บทที่ 302 สือฉีผู้น่าอาย
สือฉีที่ยืนอยู่ด้านนอกรู้สึกสับสน อยากจะไปแต่ก็ไม่อยากไป! เขาคิดว่าจางจิ้นเฟิงผู้เป็นหัวหน้าแผนกสูตินรีเวชกำลังทำลายชื่อเสียงของตัวเธอเองอยู่!
แผนการรักษาแบบนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นแผนที่มีความอันตรายและยังมีความเสี่ยงสูงด้วย นี่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ จางจิ้นเฟิงโง่ไปแล้วหรือ! มีชื่อเสียงให้ทำลายมากนักหรือไง
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ที่จางจิ้นเฟิงให้ตนออกมา เห็นตนเป็นเพียงคนว่างงาน สือฉีก็เต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ!
น่ารังเกียจ!
แม้กระนั้น จางจิ้นเฟิงก็เป็นคนที่มีอำนาจอิทธิพลในโรงพยาบาลอันดับสองสูงมาก มีตาเป็นผู้นำมณฑล ตำแหน่งในโรงพยาบาลก็สูงส่ง แม้แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเลขาธิการก็ยังต้องเกรงใจเธอ
คิดไปคิดมา สือฉียังตัดสินใจอดทนไว้ จะอย่างไร…คนคนนี้ก็ล่วงเกินไม่ได้! แต่คนที่สือฉีจะอดทนด้วยคือหัวหน้าจาง ไม่ใช่เฉินชาง!
พอคิดถึงเฉินชาง สือฉีก็รู้สึกไม่พอใจ หมอตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เพิ่งได้บรรจุไม่กี่วันก็มาโอ้อวดความสามารถต่อหน้าเขาแล้ว วันนี้ pk กันไปสองครั้ง ตนถูกน็อคเอาท์ทุกครั้ง ไม่มีอะไรให้ตอบโต้เลยสักนิด สู้กันสองครั้ง หลอดเลือดของเฉินชางไม่ลดแม้แต่น้อย นี่ทำให้สือฉีรู้สึกไม่สบายใจ
เมื่อคิดดูให้ดี ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินชางก็ไม่ได้พูดอะไรเสียมารยาทกับเขาเลยแม้แต่ประโยคเดียว! พูดกับเขาเพียงแค่ว่า “ขอบคุณครับหัวหน้าสือ”
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ สือฉีก็ยิ่งไม่พอใจ ประการแรกเป็นเพราะนักเรียนที่คนอื่นสั่งสอนเอาชนะตนได้ ประการที่สอง…ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ เหมือนกับกินแมลงวันเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้เขากำลังรอดูเรื่องสนุกๆ อยู่ข้างนอก!
เขาไม่เชื่อว่าเฉินชางจะเจาะผ่านหนังบริเวณหน้าท้องเข้าไปจนถึงตัวเด็กทารกได้ มันก็เหมือนกับการฝันกลางวันนั่นแหละ สือฉีมั่นใจมากว่าเฉินชางมีโอกาสล้มเหลวสูง
……
จางจิ้นเฟิงผ่อนคลายลงได้ในที่สุด ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ตอนนี้เธออารมณ์ดีมาก เธอดีใจสุดๆ เหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไปตอนที่ตนเองเป็นวัยรุ่น ได้แต่ยืนงงไม่เข้าใจอะไร ได้แต่คลำทางหาวิธีการรักษาทางคลินิก
ในยุคนั้นหลังจากก่อตั้งโรงพยาบาลแล้ว หมอหลายคนได้เรียนรู้การผ่าตัดหลายประเภทมาเพียงชั่วระยะหนึ่ง ต่อจากนั้นหมอแต่ละคนก็เริ่มคลำทางด้วยตัวเอง ตอนนั้นพวกเขาไม่มีใครสอน ไม่มีหมออาวุโสคอยดูแล สุดท้ายก็ได้แต่หาวิธีเอาเองไม่ใช่หรือ
ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงมีความกล้าและห้าวหาญมากพอ! พวกเขากล้าคิดกล้าทำแต่ก็ต้องอ้างอิงจากประสบการณ์และปัจจัยในแต่ละด้านด้วย
ตอนนั้นปัจจัยทางการรักษาและอนามัยของผู้คนค่อนข้างแย่ ทรัพยากรแต่ละด้านก็มีจำกัด แม้จะเกิดปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหาทางการแพทย์ขนาดใหญ่เช่นวันนี้ เพราะคนส่วนมากไม่สนใจการแพทย์!
ดังนั้นหมอในยุคนั้นจึงต้องฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลังจากก่อตั้งโรงพยาบาลแล้วถึงมีหมอแก่ๆ กลุ่มหนึ่งที่มีนิสัยดุดัน!
คำว่าดุดันบรรยายได้ดีจริงๆ
หมอกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เกิดหลังยุคห้าศูนย์ถึงหกศูนย์ พวกเขาเริ่มมีประสบการณ์มาตั้งแต่ยุคเจ็ดศูนย์แปดศูนย์ที่การแพทย์ค่อนข้างล้าหลัง มาถึงตอนนี้แม้วิทยาการจะรุ่งเรืองแล้ว แต่เมื่อเจอผู้ป่วย ความพยายามและความห้าวหาญของพวกเขาก็ยังมากชนิดที่หมอยุคนี้เทียบไม่ได้
ความจริงจางจิ้นเฟิงก็ไม่มั่นใจ แม้จะคิดแผนการรักษาออกมาได้ แต่แผนการรักษานี้ยากเกินไป ตัวเธอเองก็ยังไม่มั่นใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะนอกจากแผนนี้แล้ว เธอก็คิดแผนอื่นไม่ออก
ด้วยเหตุนี้ ณ เวลานั้นจึงต้องดำเนินการไปอย่างแข็งกร้าวห้าวหาญ เธอจึงตัดสินใจให้คนที่มีฝีมือการเจาะทรวงอกสูงเข้ามาร่วมรักษา
หากไม่มีเฉินชาง ต่อให้แผนการรักษาของจางจิ้นเฟิงจะดีขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์
นี่นับเป็นเคสศึกษาของการการวินิจฉัยและรักษาร่วมที่มีผลลัพธ์สมบูรณ์แบบเคสหนึ่งเลยทีเดียว! กระทั่งเอาออกมาแสดงในงานสัมมนาประจำปีได้เลย แม้ว่าจางจิ้นเฟิงใกล้เกษียณแล้ว แต่ก็ยังอยากศึกษาเคสตัวอย่างเช่นนี้ จะอย่างไรเคสเหล่านี้ก็ช่วยขยายแนวทางและยกระดับวิธีการรักษาให้บุคลากรทางการแพทย์ได้มากขึ้น!
ต่อไปนี้ไม่อาจพูดได้แล้วว่าเด็กยังไม่คลอดก็รักษาไม่ได้ นี่นับเป็นแผนการรักษาที่หาได้ยากยิ่งในประเทศจีน
ขณะนี้เฉิงซินที่เป็นเพื่อนนักเรียนของเฉินชางรู้สึกได้ถึงความเร่าร้อนและตื่นเต้นที่กำลังพุ่งทะยานของตน!
เธอคิดว่านี่ต่างหากจึงจะเรียกได้ว่าหมอ คือคนที่ยอมเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย
เมื่อคิดถึงสือฉี เฉิงซินพลันรู้สึกเหยียดหยาม เดิมทียังคิดว่าเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง นึกไม่ถึงว่าเป็นได้เพียงกากเดน
ไม่เห็นด้วยกับแผนการรักษาไม่พอ ยังจะไม่ให้ความร่วมมือกับเฉินชางอีก แต่ดีแล้วที่ไม่ให้ความร่วมมือ มิฉะนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา นอกจากจะสร้างปัญหาเพิ่มแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้
อันที่จริงในสายตาของนักเรียนแพทย์ย่อมแยกแยะระดับฝีมือของหมอทั้งหลายได้อย่างชัดเจน คิดว่านักเรียนจะไม่มีความคิดแยกแยะเป็นของตนเองหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น…เจอเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็รีบหนีเสียเร็วเชียว
ความสามารถในการซุบซิบหมอในโรงพยาบาลของนักเรียนแพทย์ก็รวดเร็วเหมือนกับแมวได้กลิ่นปลานั่นแหละ
ตอนนี้เฉิงซินอดรนทนไม่ไหว อยากกลับหอไปเม้าท์มอยเรื่องเคสวันนี้จริงๆ
น่าสนุกเกินไปแล้ว!
นี่เป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยม เจาะผ่านหนังบริเวณท้องของมารดาเข้าไปถึงช่องอกของทารก แผนการรักษาแบบนี้เห็นได้น้อยจริงๆ พูดออกไปจะต้องสร้างความตื่นตะลึงได้มากแน่นอน
วันนี้เฉิงซินคอยสังเกตท่าทางของหมอระดับหัวหน้าทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ จึงได้เข้าใจกระจ่าง
เคสวันนี้อาจจะเป็นเคสที่หาได้ยากในรอบหลายสิบปี
เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
จางจิ้นเฟิงมองเฉินชางอย่างพึงพอใจ กล่าวด้วยความรู้สึกชื่นชมว่า “เสี่ยวเฉิน สุดยอดจริงๆ ต่อไปนี้ถ้าแผนกสูตินรีเวชของพวกเราต้องการวินิจฉัยหรือรักษาร่วม ฉันจะตามตัวคุณได้ไหมคะ”
เฉินชางยิ้มบางๆ “เป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ”
จางจิ้นเฟิงรู้สึกชอบเฉินชางขึ้นเรื่อยๆ แล้ว น่าเสียดายที่ลูกสาวบ้านตนแต่งงานไปแล้ว ส่วนหลานสาวก็เพิ่งอายุห้าขวบ มิฉะนั้น…
จิ่งหรานเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้วจึงคิดจะบอกลา “หัวหน้าจาง งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
จางจิ้นเฟิงรีบพูดขึ้นว่า “วันนี้รบกวนหัวหน้าจางแล้วค่ะ ลำบากให้คุณมาช่วยแล้ว”
จิ่งหรานยิ้ม “หัวหน้าจางเกรงใจเกินไปแล้ว ถ้าผมไม่มาจะได้เห็นการเจาะทรวงอกในทารกที่หาดูได้ยากแบบนี้ได้ยังไงกันครับ ขนาดผมอยู่ที่ฟู่ไว่ก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ดูแล้วชื่อเสียงของแผนกสูตินรีเวชแห่งโรงพยาบาลอันดับสองจะต้องโด่งดังแน่ ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
จางจิ้นเฟิงยิ้มบางๆ “เกรงใจไปแล้วค่ะ”
คนจำนวนหนึ่งผลักประตูเตรียมจะเดินออกไป เพิ่งเปิดประตูก็เห็นสือฉียืนอยู่ที่ประตู
ทุกคนมองจนตาค้าง!
สือฉีตกใจจนเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วถามว่า “หัวหน้าจาง การเจาะทรวงอกสำเร็จไหมครับ”
จางจิ้นเฟิงรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สือฉีคนนี้หน้าด้านจริงๆ คนธรรมดาคงทำแบบนี้ไม่ได้แน่
จางจิ้นเฟิงแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่ง “ไม่เสียแรงที่หัวหน้าสือใส่ใจ การเจาะประสบความสำเร็จมากค่ะ หัวหน้าสือมีงานในแผนกไม่ใช่หรือคะ”
สือฉีชะงักไปทันที
ประสบความสำเร็จหรือ?!
นี่มันจะ…น่าเหลือเชื่อเกินไปหรือเปล่า
แต่เมื่อเห็นท่าทางและสีหน้าของทุกคน ดูไม่เหมือนล้อเล่น
สือฉีรีบโบกมือ “โอ้ ดีจริงๆ ครับ! พอผมออกมาแล้วก็เป็นห่วงจนจิตใจไม่สงบ กลัวว่าจะล้มเหลว หัวหน้าจาง คุณก็ทราบว่าผมเป็นคนระมัดระวัง อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่ทำ ตอนนี้ก็ถือว่าวางใจได้แล้วครับ”
กล่าวจบสือฉีก็ไม่มีหน้าอยู่ต่ออีก “เอ่อ ผู้ป่วยไม่เป็นอะไรผมก็สบายใจแล้ว!”
เมื่อเห็นสือฉีเดินจากไป ทุกคนก็หัวเราะออกมา