เฉิงมู่มาเพื่อแก้ปัญหาของเรื่องนี้แทนฉินหร่าน
ตอนที่รู้เรื่องนี้ครั้งแรก เขาไม่ได้คิดอะไรมาก พอบอกกับผู้บัญชาการห่าวแล้วเขาก็เริ่มเปรียบเทียบทั้งสองคน
ระหว่างทางที่มาที่นี่ก็นึกถึงเรื่องที่ผู้บัญชาการห่าวบอก
แน่นอนว่าภายในใจของเขาคิดไปไกลเกินกว่าเรื่องพวกนี้ น้ำที่จิงเฉิงย่อมลึกกว่าอวิ๋นเฉิงมาก เฉิงมู่เริ่มคิดถึงว่าฉินหร่านจะก่อเรื่องมากแค่ไหนที่จิงเฉิง
ปฏิกิริยาของเฟิงโหลวหลานเป็นไปตามที่เฉิงมู่คาดไว้
“ขอโทษ?” ลูกกระเดือกของเฉิงมู่ขยับ
เฟิงโหลวหลานสามารถเป็นประธานได้ เพราะมีดวงตาเฉียบแหลมไม่เหมือนใคร เห็นได้ชัดว่าเฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวไม่ใช่คนในพื้นที่ และแน่นอนว่าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ไป ๆ มา ๆ เธอสามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมาจากด้านฉินหร่าน
“นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เมื่อเช้าฉันอธิบายกับคุณหนูฉินเรียบร้อยแล้ว” เฟิงโหลวหลานยิ้มขำ
สีหน้าของผู้บัญชาการห่าวเปลี่ยนไปและพึมพำเงียบ ๆ “เป็นไปได้ยังไง……”
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ” เฉิงมู่เรียกสติกลับมา โค้งศีรษะให้เฟิงโหลวหลาน
เห็นผู้บัญชาการห่าวยังตัวแข็งอยู่ที่เดิม
เฉิงมู่จึงลากเขาออกไปทันที
ถึงด้านในลิฟต์ ผู้บัญชาการห่าวจึงหลุดจากอาการตกตะลึง เขาลูบหน้าลูบตาแล้วมองเฉิงมู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอายนิดหน่อย “ทำไมเธอรู้จักกับเฟิงโหลวหลานได้ล่ะ”
ใครจะรู้ว่าฉินหร่านจัดการเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อเช้า
เฉิงมู่ไม่ได้พูดอะไร
เขาเองก็ไม่รู้
**
“ใครน่ะ” ภายในห้องพักผู้ป่วยเฉียนจิ่นอวี้เล่นโทรศัพท์อยู่ พูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
เฟิงโหลวหลานครุ่นคิด “เป็นพวกพ้องของคุณหนูฉินหร่าน”
พอพูดถึงฉินหร่าน เฉียนจิ่นอวี้ก็เครียดขึ้นมา มีอะไรให้สิ้นหวังยิ่งไปกว่าการที่ไปแหย่คนที่มีเบื้องหลังแข็งแกร่งกว่าตัวเอง
“ฉินอวี่เคยบอกแล้วว่าฉินหร่านไม่มีประวัติอะไร ฉันอยากเป็นฮีโร่ช่วยสาวงาม” เฉียนจิ่นอวี้ขมวดคิ้ว “ใครจะรู้ขนาดผมเขายังกล้าทำร้ายเลย”
เฟิงโหลวหลานยืนอยู่ข้างเตียง หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่อง และมองเขาอย่างเยาะเย้ย “ถ้าอย่างนั้นฉินอวี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ให้จำเอาไว้เป็นบทเรียนด้วย”
เฉียนจิ่นอวี้ห่อเ**่ยวนิดหน่อย จากนั้นส่งสายตาให้กับเฟิงโหลวหลาน “พ่อมาแล้ว”
เฟิงโหลวหลานดับบุหรี่อย่างชำนาญและโยนลงถังขยะ
จากนั้นหันศีรษะกลับมา ชี้ไปที่ลูกชายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย “เฉียนจิ่นอวี้เขาสูบบุหรี่”
เฉียนตุ้ยมองไปที่เฉียนจิ่นอวี้ “อายุยี่สิบสองแล้วนะ ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย เมื่อไหร่แกจะเรียนรู้จากคุณหนูฉินบ้าง สร้างแต่ปัญหาให้ฉัน พรุ่งนี้กลับจิงเฉิงด่วนเลย ”
เฉียนจิ่นอวี้หยิบผ้าห่มคลุมศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย “ทราบแล้วครับ”
**
ห้องพยาบาล
เวลาเที่ยงครึ่ง ฉินหร่านยังไม่ตื่น
ลู่จ้าวอิ่งอยู่ด้านนอกเอายาให้เด็กผู้ชายที่ขาพลิกจากการเล่นบาส
เฉิงเจวี้ยนศึกษาชุดฝังเข็มอยู่ด้านใน
เฉิงมู่เพิ่งนำอาหารกลับมาจากโรงแรมเอินอวี้
เฉิงเจวี้ยนเอียงศีรษะและมองไปทางฉินหร่าน ฉินหร่านยังไม่ตื่น ผ้าห่มสีดำคลุมอยู่ที่คาง
ก่อนหน้านี้เขาดึงม่านปิดไว้ ในห้องนี้มีเพียงประตูกระจกเท่านั้นที่มีแสงส่องผ่าน มืดไปหน่อย แต่ก็ยังสามารถเห็นขนตาของเธอเป็นเงาเส้น ๆ ที่ใต้ตา
ตอนเธอหลับก็นับว่าเป็นเด็กดีขึ้นมาหน่อย แค่คิ้วขมวด ผิวขาว ริมฝีปากซีดเล็กน้อย
เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้นและนั่งยอง ๆ ข้างโซฟา ค่อยๆดึงผ้าห่มออกด้วยมือทั้งสองข้าง
“ฉินหร่าน?” เขาเอ่ยเสียงเบา “ตื่นได้แล้ว”
เสียงนั้นแผ่วเบาเจือด้วยความเกียจคร้าน ราวกับสายลมเบาๆ ที่พัดผ่านทะเลสาบ มีเพียงระลอกคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อย ความอ่อนโยนที่ไม่รู้ตัว
คุณภาพการนอนหลับของฉินหร่านไม่ค่อยดีนัก ยังคงฝันต่อไม่สิ้นสุด แม้ว่าจะหลับไปแล้วก็ตาม
ในความฝันเต็มไปด้วยความมืดอันไร้ขอบเขต
เต็มไปด้วยเลือดและซากศพกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ตอนที่สะลึมสะลือ ข้าง ๆ หูเหมือนจะมีเสียงเบา ๆ น้ำเสียงที่กดต่ำดังก้องอยู่ในหู มาบรรจบกับความฝัน ในชั่วพริบตาความฝันก็กลายกลายเป็นกระจกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ
ฉินหร่านลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
ก็ประจันหน้าเข้ากับใบหน้าหนึ่งที่ยื่นเข้ามาใกล้
นึกขึ้นได้ว่านั่นคือเฉิงเจวี้ยน ฉินหร่านก็ลุกขึ้นนั่งแล้วกระแอมไอ “กี่โมงแล้ว”
เพราะว่าเพิ่งตื่น เสียงของเธอเลยแหบนิดหน่อย
เฉิงเจวี้ยนก้มศีรษะ ส่งโทรศัพท์ให้เธอดู “เที่ยงครึ่ง ไปล้างหน้าแล้วทานข้าวสิ”
“อืม” ฉินหร่านถอนหายใจ ค่อย ๆ หยิบผ้าห่มขึ้นมา คิดจะพับ แต่ก็ถูกเฉิงเจวี้ยนเอาไปแล้ว
เฉิงเจวี้ยนโยนผ้าห่มไปอีกทางพร้อมกับเชยคางเธอ “ไปล้างหน้าล้างตาก่อน”
รอฉินหร่านล้างหน้าออกมา เฉิงมู่ก็เตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว
เธอเอื้อมมือลากเก้าอีกอย่างเหนื่อยหน่าย
แต่ไม่คิดว่าจะมีคนที่เร็วกว่าเธอหนึ่งก้าว
เฉิงมู่ไม่เพียงแต่ช่วยเธอลากเก้าอี้ แถมยังช่วยรินชาให้เธออีก พึมพำว่า “คุณหนูฉิน ชาครับ”
เมื่อมาที่ห้องพยาบาลตอนเช้า ฉินหร่านรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเฉิงมู่เปลี่ยนไป แต่เธอก็ไม่ได้สนใจนัก
คิดไม่ถึงว่าพอตื่นขึ้นมาเฉิงมู่ก็เปลี่ยนกลับมาอีกแล้ว
ฉินหร่านมองเขา
มองจนหน้าเฉิงมู่แดงไปหมด
ฉินหร่านหัวเราะแล้วชักสายตากลับ เธอนั่งบนเก้าอี้เอามือเท้าคาง ลากเสียงยาว พูดอย่างไม่เร่งรีบ “ขอบคุณนะ”
**
ฉินหร่านทานข้าวเสร็จก็กลับไปเข้าเรียนที่ห้องเก้า
รอเธอไปแล้วเฉิงเจวี้ยนจึงเงยหน้าขึ้นมามองเฉิงมู่ แล้วพูดอย่างใจเย็น “ทำงานเป็นไงบ้าง”
เฉิงมู่ยืนก้มหน้า เมื่อได้ยินก็เงียบไปชั่วขณะ “ตอนผมไป คุณหนูฉินก็เจรจากับเฟิงโหลวหลานเสร็จแล้วครับ”
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
พูดจบก็เม้มริมฝีปาก มาที่อวิ๋นเฉิงครั้ง เขาก็อคติกับฉินหร่าน
แต่หลังจากที่ฉินหร่านช่วยเขาไว้ครั้งนั้น เขาก็อคติน้อยลงมาก
ผู้คนมักใช้ชีวิตอยู่กับการเปรียบเทียบ เขามักจะเปรียบเทียบนางฟ้าของเขากับฉินหร่าน
หลังจากที่เปรียบเทียบแล้วเขาก็มักจะพบข้อบกพร่องของฉินหร่านเสมอ
แต่ตอนนี้ จากมุมมองของตัวเอง เฉิงมู่ก็พบว่าฉินหร่านนั้นน่าหลงใหล
เป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายธรรมดา ๆ รู้จักเฉียนตุ้ย รู้จักเฟิงโหลวหลาน……
วันนี้ถ้าหากผู้บัญชาการห่าวไม่เข้ามาแทรก เขาก็อาจจะไม่มาคิดมากแบบนี้
เฉิงเจวี้ยนฟังจบก็ส่งเสียง “อืม” ออกมา แต่ก็ไม่ได้แปลกอะไร “ฉันรู้แล้ว พรุ่งนี้นายไม่ต้องมาที่นี่แล้วนะ ตามไปสืบคดีกับผู้บัญชาการห่าวแล้วกัน”
สีหน้าเฉิงมู่เปลี่ยนไป แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ลู่จ้าวอิ่งใช้ขาถีบโต๊ะ เก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง เห็นเฉิงมู่เดินคอตกออกมา
อดไม่ได้ที่จะหันไป “เมื่อกี้พวกคุณพูดอะไรกัน”
เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาพลางครุ่นคิดเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจเขา
ลู่จ้าวอิ่งไม่ทันรอให้เฉิงเจวี้ยนตอบ สายตาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาด้วยความระมัดระวัง
เขาแค่มองก็นึกออกว่านั่นคือพานหมิงเยว่เพื่อนของฉินหร่าน
“ไม่สบายเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งหันกลับมา วางขาลงและนั่งตัวตรง
พานหนิงเยว่ก้มศีรษะลง จากมุมนั้นลู่จ้าวอิ่งเห็นแค่เพียงกรามซีด ๆ เท่านั้น เธอตอบเสียงเบา “ฉันซื้อยาได้ไหม”
“ยา?” ลู่จ้าวอิ่งหยิบปากกามาควงพลางยิ้ม “ยาอะไร”
พานหมิงเยว่เงียบไปพักนึง หลังจากเงียบไปเธอจึงพูดออกมา “อะริพิพราโซล หรานหร่านบอกว่าพวกคุณมี”
ลู่จ้าวอิ่งหยุดควงปากกาในมือ
อะริพิพราโซล ยาระงับอาการทางจิต
พานหมิงเยว่กระชับมือแน่น
ในเวลานี้ เฉิงเจวี้ยนที่เอียงตัวไปพูดกับเฉิงมู่เงยหน้าขึ้นมอง เดินไปที่ตู้ยาอย่างสบาย ๆ น้ำเสียงสงบ “เอากี่กล่อง”
“สองกล่องค่ะ” พานหมิงเยว่ก้มศีรษะ
“อืม เซ็นชื่อสิ” เฉิงเจวี้ยนหยิบยาออกมาจากข้างในสองกล่องแล้วโยนลงบนโต๊ะ น้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังถามว่าคุณทานข้าวหรือยัง
พานหมิงเยว่เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าก้มตาเซ็นชื่อตัวเอง
หยิบยามาแล้ว ตอนหมุนตัวจะเดินไปลู่จ้าวอิ่งถึงได้ยินคำว่า “ขอบคุณ” ที่แผ่วเบา
**
คาบเรียนแรกในช่วงบ่ายคือภาษาอังกฤษ
ฉินหร่านหยิบบทเรียนใหม่ที่ซื้อมาก่อนหน้านี้และวางลงบนโต๊ะ หลินซือหรานหันหา “หรานหร่าน เมื่อตอนเช้าไปไหนมา”
ฉินหร่านกึ่ง ๆ พิงกำแพง หยิบอมยิ้มออกมาแกะด้วยท่าทีสบาย ๆ “ทำธุระส่วนตัวน่ะ”
เดินทีหลินซือหรานจะถามเธอว่าใช่เรื่องของเฉียนจิ่นอวี้ไหม แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้มีเรื่องอะไร จึงไม่ได้ถามออกไป พอดีกับที่หลี่อ้ายหรงเดินเข้ามาพร้อมกับบทเรียนใหม่
โยนบทเรียนลงบนโต๊ะเสียงดัง ‘ปัง’ สายตาสอดส่อง “ทุกคนเปิดหนังสือไปหน้า37”
เมื่อสบตากับฉินหร่าน คิ้วก็ขมวด ในตอนเช้าเธอก็มีคาบสอนที่ห้องเก้า รู้โดยทันทีว่าเมื่อเช้าฉินหร่านไม่อยู่
อธิบายคำถามปรนัยจบ หลี่อ้ายหรงก็พูดออกมา “การสอบทุกครั้งของห้องพวกเธอมีคะแนนเฉลี่ยแย่ที่สุดในชั้นเรียนที่ฉันสอน สัปดาห์หน้าสอบกลางภาคแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ตั้งใจเรียน ออกไปข้างนอกก็อย่าพูดว่าตัวเองเป็นนักเรียนอีจง แล้วก็อย่าพูดล่ะว่าฉันสอนพวกเธอ”
เธอพูดกับทั้งห้องเรียน แต่สายตามุ่งเน้นไปที่ฉินหร่าน
ห้องเก้าไม่ใช่ห้องที่สำคัญนัก ยกเว้นสวี่เหยากวง คะแนนของคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ หลี่อ้ายหรงสอนแค่สองห้อง
ห้องหนึ่งคือห้องเด็กหัวกะทิ อีกห้องหนึ่งคือห้องเก้า
คอยอบรมนักเรียนห้องหนึ่งที่มีผลคะแนน 100 อันดับแรกของโรงเรียนจนเคยชิน พอมาสอนห้องเก้าแน่นอนว่าต้องไม่ชอบใจหลายๆ อย่าง
เมื่อพูดถึงโจทย์ บางครั้งก็จะพูดว่า “ข้อนี้ห้องหนึ่งไม่มีใครผิดเลย”
คนในห้องเก้าต่างก็เคยชินกับมันแล้ว
หลี่อ้ายหรงพูดคนเดียวอยู่สองสามนาที ไม่มีใครในห้องเก้าสนใจเธอเลยสักคน เธออดทนอดกลั้นสอนจนจบคาบ
เมื่อถึงห้องพักอาจารย์ เห็นเกาหยางที่กำลังยิ้มและพูดคุยกับครูท่านอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “อาจารย์เกา คุณดูแลเด็กกลุ่มนั้นของห้องคุณด้วยนะ มัธยมหกแล้วยังโดดเรียนอยู่อีก เคยพูดกับคุณไปนานแล้วนะว่าอย่ารับเด็กมาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ”
เกาหยางตอกกลับเบา ๆ อย่างไม่รีบร้อน “โดดเรียนอะไรครับ เขามีใบลา อาจารย์หลี่อย่าอคติกับนักเรียนสิครับ”
เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้หลี่อ้ายหรงดู
จากนั้นหยิบแผนการสอนออกไปเข้าชั้นเรียน
ผ่อนคลายมาก ไม่มีแรงกดดันใด ๆ
“ต่างกันตรงไหนคะ” หลี่อ้ายหรงสะอึก มองแผ่นหลังของเกาหยาง เม้มริมฝีปาก “ทั้งโรงเรียนห้องพวกคุณเป็นที่โหล่ คุณดูความอึมครึมของห้องพวกคุณสิ สัปดาห์หน้ามีสอบกลางภาคถ้าสอบได้คะแนนดี ๆ ก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว”
ในห้องพักอาจารย์ อาจารย์ท่านอื่นก้มหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
**
วันเสาร์
ฉินหร่านไปโรงพยาบาลเยี่ยนเฉินซูหลานเหมือนอย่างเคย
ตอนที่เธอไป หนิงเวยแล้วยังมีมู่หยิงกับมู่หนานก็อยู่
ความเหนื่อยล้าระหว่างคิ้วของเฉินซูหลานมากขึ้น
ฉินหร่านก้มศีรษะปอกแอปเปิลเงียบ ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออก หนิงฉิงเปิดเข้ามาพร้อมกับหิ้วของไว้
หนิงเวยก้าวไปข้างหน้าสองก้าว รับของที่อยู่ในมือหนิงฉิงมา พอเห็นว่าด้านหลังหนิงฉิงไม่มีใครจึงถามออกมา “พี่ เจ้าอวี่เอ๋อร์ล่ะ เธอไม่มาหรอ?”
ได้ยินอย่างนั้น หนิงฉิงยิ้มขำ “เธอเก็บของอยู่ที่บ้านน่ะ พรุ่งนี้ต้องบินไปจิงเฉิง ไปไหว้อาจารย์”
“ไหว้อาจารย์ที่จิงเฉิง” หนิงเวยหัวเราะ “ต่อไปต้องกลายเป็นอาจารย์แน่ ๆ อวี่เอ๋อร์เก่งมากเลย”
มู่หยิงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ในห้อง สายตามองไปด้านนอก “จิงเฉิงเจริญมากเลยนะ พี่สาวคนรองสุดยอด ”
มู่หนานช่วยฉินหร่านปอกแอปเปิล หั่นเสร็จแล้วเอาวางไว้บนโต๊ะแล้วไปนั่งก้มศีรษะอ่านคำศัพท์
ได้ยินว่ามีคนชมฉินอวี่ หนิงฉิงก็ดีใจ
“หรานหร่าน” ในตอนท้ายเมื่อฉินหร่านจะไป หนิงฉิงถึงเรียกเธอไว้ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ฉันจะบอกข่าวดีให้เธอฟังนะ ประธานเฟิงเธออยากให้เธอไปเข้าสกุลเฟิง ธุรกิจของตระกูลเฟิงใหญ่กว่าตระกูลหลินมาก”
หนิงฉิงต่อกับฉินหร่านไม่ติดแล้ว เธอไปโรงเรียนอย่างรู้ตัวเอง ฉินหร่านไม่จำเป็นต้องสนใจเธอ
ดังนั้นจึงตั้งใจพูดเรื่องนี้ตอนที่เธอมาหาเฉินซูหลาน
“ตระกูลเฟิงอะไรกัน” หนิงเวยพูดด้วยความประหลาดใจ “หรานหร่านไม่ใช่ยังอยากเรียนอยู่หรอกเหรอ”
“ตระกูลเฟิงเป็น…..ของอวิ๋นเฉิง อุตสาหกรรมหลักอยู่ที่จิงเฉิง พี่ชายของประธานเฟิงก็เป็นนายกเทศมนตรี” หนิงฉิงยิ้ม “เธอถูกใจหรานหรานหร่าน อยากให้หรานหรานหร่านไปทำงานกับเธอในอนาคต”
เมื่อได้ยินหนิงฉิงบอกว่าตระกูลเฟิงใหญ่กว่าตระกูลหลิน มู่หยิงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉินหร่าน
ยิ่งไม่ถึงพูดถึงเฟิงโหลวเฉิงที่หนิงฉิงพูดต่อท้าย
ตอนที่ได้ยินชื่อเฟิงโหลวเฉิงทีแรกแม้แต่หนิงฉินเองก็ยังตกใจ มู่หยิงที่เป็นเพียงนักเรียนธรรมดา ๆ อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
เฟิงโหลวเฉิงชื่อนี้เธอจะเห็นได้เฉพาะในข่าวหรือหนังสือพิมพ์
ทันทีที่ได้ยินจากปากของหนิงฉิงว่ามีความเกี่ยวข้องกับฉินหร่าน เธอก็ตกใจนิดหน่อย มู่หยิงรู้สึกว่าฉินหร่านนี่โชคร้ายไม่ต่างจากเธอ
ในขณะที่พี่น้องอย่างฉินอวี่ได้อยู่ในบ้านหรู ๆ นั่งรถหรู ๆ
แต่ฉินหร่านอยู่ได้แค่ในเมืองโทรม ๆ กับเฉิงซูหลานเท่านั้น
แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงอวิ๋นเฉิง เรื่องต่าง ๆ ต่างไปจากจินตนาการของเธออย่างสิ้นเชิง
ฉินหร่านค่อย ๆ จิ้มแอปเปิลที่อยู่ในจานและทานช้า ๆ โดนที่ไม่ได้สนใจหนิงฉิง
“โอกาสแบบนี้พันปีก็ยากที่จะพบ” หนิงฉิงไม่ได้คิดอะไรในตอนนี้ เพียงโน้มน้าวฉินหร่านอย่างอ่อนโยน “หรานหร่าน เธอคิดดีแล้วหรือยัง”
ฉินหร่านกัดแอปเปิล หยิบไม้จิ้มฟันมาจิ้มอีกชิ้นพลางเงยหน้าขึ้นมอง “ไม่ไป”