บทที่ 200 หวังเชียนเป็นพ่อสื่อ
เฉินชางรีบนำแบบฟอร์มที่เซ็นชื่อเรียบร้อยแล้วไปส่งที่สำนักงานบัญฑิตวิทยาลัย
จู่ๆ กวนเหว่ยก็กล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน วันนี้อธิการบดีเฉียนโทรมาถามถึงคุณ”
เฉินชางชะงักงัน “อธิการบดีเฉียน? ใครกันครับ โทรมาถามถึงผมทำไม”
กวนเหว่ยส่ายหน้า “อ๋อ! เฉียนเลี่ยงเป็นรองอธิการบดีชั่วคราวสาขาเวชศาสตร์คลินิกของมหาวิทยาลัยเรา เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตงต้า วันนี้เขาโทรมาถามถึงคุณ”
เฉียนเลี่ยงนี่เอง!
เฉินชางเพิ่งจะนึกออก ที่แท้ก็เฉียนเลี่ยงนี่เอง
“อ๋อ! อาจารย์เฉียนนี่เอง ผมรู้จักครับ เคยคุยกัน เขาดีกับผมมาก” เฉินชางกล่าว
กวนเหว่ยหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ! มิน่าเล่า เขาถึงได้โทรมาถามถึงคุณ แล้วยังบอกให้ผมดูแลคุณดีๆ มีเรื่องอะไรให้ติดต่อเขา แถมยังถามอีกด้วยว่าคุณจะขออาจารย์คนไหนมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา…”
เมื่อเฉินชางได้ฟังเช่นนั้น เขาก็ยิ้มกระอักกระอ่วน
อันที่จริงแล้วเฉียนเลี่ยงเป็นตัวเลือกที่ดีมาก แต่ตนมีภารกิจกราบอาจารย์ของเฉียนเลี่ยงแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเกิดขึ้น ในช่วงเวลานี้ เฉินชางวางแผนไว้ว่าถ้ามีเวลาว่างก็จะวิเคราะห์ข้อมูลสถิติการผ่าตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็ก เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาเขียนวิจัยแล้วลองส่งตีพิมพ์
เดิมทีคิดว่าภารกิจกราบอาจารย์เมิ่งซีจะขาดทุนยับเยินแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้กำไรมหาศาล!
ไม่ต้องพูดถึงด้านอื่นๆ แค่ทักษะที่มากมายขนาดนั้น สำหรับเฉินชางแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก
แล้วอาชีพลับก็สุดยอดมาก คว้าทักษะสีม่วงมาครองได้ นับเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ตอนนี้สิ่งที่เฉินชางกังวลมากที่สุดคือ จะทำอย่างไรให้ค่าความรู้สึกดีของอาจารย์เมิ่งซีสูงขึ้นได้
ค่าต่ำสุดของการแลกทักษะระดับหนึ่งก็ต้องเสียค่าความรู้สึกดี 10 แต้ม แถมยังต้องใช้แลกด้วยค่าความรู้สึกดีอีก 20 แต้มถึงจะแลกทักษะมาได้ ยุ่งยากชะมัดเลย…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็เลี่ยงที่จะกังวัลเล็กน้อยไม่ได้
ดูแล้วคงต้องกลับไปที่โรงพยาบาลให้ฉินเยว่เทรนให้สักหน่อย วิธีเป็นนักประจบที่ประสบความสำเร็จอย่างสง่าผ่าเผย
มะรืนนี้เป็นวันเปิดภาคเรียน ดูท่าแล้วช่วงสองสามวันนี้คงทำงานได้ไม่เต็มที่สักเท่าไหร่จริงๆ ต้องกลับไปขอหัวหน้าลาหยุด
ถึงอย่างไรเสียอีกหน่อยไม่เข้าคลาสเรียนก็ได้ แต่ถึงอย่างไรวันเปิดภาคเรียน นักศึกษาใหม่อย่างเฉินชางก็ยังต้องไปอยู่ดี
เมื่อดูนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว เฉินชางก็เลยไม่กลับโรงพยาบาล ระหว่างเฉินชางเดินผ่านแผงลอยขายผัก ก็เลยแวะซื้อวัตถุดิบอาหารเล็กน้อยกลับไปทำกับข้าวฉลองให้ตนเองที่บ้านสักหน่อย
เฉินชางได้รับถ่ายทอดฝีมือทำอาหารมาจากครอบครัว
ตระกูลเฉินเป็นพ่อครัว ปัจจุบันนี้พ่อของเฉินชางเป็นพ่อครัวที่มีชื่อเสียงอยู่ที่บ้านเกิด ครอบครัวไหนมีจัดงานแต่งงานหรืองานเลี้ยงฉลองก็จะต้องเชิญเฉินต้าไห่ไปเป็นพ่อครัว ถึงแม้ค่าแรงจะไม่มาก แต่ก็ได้รับความเคารพท่วมท้น
การที่เฉินชางเป็นศัลแพทย์ไม่ได้ทำให้มีดทำอาหารของตระกูลต้องเสียเกียรติ
เพราะถึงอย่างไรเสีย ทุกครั้งเวลาที่เฉินชางทำงาน เฉินชางก็ต้องใช้มีดกรีดเนื้อเหมือนกัน
เฉินชางซื้อเนื้อวัวหนึ่งครึ่งกิโลกับเต้าหู้จำนวนหนึ่งกลับมาทำเนื้อตุ๋นที่บ้าน
…
ระหว่างที่เดินทางไปโรงพยาบาลในตอนบ่าย เฉินชางบังเอิญเจอกับหวังเชียน
“พี่เชียนเอ๋อร์!”
เมื่อหวังเชียนเห็นเฉินชาง เขาก็ยิ้มแล้ววิ่งเข้ามาหา “โอ๊ย อิ่มมากเลย”
เฉินชางยิ้ม “พี่เชียนเอ๋อร์ อาหารอร่อยใช้ได้ใช่มั้ย ไปกินแถวย่านธุรกิจการค้าเทียนเจียมาหรือครับ”
หวังเชียนเบะปาก “อาหารราคาแพง ลูกของเพื่อนเก่าอายุครบหนึ่งเดือนเต็ม ก็เลยจัดโต๊ะจีน ใส่ซองไปห้าร้อยหยวน ผมก็เลยหาทางที่จะทำให้ไม่ขาดทุน ก็เลยพยายามกินให้คุ้ม”
เฉินชางหัวเราะลั่น “พี่สะใภ้ตั้งครรภ์แล้วไม่ใช่หรือครับ อีกเดี๋ยวก็ได้ทุนคืนแล้ว!”
หวังเชียนหัวเราะ “ใช่แล้ว แต่เสี่ยวเฉิน ตอนที่ผมแต่งงานคุณไม่ได้มาร่วมงาน น่าเสียดายจริงๆ เพื่อนเจ้าสาวสวยๆ ทั้งนั้น จุ๊จุ๊…ตอนนั้นผมยังร้อนใจแทนคุณเลย…”
“…ผมว่านี่เป็นเรื่องด่วนสำหรับคุณนะ ต้องรีบหาคู่สักคนนะครับ…”
“…อายุคุณก็ไม่น้อยแล้ว อายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะครับ การงานก็มั่นคงแล้ว รายได้ก็สูง หน้าตาก็หล่อเหลา ตอนนี้สิ่งที่ยังขาดในชีวิตของคุณก็คือผู้หญิงสักคนที่จะเติมความสมบูรณ์ความสุขในชีวิต…”
“…ผมว่านะ ฉินเยว่ก็ไม่เลว เราพูดกันแบบเปิดใจเลยนะครับ พวกเรารู้จักกันมาสามปีแล้ว รู้นิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ใช่มั้ยล่ะ…”
“…ข้อแรกเลย ฉินเยว่เป็นผู้หญิงที่ดี จบปริญญาโทจากเซียงยาเลยนะ แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้หัวหน้าถึงเหมางานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของฉินเยว่ไปทำแทน ผมเดาว่าผู้อำนวยการฉินเป็นคนจัดแจงเรื่องนี้ เพราะผู้อำนวยการฉินเห็นว่าเธออายุไม่น้อยแล้ว ไม่อยากให้เธอทุ่มงานหนักจนเกินไป อยากให้รีบแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา…”
“…อ้อ! จริงด้วยสิ คุณคงจะไม่ได้ไม่รู้ใช่มั้ยว่าผู้อำนวยการฉินของโรงพยาบาลอันดับสองของเราเป็นพ่อของฉินเยว่”
เฉินชางส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ
“ดูไม่ออก? ฉินเยว่ปิดปากเงียบมาก วันๆ เอาแต่ร้องห่มร้องไห้”
หวังเชียนหัวเราะเย้ยหยัน “หึ คนร้องห่มร้องไห้เป็นคนมีเงินทั้งนั้น คนจนๆ อย่างเราๆ วันๆ เอาแต่คุยโวโอ้อวด คุณเองก็จัดอยู่ในกลุ่มคนมีเงิน รับงานนอกไม่กี่เคสต่อเดือนหาเงินได้มากกว่าผมอีก!”
เฉินชาง “…”
หวังเชียนหัวเราะพร้อมตบไหล่เฉินชางเบาๆ “ชางเอ๋อร์ ผมพูดจากใจเลยนะ คุณตัวคนเดียวทำงานสู้ชีวิตในเมืองอันหยางคนเดียวลำพังมันไม่ง่าย ฉินเยว่เหมาะสมกับคุณแล้ว ถ้าคุณสองคนแต่งงานกันแล้วผู้อำนวยการฉินจะไม่เลื่อนตำแหน่งให้คุณหรือไง เส้นสายกับเงินทองที่ตระกูลฉินสั่งสมมาจะไม่ตกเป็นของคุณทั้งหมดหรือ…”
“…ผมว่านะ หาภรรยาในที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกันดีที่สุด! อีกหน่อยผู้อำนวยการฉินเกษียณแล้ว แล้วให้คุณเป็นคนดูแลลูกสาวเขา คุณคิดดูสิน่าตื่นเต้นขนาดไหน”
ฉินเยว่โผล่เข้ามากะทันหัน “ว้อท แอบพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับฉันหน้าห้องแผนกฉุกเฉิน พี่เชียนเอ๋อร์จิตใจไม่ดีเลยนะ”
เมื่อฉินเยว่มาแล้ว ก็พูดเรื่องพวกนี้กันไม่ได้แล้ว จู่ๆ หวังเชียนก็กล่าวกับเฉินชางว่า
“จริงด้วยสิ ช่วงเช้าที่คุณไม่อยู่ หัวหน้าบอกว่าเราจะเปิดรับบุคลากร…”
“…เหมือนว่าจะเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นสองคน แล้วก็พนักงานสัญญาจ้างอีกหนึ่งกลุ่ม”
การที่แผนกฉุกเฉินพัฒนาก้าวหน้านับเป็นเรื่องดี หัวหน้าหลี่เป่าซานมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ทรงพลัง แผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลอันดับสองเองก็มีการพัฒนาก้าวหน้าเช่นกัน
ฉินเยว่พยักหน้า “ใช่ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน เหมือนว่าตอนนี้จะไปเปิดรับจากในเมืองแล้ว ครั้งนี้เลือกคนที่มีความสามารถพิเศษ ว่ากันว่าต้องจบปริญญาโทจากสถาบันที่มีชื่อเสียง หรือไม่ก็ต้องมีตำแหน่งสูงระดับรองขึ้นไป”
เมื่อเฉินชางได้ฟังเช่นนั้น เขาก็ค่อนข้างสงสัย “ด้านอะไร”
ฉินเยว่ตอบ “เหมือนว่าจะเป็นตำแหน่งรองหัวหน้าแผนกศัลยกรรมทรวงอก แผนกศัลยกรรมทรวงอกของโรงพยาบาลเรายุบไปแล้ว ก็เลยขาดคนที่มีความรู้สาขานี้ สือฉีนั่นทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง โรงพยาบาลก็เลยต้องรับสมัครตำแหน่งรองหัวหน้าที่มีความรู้ด้านนี้มา ให้มาอยู่ที่แผนกฉุกเฉินเพื่อผ่าตัดทรวงอกโดยเฉพาะ”
หวังเชียนพยักหน้า “เป็นความคิดที่ดี การผ่าตัดทรวงอกมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดกัแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลใหญ่มาก ถึงโรงพยาบาลเราจะก่อตั้งแผนกศัลยกรรรมทรวงอกไม่ไหว แต่ก็จำเป็นต้องมีหัวหน้าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้สักสองสามคนสำหรับวินิจฉัยโรค! แล้วอีกตำแหน่งล่ะ”
ฉินเยว่ “เหมือนว่าจะเป็นด็อกเตอร์ด้านศัลยกรรมมือ”
หวังเชียนทำเสียงจุ๊ๆๆ “ดูท่าครั้งนี้โรงพยาบาลจะลงทุนเต็มที่ แผนกฉุกเฉินของเราต้องร่วมมือกันทำให้เต็มที่”
ระหว่างที่ทั้งสามคนเดินคุยกันก็เดินมาถึงห้องทำงาน
ตลอดช่วงบ่าย เฉินชางกับหวังหย่งจัดระเบียบแฟ้มประวัติผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ถึงอย่างไรเสียเฉินชางก็เป็นแพทย์อาวุโส ต้องเป็นคนเซ็นชื่อ
เวลาประมาณบ่ายสี่โมงกว่า โทรศัพท์มือถือของเฉินชางก็ดังขึ้น
“เสี่ยวเฉิน ผมเซียวเหอ คุณรีบมาที่ห้องส่องกล้องตอนนี้ด่วนเลย มีผู้ป่วยรายหนึ่งหลอดอาหารทะลุ คุณลองมาหน่อยว่าคุณทำได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ผมจะได้รีบโทรติดต่อย้ายโรงพยาบาล”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เฉินชางก็รีบววงของในมือลงทันที “หัวหน้าเซียวครับ ผมขึ้นไปแล้วเราค่อยคุยกัน!”