เสี้ยวเถียนฮวาไปแล้ว ทิ้งเงินไว้สามปึก
รวดเร็วว่องไวจริงๆ!
ในมือของเฉินชางมีของเพิ่มมาอีกสองอย่าง หนึ่งคือเงินสามหมื่นหยวน อีกหนึ่งคือวีแชทและข้อมูลการติดต่อของเสี้ยวเถียนฮวาที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ
จางจื้อซินสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง!
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ในฤดูร้อนช่วงเวลากลางวันจะค่อนข้างยาว แม้ฟ้ายังไม่มืดแต่ก็เริ่มกลายเป็นสีเหลืองแล้ว
เรื่องวันนี้ทำให้เหนื่อยใจเล็กน้อย
จางจื้อซินมองไปยังเงินสามหมื่นหยวนในมือเฉินชาง
พูดยิ้มๆ ว่า “รวยแล้วนะครับ?!”
เฉินชางยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร เขาดูออกว่าความจริง…จางจื้อซินกำลังขมวดคิ้วแน่น ในรอยยิ้มมีเมฆหมอกแห่งความโศกเศร้าปรากฏชัด
เฉินชางอดถามไม่ได้ “อาจารย์จาง เป็นอะไรหรือครับ?”
จางจื้อซินสูดหายใจลึก จิ๊ปากเล็กน้อย “ไปเถอะครับ กินข้าวกันก่อน กินไปคุยไป”
ทั้งสองเก็บของเรียบร้อยแล้วจึงเดินทางไปยังตลาดกลางคืน
อากาศในเดือนสิงหาคมเหมาะกับปิ้งย่างและเบียร์กลางแจ้งที่สุด
แต่เพราะอากาศของเมืองอันหยางเป็นพิษรุนแรง การปิ้งย่างกลางแจ้งจึงกลายเป็นข้อห้ามไปโดยปริยาย ดังนั้นทุกร้านจึงย่างกันในร้านแล้วค่อยนำออกมาเสิร์ฟ
ต้องบอกว่าวิธีนี้ดีจริงๆ!
ก็เหมือนกับการปล่อยตดในกางเกงจะไม่โชยออกมาที่อากาศด้านนอกนั่นแหละ?!
หรือการปิ้งย่างจนเกิดควันในร้านจะสลายอยู่แค่ข้างใน?
แน่นอนว่าเฉินชางไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็แค่พูดแขวะเท่านั้นแหละ
ช่วงเวลาหนึ่งทุ่ม ตลาดกลางคืนยังไม่ค่อยคึกคัก ถือว่าอยู่ในช่วงอุ่นเครื่อง ผู้คนบางตา
เถ้าแก่จางผู้ร่ำรวยพาเฉินชางเดินไปที่ร้านอาหารทะเล
ดูออกเลยว่าเถ้าแก่จางเป็นลูกค้าประจำ มาถึงก็เริ่มสั่งหอยนางรมสด ไตผัดกุ้ยช่าย และกุ้งมังกรจิ๋วโครมๆ
เฉินชางพอจะมองช่องทางออกบ้างแล้ว!
เถ้าแก่จางสั่งอาหารโดยไม่ดูราคาและไม่แยกประเภท ดูแค่ว่าบำรุงหยางหรือเปล่า บำรุงไตหรือเปล่า!
เบียร์สองขวดกับหอยนางรมสดเจ็ดแปดตัวลงกระเพาะไปแล้ว ทั้งสองพูดคุยกันมากขึ้น
จางจื้อซินยิ้ม “เสี่ยวเฉิน ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะมีฝีมือขนาดนี้!”
เฉินชางพยักหน้า “ครับ ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าจางจื้อซินแข็งค้างไปโดยพลัน “หมายความว่ายังไง?”
เฉินชางพูดต่อ “ความจริงนี่เป็นพรสวรรค์น่ะครับ เรียนรู้ไม่ได้ แต่รู้สึกว่าตัวเองทำได้โดยกำเนิด”
จางจื้อซินโมโหขึ้นมาทันที เฉินชางถูกจับกรอกเบียร์ไปขวดหนึ่ง
ปกติเฉินชางสูบบุหรี่น้อยมาก ดื่มเหล้าดื่มเบียร์เป็นบางครั้ง เขาดื่มเบียร์ได้ห้าถึงหกขวด เหล้าขาวเจ็ดถึงแปดช็อต
ตอนเรียนเขายังพอไหว แต่เมื่อจบการศึกษาและเข้าทำงานแล้วก็ถูกเหล่าเฉินลากมาดื่มเหล้าด้วยกันไม่น้อย
ปกติศัลยแพทย์ก็ดื่มเหล้ากันทั้งนั้น อาจเป็นเพราะมีผู้ชายมาก ถ้าไม่ดื่มเหล้าก็ไม่มีความสุข
หลังจากเบียร์หลายแก้วลงกระเพาะ จางจื้อซินก็เริ่มพูดมากขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องวุ่นวายในแผนก เขายกเอาจางโหย่วฝูขึ้นมาทั้งด่าทั้งบ่น
เฉินชางรู้สึกประหลาดใจ หากว่ากันตามเหตุผล จางจื้อซินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทำไมไม่ลาออกไปซะล่ะ?
“อาจารย์จาง ทำไมคุณไม่ลาออกล่ะครับ? อยู่ข้างนอกทำเงินได้มากขนาดนี้ ทำไมต้องเสียเวลาไปกับโรงพยาบาลด้วยล่ะ? ทั้งเหนื่อยทั้งไม่ได้เงิน!” เฉินชางกล่าวถามด้วยความแปลกใจ
จู่ๆ จางจื้อซินก็ยิ้มพลางมองไปที่เฉินชาง “เสี่ยวเฉิน คุณยังเด็กเกินไป”
“พูดให้ผมฟังหน่อยสิครับว่าทำไมคุณถึงไม่ลาออก!”
“ตอนนั้นผมเข้าทำงานด้วยวุฒิปริญญาเอกด้านเวชศสาตร์ความงาม แต่ก็ไม่ได้ทำงานทั้งวันทั้งคืน พูดได้ว่าผมมีปริญญาเอกทางด้านนี้ก็จริง แต่หากนำวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกทางด้านนี้ไปที่โรงพยาบาลอื่น คนอื่นจะไม่ยอมรับคุณ”
“คุณก็ทราบถึงความสำคัญของวุฒิระดับปริญญาเอกในโรงพยาบาล ผมอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของหน้าที่การงานแล้ว ส่วนเหล่าเฉินนับว่าอยู่ในตำแหน่งกลางๆ ของงาน นี่คือความแตกต่าง ผมไม่ได้จะอวดว่าตัวเองเก่งหรือดีแค่ไหน แต่จะบอกคุณว่าเมื่อคุณเข้ามาในระบบ จะต้องเคารพกฎเกณฑ์ของระบบ”
“โลกใบนี้มีคนหลายระดับชั้น! คนชั้นหนึ่งน่ะหรือ? ก็คือคนที่ทำลายระบบเก่าๆ สร้างระบบใหม่ของตัวเองได้ นี่ก็คือคนชั้นหนึ่ง!
ส่วนคนชั้นสองก็คือคนที่ถูกควบคุมอยู่ในกฎเกณฑ์ พวกเขาใช้ประโยชน์จากกฎเกณฑ์พวกนี้เพื่อทำประโยชน์ได้ หรืออาจเปลี่ยนแปลงส่วนเล็กๆ ของกฎเกณฑ์ได้ด้วย”
“ส่วนคนชั้นสามน่ะหรือ? ก็คือพวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในกฎเกณฑ์ได้ดี ปรับตัวให้ชินกับกฎเกณฑ์ได้ดี เป็นคนที่พัฒนาได้เร็วเมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์เหล่านี้ ชั่วชีวิตไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีอำนาจอะไรอยู่ในมือ สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือเป็นคนชั้นสามไปดีๆ นั่นแหละ”
พูดจบจางจื้อซินก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อไปอีก แต่กลับพูดว่า “กลับเข้าเรื่องเถอะ พูดได้ว่าถ้าไม่มีโรงพยาบาลอันดับสองก็ไม่มีคลินิกศัลยกรรมจื้อซิน โรงพยาบาลอันดับสองเป็นโรงพยาบาลยอดเยี่ยมในสิบอันดับแรกของมณฑลตงหยาง นี่เป็นเบื้องหลังอย่างเป็นทางการของผม พอพูดถึงก็ทำให้คนอื่นเชื่อถือ”
“เถ้าแก่พวกนั้น ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับปริญญาเอกและการสนับสนุนของโรงพยาบาลอันดับสองจะมาลงทุนกับผมหรือ? พวกเขาก็แค่เห็นค่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังผมเท่านั้น นี่คือสาเหตุหนึ่ง ส่วนสาเหตุที่สองน่ะหรือ?”
“สาเหตุที่สองก็คือผมใช้ประโยชน์จากเวทีของโรงพยาบาลอันดับสองเพื่อพัฒนาเครือข่าย ช่องทาง และเงินทุนของตัวเอง หากออกไปจากเวทีนี้ ความสัมพันธ์ทางสังคมของคุณก็จะกลายเป็นสิ่งดาษดื่นไปเลย”
“ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไร เวทีของหมอเวทีนี้ก็นับว่าดีมากจริงๆ เป็นการสั่งสมเครือข่ายของคุณและขยายช่องทางให้คุณได้ ถือเป็นงานที่ดีงานหนึ่ง และในฐานะที่โรงพยาบาลอันดับสองเป็นโรงพยาบาลชั้นนำสามอันดับแรกของมณฑล ก็มากพอที่จะช่วยให้คุณสั่งสมเรื่องเหล่านี้ได้ก่อนอายุสี่สิบ!”
“คุณเองก็มีความสามารถไม่เลว ทว่าหนทางสู่ความสุขมักจะเต็มไปด้วยอุปสรรค พูดได้ว่า…ทรัพยากรที่คุณใช้ได้ถึงจะเรียกว่าเป็นทรัพยากรของคุณ ต่อให้คุณไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หรือกวางโจว ทรัพยากรพวกนั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของคุณ!”
เฉินชางเพิ่งก้าวเข้าสู่สังคมไม่นาน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมากนัก คำพูดเหล่านี้ของจางจื้อซินทำให้มุมมองของเฉินชางเปิดกว้างมากขึ้น
สุดท้ายเมื่อทั้งสองดื่มเบียร์ไปประมาณสี่ถึงห้าขวดก็ไม่ดื่มอีก เริ่มกินกุ้งมังกรจิ๋วพลางคุยเล่น
ผ่านไปนาน จางจื้อซินจึงค่อยพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน ครั้งนี้รบกวนคุณมากจริงๆ ผมพูดจริงนะ มา พี่ชายคนนี้ขอดื่มให้คุณแก้วหนึ่ง!”
หลังชนแก้วกันแล้วจางจื้อซินก็พูดต่อไปว่า “แต่…การผ่าตัดคราวนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น นี่เป็นสาเหตุที่ผมไม่ได้รับปากเสี้ยวเถียนฮวาทันที”
“แผนงานของคุณไม่มีปัญหา เป็นแผนงานที่ยอดเยี่ยมมาก อีกอย่างการออกแบบของคุณก็ถือว่าเป็นสุดยอด เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเลย”
“แต่…ปัญหามันอยู่ตรงนี้ มันสมบูรณ์แบบเกินไป ด้วยระดับของผม…ยังทำไม่ได้! ไม่ใช่แค่ผมที่ทำไม่ได้ แต่หมอในคลินิกของพวกเราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน พวกเราต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญมาทำ”
เฉินชางชะงักไป “จะเชิญหวังเชินหรือ?”
จางจื้อซินแค่นเสียงเย็น “คนคนนี้ทำแผนผมสะดุดมาพอแล้ว หวังเชินคนนี้…แม้จะมีชื่อเสียงอยู่ด้านนอก แต่เพราะเหตุนี้ทำให้เขาหวงแหนชื่อเสียงของตัวเองอย่างร้ายกาจ เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อชื่อเสียงของเขา เขาก็จะไม่ทำ”
“อีกอย่าง ปีนี้หวังเชินอายุสี่สิบเก้าแล้ว ถือว่าอายุมากแล้ว อยู่ในช่วงเวลาที่ต้องกินบุญเก่า ถ้าจะผ่าตัดแบบนี้เขาก็คงไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการผ่าตัดแก้งานที่ล้มเหลวของตัวเองอีกด้วย ถือว่าเป็นการตบหน้าครั้งใหญ่ คงไม่มาทำแน่ ดังนั้น…พวกเราต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญสองสามคนมาทำแทน”
เฉินชางพยักหน้า ก็เหมือนกับที่จางจื้อซินพูด ยิ่งเป็นหมอชราที่อายุมาก มีคุณสมบัติสูง ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ยิ่งไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
“งั้น…จะทำยังไงดีครับ?” เฉินชางเอ่ยถาม
จางจื้อซินพูดต่อ “ผมคิดจะหาผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ของพวกเรามาสักสองสามคน แต่…ยังไม่แน่ว่าผมจะเรียกผู้เชี่ยวชาญพวกนี้มาได้ เพราะยังไงซะ…อาชีพเดียวกันก็ถือเป็นศัตรู คลินิกของพวกเราถือเป็นธุรกิจเอกชนไม่ใช่โรงพยาบาลรัฐ ต้องสื่อสารกันให้มากสักหน่อย ในพื้นที่เมืองอันหยางมีคลินิกศัลยกรรมมากขนาดนั้น อยู่ดีๆ ใครจะอยากหาเรื่องใส่ตัวกันล่ะ?”
เฉินชางส่งเสียงตอบครั้งหนึ่ง จู่ๆ ก็คิดถึงหมอด้านศัลยกรรมหลายคนที่รู้จักตอนไปบ้านเจิ้งกั๋วถานคราวที่แล้วขึ้นมาได้ จึงพูดด้วยท่าทางครุ่นคิดว่า “ผมก็รู้จักอยู่หลายคนนะครับ แต่…ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเปล่า…”
จางจื้อซินหัวเราะ ไม่ได้พูดถากถางเฉินชาง อีกฝ่ายจะรู้จักใครได้ “เสี่ยวเฉิน คุณไม่ต้องกังวลหรอก พรุ่งนี้ผมจะลองไปหาเองสักหน่อย”
“ผมจะบอกอะไรให้ ในโลกศัลยกรรมความงามแห่งเมืองอันหยางของพวกเรามีผู้เชี่ยวชาญอยู่หลายคน ฉินเสียงแห่งโรงพยาบาลตงต้า หยางเทาแห่งคลินิกศัลยกรรมซีหย่า แล้วยังมีอันจิ้ง ดอกไม้งามแห่งคลินิกศัลยกรรมแอนนาอีกด้วย…”
“ถ้าได้รับความช่วยเหลือจากคนพวกนี้…เรื่องนี้ก็จัดการง่ายแล้ว!”
เมื่อเฉินชางได้ฟังก็คิดว่า โอ้โห ทำไมชื่อพวกนี้ฟังดูคุ้นจังล่ะ?