หลังกริ่งเตรียมตัวดังขึ้น เสียงกริ่งของการสอบอย่างเป็นทางการก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว
อาจารย์ผู้คุมสอบสองคนเดินวนเวียนหน้าคนหลังคนอย่างสบายใจ
อาจารย์คุมสอบเป็นชายคนหญิงคน อาจารย์ผู้ชายยืนอยู่แถวหลัง เห็นนักเรียนทุกคนในสนามสอบอยู่ในสายตา
นักเรียนคนอื่นเริ่มฝนรหัสประจำตัวของตัวเองบนกระดาษคำตอบแล้ว นักเรียนหญิงที่นั่งตำแหน่งสุดท้ายของแถวสุดท้ายกลับนั่งเหม่อมองมือของตัวเอง ดูแปลกแยกจากกลุ่มคนพวกนี้
แต่เป็นสนามสอบสุดท้าย รวมพวกกลุ่มคนประหลาดไว้อยู่แล้ว อาจารย์ผู้คุมสอบก็ใช่ว่าจะเพิ่งเคยคุมสนามสอบสุดท้ายครั้งแรก จึงไม่ใส่ใจ
ที่น่าแปลกก็คือ ตอนแรกนักเรียนหญิงคนนั้นใช้มือขวาฝนรหัสนักเรียนบนกระดาษคำตอบอยู่ดีๆ ตอนที่เขียนชื่อกลับใช้มือซ้ายแทนเสียอย่างนั้น
ถนัดซ้าย?
อาจารย์ผู้ชายทนไม่ไหวสาวเท้าเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เหลือบมองโดยไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง นักเรียนหญิงคนนี้ใช้มือซ้ายเขียนดูเหมือนจะช้านิดหน่อย แต่ลายมือกลับเป็นระบบระเบียบ ไม่ไก่เขี่ยเหมือนคนอื่น
ฉินหร่านเริ่มเปิดข้อสอบแล้ว
ข้อสอบวิชาวรรณกรรมเริ่มต้นด้วยการอ่านตีความเหมือนที่เคย
เริ่มจากข้อใหญ่ของการอ่านตีความ ก็พบกับความลำบากแล้ว บทความก็คลุมเครือเข้าใจได้ยาก ประโยคยาวมากไวยากรณ์ต่างๆ นานาเรียงกันมา
การอ่านตีความแค่เริ่มก็ยากขนาดนี้แล้ว มีคนในสนามสอบเริ่มอ่านไม่เข้าหัว บ่นอุบอิบแล้ว
“โห แค่ข้อสอบกลางภาคยังยากขนาดนี้” มีผู้ชายพูดเสียงเบา
เพื่อนร่วมโต๊ะของเฉียวเซิงอยู่ข้างหน้าเยื้องกับโต๊ะของฉินหร่าน ปกติฉินหร่านเอะอะก็หมดความอดทนแล้ว
เขาเป็นห่วงสถานการณ์ของฉินหร่านนิดหน่อย
พอหันหน้า กลับเห็นฉินหร่านกำลังพลิกกระดาษข้อสอบ…
ดูท่าทางแล้วยังพอไหว
อ่านบทความเสร็จก็ตอบคำถามทันที
อาจารย์ผู้คุมสอบข้างหลังสังเกตฉินหร่านอยู่ตลอด พบว่าถึงเธอจะเขียนช้า แต่แทบจะไม่หยุดเขียน ไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำ เขียนอย่างสบายๆ
ฉินหร่านพลิกกระดาษข้อสอบ ทุกข้อตอบได้ตรงประเด็น
พอเขียนโจทย์ข้างหน้าเสร็จ เธอก็พลิกไปหน้าสุดท้ายเริ่มอ่านโจทย์เรียงความ
ตอนนี้สนามสอบสุดท้ายเริ่มสร้างความวุ่นวายแล้ว มีคนฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์ไม่สังเกตเริ่มส่งคำตอบข้อสอบปรนัยกัน
ต่างก็เป็นนักเรียนในสนามสอบสุดท้าย จะมีใครดีไปกว่ากัน
ฉินหร่านยังคงเขียนเรียงความอย่างเชื่องช้า มือซ้ายของเธอเขียนได้ช้าจริงๆ
ตอนแรกอาจารย์ผู้ชายที่จับตามองเธออย่างใกล้ชิดคนนั้นยังกังวลว่าเธอเขียนช้าขนาดนี้ จะส่งข้อสอบได้ทันเวลาหรือไม่ สุดท้ายพบว่าแม้เธอจะเขียนช้า แต่เธอแทบจะไม่หยุดเลย ก็โล่งใจ
กระทั่งสุดท้ายตอนที่ฉินหร่านทำข้อสอบเสร็จแล้ว ยังเหลือเวลาอีกยี่สิบนาที
ฉินหร่านหาวหวอดๆ ขยับข้อสอบไปไว้อีกมุม คลำหากบเหลาดินสอออกจากลิ้นชักใต้โต๊ะมาเหลาดินสอ
วางข้อสอบแผ่หลาอยู่มุมนั้น คนที่สอบในสนามสอบเดียวกันรู้จักเธอกันหมด
ดาวเด่นของมอปลายปีสามห้องเก้า ต่อให้วางข้อสอบอยู่ตรงหน้าทุกคน พวกเขาก็ไม่คิดอะไรมาก อย่างมากก็แค่แอบมองว่าข้อสอบของบิ๊กบอสตอบไปกี่ข้อ
…
หลังสอบวิชาวรรณกรรมช่วงเช้าเสร็จ ปฏิกิริยาในห้องยังไม่นับว่ารุนแรงมากนัก
กระทั่งสอบวิชาคณิตศาสตร์ตอนบ่าย นักเรียนมัธยมปลายปีสามก็อาการแย่กันหมดแล้ว
“หัวข้อใหญ่สองข้อสุดท้าย ฉันไม่ได้ทำสักข้อเลย” คาบเรียนด้วยตัวเองตอนเย็น นักเรียนกลุ่มหนึ่งนั่งสุมหัววิเคราะห์ข้อสอบคณิต ผู้ชายคนหนึ่งพูดอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “จากนั้นฉันก็อ่านชื่อคนออกข้อสอบแวบหนึ่ง คือโฮ่วเต๋อหลง”
โฮ่วเต๋อหลง คนบ้าบิ่นที่วิจัยข้อสอบโอลิมปิกโดยเฉพาะในมณฑล
มักจะเป็นคนออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ไม่ใช่ว่านักเรียนอีจงจะไม่เคยทำข้อสอบของโฮ่วเต๋อหลง แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ข้อสอบกลางภาค โรงเรียนจะงัดไม้ตายมาเล่นกับพวกเขา
“คุณชายสวี ทำข้อสอบวิชาคณิตเสร็จหรือเปล่า” เฉียวเซิงเขียนได้ไม่เยอะ ตอนแรกสอบเสร็จแล้วอ่อนเพลียอย่างมาก พอได้ยินคนในห้องคุยกัน เขาก็ไม่กังวลขนาดนั้นแล้ว
สวีเหยากวงเป็นคนที่เก่งวิชาคณิตที่สุดในโรงเรียน ตอนที่สอบเข้าโรงเรียน ตอนแรกเขาควรจะอยู่ห้องหนึ่ง แต่สุดท้ายได้ยินว่าอาจารย์เกาหยางดูแลห้องเก้า เขาเลยมาอยู่ที่ห้องเก้า
อาจารย์เกาหยางเคยดูแลห้องที่สอบโอลิมปิกคณิตศาสตร์
“ข้อสุดท้ายไม่ได้ตอบ” เสียงของสวีเหยากวงยังคงสั้นกระชับ
เขาถือมือถือ ก้มหน้าส่งข้อสอบคณิตเมื่อตอนบ่ายให้ฉินอวี่
พรุ่งนี้ยังมีสอบอีกสองสนาม นักเรียนบางส่วนในห้องเริ่มตรวจคำตอบกัน หลังถามสวีเหยากวงไม่กี่ข้อแล้ว ก็เริ่มเจ็บใจกันสุดขีด
เฉียวเซิงเลยถามพวกเขาว่าทำไมต้องถามคำตอบจากสวีเหยากวงให้ได้
เท่ากับกระตือรือร้นจะยอมรับชะตา รนหาเรื่องให้เจ็บใจเองไม่ใช่เหรอ
แต่ก็มีคนเริ่มทบทวนวิชาวิทยาศาสตร์กับภาษาอังกฤษแล้ว
ทั้งห้องมีแค่ฉินหร่านที่ยังคงนิ่งสงบ เซี่ยเฟยนั่งบนที่นั่งข้างหน้าเธอ กำลังจะท่องสูตรเคมีให้เธอฟัง
ฉินหร่านล้วงแบบฝึกหัดวิชาชีววิทยาเล่มหนึ่งออกมา มองเธอช้าๆ “อ่า เธอไม่ต้องกลับไปทบทวนเหรอ”
ท่าทางของฉินหร่านดูพอใช้ได้ เซี่ยเฟยครางรับอ่อ ถึงได้เริ่มถามว่าฉินหร่านเป็นอย่างไรบ้าง
ปกติฉินหร่านสอบไม่เคยเขียนเลย ถ้าไม่ลอกหลินซือหราน เวลาลอกมักจะเลี่ยงคำตอบที่ถูกต้องได้เสมอ
หลินซือหรานกังวลว่าข้อสอบวิชาวรรณกรรมยาวขนาดนั้นเธอจะอ่านหรือเปล่า
ก่อนสอบ พวกเขาเคยบอกฉินหร่านแล้ว ถ้าเจอข้อที่ทำไม่เป็น ก็ให้ลอกหัวข้อ
ถ้าเป็นข้อสอบปรนัยไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น เลือก c ให้หมด อิงจากสถิติการทำโจทย์ของพวกเขา c มีความเป็นไปได้สูงที่สุด
ครั้งนี้ตรวจคำตอบกับสวีเหยากวงแล้ว สัดส่วนของ c ก็ดีงามมากทีเดียว
ฉินหร่านถือปากกาตอบอืมอย่างไม่ยี่หระ และเริ่มทำแบบฝึกหัดจากแบบฝึกหัดเคมีเล่มนี้ที่เฉิงเจวี้ยนเพิ่งซื้อมาวันนี้
…
วันต่อมา ช่วงเช้าสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ช่วงบ่ายสอบวิชาภาษาอังกฤษ
วิทยาศาสตร์สอบวิชาฟิสิกส์ เคมีและชีววิทยาพร้อมกันทั้งสามวิชา
ก่อนสอบ ผู้ชายที่สอบสนามเดียวกับฉินหร่านทำตามคำสั่งของเฉียวเซิง ท่องสูตรต่างๆ ให้ฉินหร่านฟัง และกำชับเธอให้เลือกตอบ c ทั้งหมด
ครั้งนี้ฉินหร่านโชคไม่ค่อยดี หนึ่งในอาจารย์ผู้คุมสอบคือหลี่อ้ายหรง
ฉินหร่านกับผู้ชายคนนั้นไม่มองหลี่อ้ายหรงเลย
หลี่อ้ายหรงกลับจงใจหยุด มองสองคนเชิงเย้ยหยัน “ปกติไม่ตั้งใจเรียน มาเร่งเอาก่อนสอบจะมีประโยชน์อะไร”
หลี่อ้ายหรงทึกทักไปเอง ตอนที่คุมสอบ ก็เอาแต่จับตามองสองคนนี้
ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบอยู่ตลอด แทบจะไม่เงยหน้าขึ้นเลย
ข้อสอบปรนัยหกข้อแรกเป็นโจทย์ฟิสิกส์
ทั้งไฟฟ้า สนามแม่เหล็กและการเคลื่อนที่ของวัตถุผสมผสานกัน ฉินหร่านอ่านครั้งแรก หยิบดินสอคำนวณบนกระดาษทด ตอนแรกจะเขียน แต่กลับหยุดชะงัก มองโจทย์ฟิสิกส์พวกนี้อยู่นานสองนาน
แล้วค่อยขยับปากกา
โจทย์พวกนี้ไม่มีตัวหนังสือเยอะเหมือนวิชาวรรณกรรม ฉินหร่านส่งข้อสอบก่อนวิชาที่แล้วเกือบครึ่งหนึ่งของเวลา
ตอนบ่ายฉินหร่านส่งข้อสอบเร็วกว่าเดิม ข้อสอบการฟังใช้เวลา 30 นาที จากนั้นเธอก็ใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการทำโจทย์ข้างหลัง เสียเวลาตอนฝนคำตอบกับเขียนเรียงความภาษาอังกฤษมากไปหน่อย
…
เพราะสุดสัปดาห์นี้สอบ วันเสาร์ฉินหร่านเลยไม่ได้ไปเยี่ยมเฉินซูหลาน
หลังสอบวิชาภาษาอังกฤษวิชาสุดท้ายเสร็จ ฉินหร่านถึงได้ไปหาเฉินซูหลาน
เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งรอเธอที่หน้าโรงเรียน
“สอบเป็นยังไงบ้าง” ลู่จ้าวอิ่งถามเธอ
ฉินหร่านครุ่นคิด จากนั้นเอ่ยปากว่า “พอได้ละมั้ง”
ลู่จ้าวอิ่งสำรวจท่าทางของเธอ จากนั้นพยักหน้า บ่งบอกว่าเข้าใจ
ตอนกลางวันมีนักเรียนที่สอบเข้าห้องพยาบาลเพราะท้องเสีย บ่นกับลู่จ้าวอิ่งว่าข้อสอบครั้งนี้ยากแค่ไหน
ตอนแรกทั้งสองคนยังกลัวว่าเธอจะกดดันกับการสอบครั้งนี้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ต่างอะไรกับที่ผ่านมา จึงไม่ได้พูดอะไรมาก
…
โรงเรียนเหิงชวนอีจงมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง
เพราะต้องคำนวณค่าเฉลี่ย คำนวณอันดับของทั้งเมืองด้วย เหล่าอาจารย์กินมื้อเย็นเสร็จต่างก็ตรวจข้อสอบล่วงเวลา
อาจารย์ถือกระดาษคำตอบพร้อมกับเทียบเกณฑ์คะแนน พลางพูดคุยกันไปด้วย “ครั้งนี้ยากมากเลย นักเรียนพวกนั้นย่ำแย่กันมาก ฉันก็ไม่คิดเลยว่า พวกเขาจะเชิญโฮ่วเต๋อหลงมาออกข้อสอบ”
เป็นที่รู้กันดีว่าข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ยาก แต่พอเห็นนักเรียนเว้นหัวข้อใหญ่ข้อท้ายๆ กันเยอะอาจารย์พวกนี้ก็วิตกกังวล
การสอบกลางภาคครั้งนี้เป็นการทดสอบมาตรฐานกลางทั่วเมือง แถมยังต้องแข่งขันกับไม้เบื่อไม้เมาอย่างโรงเรียนอวิ๋นเฉิงอีจง ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าการสอบปลายภาคเลย
ไม่ใช่แค่ค่าเฉลี่ยของทุกห้องที่จะถูกนำมาเทียบกับโรงเรียนทั่วเมืองเท่านั้น หลายโรงเรียนยังคำนวณเกณฑ์คะแนนโดยอิงจากหลายปีก่อน แบ่งเป็นระดับหนึ่ง ระดับสองและระดับสาม
ครั้งนี้จบเห่ วิชาคณิตศาสตร์แบบนี้ เส้นตัดคะแนนต่ำสุดอยู่ที่ระดับสาม
อาจารย์โฮ่วเต๋อหลงจะแบ่งแยกนักเรียนหัวกะทิ โรงเรียนมัธยมจะทดสอบความฉลาดของนักเรียนมัธยมปลายปีสาม ยากอย่างไรก็เอาอย่างนั้น
ยังดีที่อาจารย์โฮ่วเต๋อหลงไม่ได้บ้าบิ่นถึงขั้นตัดข้อสอบปรนัยทิ้ง เขายังให้โอกาสนักเรียนได้ทำข้อสอบปรนัย ไม่อย่างนั้นครั้งนี้คงจะพินาศกันหมด
ตั้งแต่ข้อสอบเติมคำไปจนถึงโจทย์คำนวณข้างหลัง เกือบจะทุกคนที่ทำแค่ไม่กี่ข้อ
ข้างหน้ายังพอมีคนทำบ้างประปราย
พอพลิกกระดาษคำตอบ หัวข้อใหญ่ข้างหลังก็ว่างเปล่ากันแทบจะทั้งหมด
จะพูดว่าว่างเปล่าก็ไม่ได้ ทุกข้อยังมีคำว่า ‘วิธีทำ’ ไม่ก็ ‘ตรวจคำตอบ’ อยู่
อาจารย์เริ่มพิจารณากันแล้วว่าจะให้คะแนนคนที่เขียนวิธีทำกับตรวจคำตอบหนึ่งคะแนนดีไหม
ต่างก็ประคองแก้วเก็บความร้อน เริ่มเคลือบแคลงใจแล้วว่าวิธีการสอนของตัวเองไม่ถูกต้อง
มีประโยคหนึ่งพูดว่า ถ้าไม่โชว์พลังให้เห็นตอนสอบ อาจารย์คิดว่าตัวเองสอนได้ดีมากหรือไง
จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งตรวจกระดาษคำตอบแผ่นหนึ่ง
เขามองหน้าแรกของกระดาษคำตอบแผ่นนี้ นิ่งไปพักใหญ่…
ดูเหมือนว่าหน้าแรกของคนนี้จะถูกหมดเลย