บทที่ 298 อาจารย์เฉินเป็นคนบรรยายเรื่องนี้!
“ฉันว่าเฉินชางบรรยายได้ยอดเยี่ยมมาก ฉันเคยฟังคนอื่นบรรยายเรื่องการเจาะปอดมาก่อน ห่างชั้นกับเฉินชางมาก!”
“ที่สำคัญคือหล่อ!”
“ขนาดนั้นเลยจริงๆ หรือ”
“มียิ่งกว่านี้อีก เมื่อวานนี้พวกฉันสิบสองคนยี่สิบคำถาม เฉินชางตอบได้หมด! ฉันว่านะ ในบรรดาผู้บรรยายเรื่องการเจาะปอด เฉินชางคือนัมเบอร์วัน!”
“ฉันได้ยินมาว่าเฉินชางยังไม่มีแฟน!”
“เขาเป็นบุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับสอง ตอนนี้ทางโรงพยาบาลสนับสนุนให้เรียนต่อปริญญาโท หน้าตาหล่อ การงานดี นิสัยไม่เลว ต้องเร่งมือแล้ว!”
…
ผู้หญิงทั้งสามคนนี้พูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ความจริงวันนี้พวกเธอไม่มีชื่อเข้าอบรม แต่พวกเธอมาฟังบรรยายหัวข้อเดิมซ้ำอีกรอบ พฤติกรรมนี้ก็เหมือนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย คลาสไหนอาจารย์หล่อก็จะดึงดูดเหล่าบรรแฟนคลับ คนที่เข้ามาฟังบรรยายในคลาสก็จะเยอะมากเป็นพิเศษ!
ความจริงส่วนใหญ่แล้วคนที่เข้าร่วมฝึกอบรมจำนวนมากเป็นแพทย์ที่เรียนจบปริญญาโทแล้วแต่ยังไม่ได้ใบผ่านการฝึกอบรมกฎระเบียบแพทย์ ก็เลยต้องมาเข้าร่วมอบรมในภายหลัง
อีกทั้งในปัจจุบันนี้ อาชีพหมอมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ว่าต้องมีใบผ่านการฝึกอบรมกฎระเบียบแพทย์ ซึ่งสมัยนี้มีความสำคัญพอกันกับใบรับรองคุณสมบัติผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแล้ว ไม่มีใบผ่านการฝึกอบรมกฎระเบียบแพทย์ก็หมดหนทางที่จะเลื่อนขั้นเป็นระดับกลางได้
บอกชัดเจนแล้วว่าถ้าคุณไม่มีใบผ่านการฝึกอบรมกฎระเบียบแพทย์ก็จะไม่รับพิจารณาให้เป็นแพทย์เจ้าของไข้
ดังนั้นคนจำนวนมากจึงเข้าร่วมการฝึกอบรม
แต่ในเวลานี้ เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนระหว่างนักศึกษาแพทย์ชายกับนักศึกษาแพทย์หญิงแล้ว นักศึกษาแพทย์สิบคนจะมีหญิงเจ็ดคน ชายสามคนดังนั้นในมหาวิทยาลัยการแพทย์ เมื่อวัดจากอัตราส่วนเปรียบเทียบแล้ว ผู้ชายหาแฟนได้ง่ายกว่า
…
หลังจากที่คนกลุ่มหนึ่งผลักประตูเดินเข้าไปในห้องอบรมหัวข้อการเจาะปอดแล้ว ทันใดนั้นก็เห็นว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านในแล้ว
ชายคนนี้…เส้นผมมันเยิ้มพาดปิดศีรษะตรงกลางที่ล้าน ชุดกาวน์ให้เอี่ยมปกคลุมพุงที่ยื่นออกมา ดูซกมก…
ทันใดนั้นคนที่กำลังจะเตรียมเซ็นชื่อเข้าอบรมก็เกิดความลังเล!
ผู้ชายคนนี้…ไม่น่าจะใช่เฉินชางมั้ง
“ผู้ชายคนนี้คือเฉินชาง? หน้าตา…แบบนี้?”
คนที่มาอบรมเมื่อวานต่างก็พากันตกตะลึงมึนงง “ไม่ใช่! เฉินชางเรียนห้องเดียวกับผม มีหรือที่ผมจะไม่รู้จัก ผู้ชายคนนี้ใช่เฉินชางที่ไหนกัน”
คนเหล่านี้ยึกยักไม่ยอมเซ็นชื่อ แต่ละคนมองสือฉีด้วยสีหน้าสงสัย
มาถึงขนาดนี้แล้ว กลับลำไม่ได้แล้ว?
เมื่อสือฉีเห็นว่าคนมากันใกล้จะครบแล้ว เขาก็เปิดสไลด์เพาเวอร์พ้อยท์ เผยรอยยิ้มสไตล์แดเนียล วู “อืม ขอต้อนรับทุกท่านสู่โรงพยาบาลอันดับสองนะครับ ผมสือฉี วันนี้ผมจะมาบรรยายเกี่ยวกับการเจาะปอดและสิ่งที่ควรระวัง…
…ทุกท่านอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักผมสักเท่าไหร่นัก แต่นานวันไปก็จะรู้จักคุ้นเคยกันไปเอง แต่ก่อนผมเคยเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมทรวงอกของโรงพยาบาลเรา ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลง ผมจึงโยกย้ายมาอยู่แผนกศัลยกรรมเต้านม ดังนั้นเมื่อพูดเรื่องการอธิบายการเจาะปอด ที่โรงพยาบาลอันดับสองผมคงเป็นคนที่เหมาะที่สุดแล้ว”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ สือฉีก็แสร้งทำเป็นหัวเราะอารมณ์ขัน
“ในทางการแพทย์ การเจาะปอดเป็นขั้นตอนที่ใช้บ่อยมาก สำหรับบุคลากรทางแพทย์แล้ว สิ่งนี้มีความสำคัญมาก ทุกคนในที่นี้ต่างก็จะต้องเป็นหมอในอนาคต ดังนั้นเทคนิคในด้านนี้เป็นเทคนิคที่จำเป็นมากที่จะต้องรู้…
…ปกติงานของผมยุ่งมาก แต่หลังจากที่ผมได้รับเชิญจากศูนย์ฝึกอบรม ผมก็รู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่า ดังนั้นผมก็เลยมาในวันนี้ เริ่มอบรม…”
ข้อมูลของสือฉีที่ใช้สำหรับบรรยายเป็นข้อมูลที่หลี่ซื่อเจี้ยนเก็บไว้เมื่ออดีต ในตอนนั้นหลี่ซื่อเจี้ยนแผนกศัลยกรรมทรวงอกมักจะไปบรรยายคู่กันกับเฉินชาง ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดจึงมีพร้อมให้ใช้งาน
ตอนนี้สือฉีเตรียมเข้ามาเป็นหัวหน้าของศูนย์ฝึกอบรม เพราะหัวหน้าอาวุโสของแผนกศัลยกรรมเต้านมไม่ยอมเกษียณ เขาก็เลยไม่มีทางที่จะเลื่อนตำแหน่งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เรื่องการวินิจฉัยและการรักษาทางการแพทย์ ตอนนี้เขาไม่ค่อยอยากทำแล้ว
เป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมทรวงอกอยู่สามปี ทำงานอย่างคนไร้จุดหมายอยู่สามปี เป็นช่วงชีวิตที่แสนเหนื่อยยาก
มาเป็นหัวหน้าอยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรม ดูแลนักศึกษาแพทย์ไม่กี่ร้อยคนกลับสบายใจกว่า
การบรรยายของสือฉี…มีระเบียบแบบแผน ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้มาก และเป็นทางการมากอีกด้วย
ทุกคนได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าใช้ได้
แต่คนที่ได้ฟังบรรยายของเฉินชางมาแล้วเมื่อวานนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการบรรยายของสือฉีไม่ค่อยเติมเต็ม
เมื่อไม่มีข้อเปรียบเทียบก็ไม่มีความแตกต่าง บางครั้งระดับฝีมือในการตรวจรักษาของแพทย์ก็ดูได้จากวิธีการอธิบายสิ่งต่างๆ บางคนพูดจาน่าฟังมีหลักการและเหตุผล แต่บางคนจืดชืดไม่น่าสนใจ
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่สือฉีเป็นเป็นอดีตหัวหน้าแผนกศัลยกรรมทรวงอก ทุกคนก็เลยยังคงรู้สึกว่าสือฉีน่าจะมีความรู้ในด้านนี้ บางทีอาจไม่แค่ถนัดเรื่องบรรยายเท่านั้นเอง
ก็เลยอดทนฟังบรรยายต่อไป หลังจากที่สือฉีบรรยายจบแล้ว เขาก็มองทุกคนพร้อมถามขึ้นว่า “มีคำถามอะไรมั้ยครับ”
และในตอนนี้มีใครคนหนึ่งถามขึ้นว่า “อาจารย์สือครับ แนวทางการรักษาโรคเยื่อหุ้มปอดของสมาคม British Thoracic Association ปี 2010 สำหรับโรคเยื่อหุ้มปอดที่เกิดจากน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดจากมะเร็งที่กระจาย แนวทางการรักษาระบุไว้ว่าปริมาณของเหลวส่วนเกินที่ต้องกำจัดออกจากช่องเยื่อหุ้มปอดขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยในขณะนั้น ปริมาณของเหลวที่ดูดออกมาแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 1500 ml แต่เมื่อกี้นี้คุณบอกว่าในครั้งหนึ่งไม่ควรเกิน 700 ml และในครั้งต่อไปไม่ควรเกิน 1,000 ml แต่ในหนังสือ PUMC Respirology ระบุว่าในครั้งหนึ่งไม่ควรเกิน 600 ml และครั้งต่อไปไม่ควรเกิน 1,000 ml ผมสงสัยว่าทำไมตัวเลขปริมาณของเหลวที่ดูดออกมาแต่ละครั้งของประเทศเราถึงต่างจากประเทศอื่น”
ทันทีที่คำถามนี้ถูกถามออกไป ทุกคนในสถานที่จัดอบรมต่างก็ถึงกับมึนงง!เป็นคำถามที่ยอดเยี่ยมมาก!
แค่ฟังก็รู้ได้เลยว่าเหนือชั้น!
เพราะข้อมูลที่ตีพิมพ์ลงบนหนังสืออายุรศาสตร์ฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งที่ห้า หก เจ็ด แปด ทุกเล่มระบุว่าปริมาณของเหลวที่ดูดออกมาครั้งหนึ่งไม่เกิน 700 ml ครั้งต่อไปไม่ควรเกิน 1,000 ml แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครตั้งคำถามกับเรื่องนี้เลยจริงๆ!
สือฉีชะงัก คำถามนี้เป็นถามที่ดี เขาชี้นิ้วไปหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้า ถามขึ้นว่า “คำถามนี้คุณคิดว่ายังไงครับ”
หญิงสาวลังเลเล็กน้อย “ฉันดูจาก…หนังสืออายุรศาสตร์ฉบับที่แปด…”
ทันทีเธอตอบคำถามนี้ออกไป ทุกคนโดยรอบต่างตกตะลึงจนตาค้างในทันใด แล้วก็ส่งเสียงหัวเราะลั่นออกมา
สือฉีก็หัวเราะเช่นกัน เขากล่าวขึ้นว่า “เพราะการดูดของเหลวออกในปริมาณที่มากและรวดเร็วจนเกินไปจะก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด ดังนั้นเราจึงปฏิบัติตามแนวทางของเราจะมั่นใจกว่า”
หญิงสาวชะงัก “งั้นต่างประเทศดูดของเหลวออกมาจากช่องเยื่อหุ้มปอด 1,500 ml ตั้งแต่ครั้งแรกไม่กลัวอันตรายหรือคะ ทฤษฎีนี้ของเรากับต่างประเทศแตกต่างกันแค่เพราะเรายึดแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมงั้นหรือคะ”
สือฉีชะงักเล็กน้อย “ทุกแนวทางปฏิบัติและทุกทฤษฎีได้มาจากศึกษาวิจัยของผู้เชี่ยวชาญผ่านประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยจำนวนมากจนได้ผลสรุปออกมา ผมมองว่าพวกเราควรให้ความสำคัญกับแนวทางเหล่านี้”
ทันใดนั้นหญิงสาวคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นพร้อมกล่าวขึ้นว่า “อาจารย์สือคะ ความจริงแล้วตัวเลขนี้มีที่มาที่ไปค่ะ แล้วก็ไม่ใช่ตัวเลขที่ตายตัวด้วย…
…วิชาสรีรวิทยาบอกเราว่าความจุปอดของผู้ชายวัยผู้ใหญ่อยู่ที่ 5,000 ml ซึ่งประกอบด้วยปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าได้มากที่สุดอยู่ 3,500 ml บวกกับปริมาตรของอากาศที่เหลืออยู่ในปอดหลังจากหายใจออก 2,500 ml ด้วยเหตุนี้เราจึงคาดว่าความจุทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 5,000 ml ปอดหนึ่งข้างก็อยู่ที่ 2,500 ml…
…สำหรับผู้ป่วยมีภาวะน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มปอดปริมาณมาก เราจะดูดของเหลวออกข้างละ 1,000 ml เท่ากับเศษสองส่วนห้าของความจุปอดหนึ่งข้าง ซึ่งเป็นปริมาณที่เยอะมาก ถ้าเราดูดออกรวดเดียว 1,500 ml (ปอดหนึ่งข้าง) เท่ากับเศษสามส่วนห้าของความจุปอดหนึ่งข้าง ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
…อีกทั้งยังมีสถิติทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นว่า คนยุโรป-อเมริกามีโครงสร้างร่างกายใหญ่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ไร้ข้อโต้แย้ง ขนาดความจุปอดของคนยุโรป-อเมริกามีพื้นที่ความจุที่มากกว่า ดังนั้นปริมาณของเหลวในการดูดของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอดออกของคนเหล่านี้ย่อมดูดได้ในปริมาณที่มากกว่าเรา ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้…
…และความหมายที่แท้จริงของแนวทางการรักษาไม่ได้เน้นย้ำให้ยึดกับตัวเลขที่ระบุไว้อย่างตายตัว แต่เป็นแค่ตัวเลขที่ใช้เป็นแนวทางเท่านั้น ในเวลาที่เรารักษาผู้ป่วยจริงๆ ในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยึดตัวเลข 700 ml 1,000 ml โดยไม่ปรับเปลี่ยนอะไร เพราะผู้ป่วยแต่ละรายไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเป็นอายุ รูปร่าง เราจึงยึดตัวเลขนี้ตายตัวไม่ได้ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือจะต้องสังเกตอาการของผู้ป่วยตลอดเวลา ในต่างประเทศก็ยึดหลักการเช่นเดียวกันนี้ แนวทางการรักษาเป็นสิ่งที่ไร้ขีดจำกัด ในฐานะหมอควรสังเกตผู้ป่วยอย่างละเอียด เลือกปริมาณที่เหมาะสมกับผู้ป่วย”
เสียงพูดของหญิงสาวไม่ดัง แต่ก็ทำให้ทุกคนให้สถานที่จัดอบรมเงียบเสียงลงได้
เธออธิบายอย่างเชี่ยวชาญฉาดฉาน ชัดเจนกระจ่างแจ้ง อธิบายตัวเลขการเจาะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดจนทุกคนเกิดความเข้าใจในทันใด
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!
แม้แต่สือฉีเองยังสัมผัสได้ถึงความรู้แจ้งในชั่วพริบตา อธิบายได้ดีมาก ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
สือฉีอดกล่าวถามไม่ได้ว่า “นักศึกษาท่านนี้อธิบายได้ดีมากจริงๆ! เข้าใจถึงแก่นเลย”
ความจริงหญิงสาวคนนี้ก็ไม่ได้อยากพูดนัก แต่ก็อดไม่ได้ แน่นอนว่าเธอเองก็คาดไม่ถึงว่าจะส่งผลมากขนาดนี้ เธอมองคนอื่นๆ โดยรอบที่กำลังมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นทันที
“อันที่จริงแล้ว…นี่ไม่ใช่ความคิดฉัน แต่เป็นเรื่องที่อาจารย์เฉินบรรยาย” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าเขินอาย แล้วก็ชี้ไปที่เพื่อนข้างๆ “ถามพวกเขาดูได้ พวกเขาก็รู้!”
เพื่อนๆ ที่นั่งข้างๆ ต่างก็พยักหน้า “ใช่ครับ อาจารย์เฉินพูดไว้หมดแล้ว”
ทุกคนในสถานที่อบรมตกตะลึงจนตาค้างในทันใด!
อาจารย์เฉินคือใคร
ใครคืออาจารย์เฉิน
แม้แต่สือฉีเองก็ยังแสดงสีหน้างุนงง อาจารย์เฉินคือใคร ทำไมคุ้นจัง