บทที่ 339 เพื่อนร่วมชะตา
ตีสองครึ่ง เฉินชางนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ กำลังศึกษาคลิปวีดีโอที่ไม่มีโครงเรื่อง มีแต่มีด เลือด เนื้อและกระดูกอย่างที่ต้องการนำเสนอ
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดคลิปวีดีโอนานสามสิบกว่านาทีก็จบลง เห็นได้ชัดว่าเฉินชางกดกรอไปข้างหน้า เอาจริงๆ คลิปแบบนี้ใครจะไปดูทุกวินาทีบ้างล่ะ เรื่องเหนื่อยเกินไปไม่ต้องพูดถึง ที่สำคัญก็คือหากทำเช่นนั้นจะดูได้แค่ไม่กี่เรื่อง
เฉินชางบิดขี้เกียจ สูดหายใจลึก
สนุกจริงๆ!
การผ่าตัดในหนังทำได้ดีจริงๆ!
สิ่งเดียวที่บกพร่องก็คือหากจะการเข้าชมแบบ HD ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกปวดใจกับค่าซื้อแพ็คเกจของตนเล็กน้อย
โดยปกติแล้วเวลานี้จะมีความรู้สึกอยู่สองแบบ แบบแรกก็คือง่วงเกินไปอยากนอน อีกแบบหนึ่งก็คือหิวเกินไปอยากกิน
เฉินชางลุกขึ้นขยับร่างกาย การนั่งขลุกอยู่กับวิดีโอตลอดเวลาเช่นนี้ไม่ดีต่อสุขภาพเลยจริงๆ
ขยับเนื้อขยับตัวสักหน่อย เฉินชางตัดสินใจแล้วว่าถ้าไม่นอนก็จะสั่งอาหารมากิน
หลังจากเดินออกมาแล้วก็พบว่าพยาบาลน้อยตรงเคาน์เตอร์พยาบาลสองคนกำลังถ่ายคลิปลง TikTok กันอยู่ มีเสียงเคลื่อนไหวอันคุ้นเคยดังแว่วมาให้ได้ยิน ส่วนเหยียนหมิงไม่รู้ว่าไปนอนอยู่ที่ไหนตั้งนานแล้ว อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เลยช่วงวัยกลางคนไปแล้ว จึงต้องรักษาสุขภาพให้ดี
เฉินชางก็อยากกลับไปนอน แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเหยียนหมิงผู้นี้พึ่งพาไม่ได้ หากไปนอนแล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นคงแย่แน่
ถ้างั้นก็หาของกินเถอะ
เฉินชางเดินออกมาจากห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน หยุดยืนอยู่ตรงประตู สัมผัสถึงลมกลางคืนที่เป็นเอกลักษณ์ของฤดูร้อน มันคละเคล้าไปด้วยความเย็นจางๆ ซึ่งแตกต่างจากอุณหภูมิที่เกิดจากแอร์ของห้องผ่าตัด
ความรู้สึกเย็นสบายเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่านี่คือความจริง
เฉินชางสัมผัสถึงความรู้สึกโล่งๆ ที่ได้ออกมาจากท้อง
สั่งอาหารเดลิเวอรี่มากินดีไหมนะ
ในขณะที่เฉินชางกำลังลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้นเอง จู่ๆ ฉางลี่น่าก็เดินออกมา
“ทำไมมาอยู่ข้างนอกล่ะคะ”
เฉินชางชะงักไป “ออกมาสูดอากาศครับ”
ฉางลี่น่าหยั่งเชิง “อยากกินมื้อดึกหน่อยไหมคะ เช่น…พวกเนื้อเสียบไม้อะไรแบบนี้”
คำพูดของฉางลี่น่าไปกระตุ้นต่อมจินตนาการด้านอาหารเลิศรสที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของเฉินชางให้ตื่นขึ้น แม้ปากจะบอกว่าไม่ แต่มือกลับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแอปเหม่ยถวนโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เอง ดูเหมือนฉางลี่น่าจะวางแผนมาอย่างยาวนาน เธอเปิดแอปเหม่ยถวนของตัวเองขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เฮ้อ แพงจริงๆ ร้านนี้มีคนแนะนำมา ราคาต่ำสุดก็สามสิบสี่สิบหยวนไปแล้ว แถมยังต้องมีค่าส่งอีกห้าหยวน”
คำพูดประโยคนี้ของฉางลี่น่าทำให้เฉินชางรู้สึกว่าอดทนไว้หน่อยก็ดี หากไม่กินจะประหยัดเงินไปได้ไม่น้อย
คิดได้ดังนั้นเฉินชางก็ยิ้มออกมา “ความจริงกินข้าวตอนนี้ก็ไม่ดีกับสุขภาพ งั้นผมไปนอนละ”
ฉางลี่น่ากล่าวลอยๆ ขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เฮ้อ ฉันเคยบอกว่าจะส่งรูปฉินเยว่ให้คุณอีกนี่นา เฮ้อ…ไม่มีแรงเลย ทำไงดีนะ”
แม้จะเป็นคนแซ่เฉินที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า ชั่วขณะนี้ก็ยังต้องหันมา “มาๆๆ ผมก็หิวเหมือนกัน พอดีเลย งั้นให้ผมเลี้ยงนะครับ คุณสั่งได้เลย”
ฉางลี่น่าได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “ฉันไม่ได้ขู่คุณนะคะ!”
เฉินชางตอบกลับไปอย่างชอบธรรมว่า “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชะตากันครับ”
จ่ายเงินไปห้าสิบกว่าหยวน ได้เทปันยากิมาสองที่ หมี่กึงย่างเจ็ดแปดไม้ อาหารว่างอย่างน้อยอีกสิบกว่าชนิด ค่อนข้างมากมายเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าแผนกฉุกเฉินจะมีความลึกลับที่ยังคงดำรงอยู่มาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่หลับลึกหรือเป็นช่วงเวลาอาหารเลิศรสโอชา ก็ยิ่งมีโอกาสที่ผู้ป่วยอันตรายจะปรากฏตัวออกมาได้มากขึ้นเท่านั้น!
หลังจากเฉินชางกินอิ่มแล้ว จู่ๆ ก็ถูกความง่วงเข้าจู่โจม
เฉินชางมองไปทางฉางลี่น่าแล้วกำชับว่า “ผมไปนอนก่อนนะครับ คุณช่วยดูหน่อย ถ้ามีอะไรก็ไปเรียกผมได้”
เฉินชางเดินไปที่ห้องเวรของแผนกฉุกเฉินฝ่ายศัลยกรรม จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน ไม่ถึงสิบนาทีก็หลับไป
ฉางลี่น่าเป็นพยาบาลมานานแล้วย่อมมีประสบการณ์สูง เธอนั่งจัดการงานเบ็ดเตล็ดอยู่ที่เคาน์เตอร์ กำลังจัดการบันทึกการเปลี่ยนเวรให้เรียบร้อย
เวลาประมาณตีสามตีสี่ จู่ๆ ก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา
“พยาบาล คุณพยาบาลคะ!”
ฉางลี่น่าหันไป ว่ามีหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ สีหน้าดูร้อนรน
หญิงชราคนนี้เป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง[1] เมื่อวานตอนบ่ายเธอก็มาแล้ว หลังจากได้รับการรักษาอาการก็ดีขึ้นมาก ฉางลี่น่าคิดว่าเธอไม่สบายจึงรีบถามว่า “คุณยายคะ เป็นอะไรหรือคะ”
หญิงชราคนนั้นรีบร้อนพูดขึ้นว่า “คือ ผู้ป่วยเตียงสิบสามที่อยู่ข้างฉันไม่รู้ว่าไปไหนแล้วค่ะ ออกไปครึ่งชั่วโมงแล้ว”
ฉางลี่น่าได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องของผู้ป่วยเตียงสิบสามทันที
ปฏิกิริยาแรกของฉางลี่น่าก็คือนั่งลงบนพื้นแล้วมองไปใต้เตียง
ไม่อยู่!
จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังห้องน้ำ แต่เมื่อผลักประตูก็พบว่ามีคนติดอยู่ในนั้น
ทันใดนั้นเองฉางลี่น่าก็ตะโกนว่า “หลัวกั๋วฮว๋าเตียงสิบสาม อยู่ด้านในหรือเปล่าคะ!”
ผู้ป่วยทั้งหกคนของห้องนี้พากันสะดุ้งตื่น
นี่เป็นห้องใหญ่ มีห้องน้ำห้องเดียว ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูของฉางลี่น่าทุกคนก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
ผ่านไปนาน ฉางลี่น่าก็ยังไม่เห็นว่าด้านในจะมีปฏิกิริยาอะไร เธอออกแรงผลักประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็พบว่าชายอายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นด้านใน
ฉางลี่น่าสีหน้าเปลี่ยนไปทันที!
เตียงสิบสามเป็นผู้ป่วยแผนกฉุกเฉินฝ่ายอายุรกรรม ฉางลี่น่าจึงรีบวิ่งไปยังประตูห้องทำงานของเหยียนหมิงแล้วเริ่มเคาะประตูไม่หยุด
“หมอเหยียน หมอเหยียน!”
ปังๆๆ!
เคาะประตูไปหลายสิบครั้งแต่ประตูก็ไม่เห็นจะเปิดออก ฉางลี่น่ามีสีหน้าเปลี่ยนไป เธอรีบวิ่งไปยังห้องทำงานแผนกฉุกเฉินฝ่ายศัลยกรรม เพิ่งจะเคาะไปสองครั้งเฉินชางก็รีบพลิกตัวลงจากเตียงแล้วออกมาเปิดประตูทันที
“มีอะไรครับ” เฉินชางนวดตาตนเอง รู้สึกตาพร่าเล็กน้อย
ฉางลี่น่ารีบบอกไปตามตรง “ผู้ป่วยเตียงสิบสามหมดสติในห้องน้ำค่ะ”
เฉินชางไม่ค่อยรู้เรื่องผู้ป่วยเตียงสิบสามมากนัก แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองแบ่งเป็นฝ่ายอายุรกรรมและศัลยกรรมอย่างชัดเจน ถึงแม้จะใช้เคาน์เตอร์พยาบาลเดียวกันและห้องฉุกเฉินเดียวกัน แต่ผู้ป่วยฝ่ายอายุรกรรมจำนวนมากก็อยู่ในความดูแลของหมอฝ่ายอายุรกรรม
มิเช่นนั้นคงไม่ต้องให้มีหมอเวรจากสองฝ่ายมาเข้าเวรร่วมกันหรอก
ที่หลี่เป่าซานคิดระบบเช่นนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้ฝ่ายอายุรกรรมและฝ่ายศัลยกรรมร่วมมือกันในตอนที่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น จะได้ช่วยกันจัดการเรื่องราวต่างๆ ในแผนกฉุกเฉินให้ดี
สิ่งที่เฉินชางรู้เกี่ยวกับผู้ป่วยมีจำกัด มีเพียงสิ่งที่ได้รู้มาจากการพูดคุยไม่กี่ประโยคตอนไปเดินตรวจเยี่ยมเมื่อครู่นี้ และข้อมูลที่จางซูบอกเอาไว้ตอนเปลี่ยนเวร มีเพียงเท่านี้เอง!
เฉินชางรีบวิ่งไปยังห้องผู้ป่วย ตอนนี้กางเกงของผู้ป่วยกองอยู่ที่หัวเข่า ศีรษะอยู่กับพื้น เป็นตายไม่แน่ชัด!
เฉินชางตกใจจนเหงื่อไหลท่วม!
ผู้ป่วยหัวใจวาย!
มีการถ่ายอุจจาระ!
ช็อคจนหมดสติ!
คำพูดเหล่านี้รวบรวมกันจนเกิดเป็นอาการที่น่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินชางก็รีบเรียกพยาบาล “ช่วยกันหามผู้ป่วยออกมา!”
ฉางลี่น่าพยักหน้า เธอที่ผ่านสนามรบของแผนกฉุกเฉินมานานย่อมไม่คิดปฏิเสธ รีบเข้ามาช่วยเหลือทันที
ผ่านไปหนึ่งนาที ทั้งสองก็พยุงผู้ป่วยขึ้นเตียงได้สำเร็จ
ตอนนี้สมองของเฉินชางแจ่มชัดมาก “ไปห้องฉุกเฉิน!”
ฉางลี่น่าตามเฉินชางไป พยาบาลที่กำลังพักผ่อนถูกเรียกมาทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าหมอเหยียนหมิงที่เป็นหมอเวรจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เฉินชางไม่สนใจเรื่องการแบ่งงานแบ่งภาระอะไรอีกแล้ว เขารีบพาผู้ป่วยไปที่ห้องฉุกเฉิน คิดว่าตรวจอาการของผู้ป่วยก่อนค่อยว่ากันเถอะ!
ห้องฉุกเฉินถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว
[1] โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease หรือ COPD) เป็นกลุ่มของโรคปอดอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ของประชากรทั่วโลก ลักษณะสำคัญของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังคือ หลอดลม เนื้อปอด และหลอดเลือดปอดเกิดการอักเสบเสียหายเนื่องจากได้รับแก๊สหรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลอดลมค่อยๆ ตีบแคบลงหรือถูกอุดกั้นโดยไม่อาจฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้อีก