทธิไม่เคยเชื่อเรื่องความดีความชั่วหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนี้เขาเชื่อมันสนิทใจ เพราะกรรมมันกำลังตามสนองเขาแล้ว…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset