ลู่จ้าวอิ่งไม่ค่อยรู้เรื่องภายในของ OST มากนัก
แต่ก็รู้ว่าสมาชิกทีมของพวกเขาเป็นคนของอวิ๋นกวง ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป พวกเขามีเงิน ไม่เคยใช้ทีม OST มาหากิน
แม้แต่สินค้าของพวกเขาที่แฟนคลับอยากได้ยังต้องทำของเลียนแบบกันเอง
อยากเจอพวกเขาก็ทำได้แค่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหลาย
หลังพวกเขาคว้าแชมป์ รายการวาไรตี้ของช่องลูกแพร์เคยอยากเชิญพวกเขาไปร่วมเพื่อดึงดูดผู้ชม ประเด็นคืออยากเชิญกัปตันทีมหยางเฟยที่มีดีเรื่องหน้าตา ต่างก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด
เรียกว่าเป็นแฟนคลับที่น่าสงสารที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
เพราะบัตรเข้าชมการแข่งขันพวกนี้ก็มีไม่มาก ทุกครั้งจะมีแค่เกือบหนึ่งพันใบ คนหลายแสนคนแย่งบัตรหนึ่งพันใบ ไม่ต่างกับกองทัพนับพันหมื่นแย่งกันข้ามสะพานไม้เลย
พวกเขายังไม่ทำเรื่องแนวกระทิงเหลืองด้วย ต้องการบัตร ทำได้แค่อาศัยความเร็วของมือกับอินเทอร์เน็ต
การแข่งขันของทีม OST ครั้งนี้มีทั้งหมดสี่รอบ ลู่จ้าวอิ่งรู้ดีว่าตัวเองแย่งไม่ได้ เลยให้เฉิงมู่ใช้เส้นสายติดต่อคนใน ลำบากยากเย็นได้มาแค่สามใบ
มีบัตรเข้าชมการแข่งขัน + แฟนมีตติ้งอีกหนึ่งใบที่เขาไม่ได้
เขาได้บัตรใบหนึ่งมาให้ฉินหร่าน เรียกได้ว่าสาหัสสากรรจ์
เฉิงมู่รู้ถึงความยากลำบากของขั้นตอน เมื่อครู่ถึงได้บอกให้ฉินหร่านรับไว้
ฉินหร่านยกมือกดหมวกเบสบอลบนหัวด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่ให้ลู่จ้าวอิ่งแตะต้อง
“ก็ได้ ไม่แตะก็ได้” ลู่จ้าวอิ่งชักมือกลับ “แค่หมวกก็อปไปเดียว หวงแหนขนาดนี้ เธอบอกว่าไม่ใช่แฟนคลับฉันเชื่อแล้ว จริงๆ นะ”
เขายัดบัตรในมือใส่มือฉินหร่าน
ฉินหร่านก้มหน้า มองบัตรในมือแล้วครุ่นคิด แต่ก็ยัดใส่กระเป๋าอย่างเชื่องช้าอยู่ดี
ลู่จ้าวอิ่งให้เธอเก็บล็อกให้ดีหลังเอากลับไปแล้ว อย่าให้คนอื่นเห็น
…
เฉิงเจวี้ยนคุยธุระกับผู้บัญชาการห่าวได้พอสมควรแล้ว
“ข้อมูลยังขาดอีกนิดหน่อย” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือ เอาโน้ตบุ๊กไปวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเหลียวมองฉินหร่าน มือเคาะโต๊ะ ท่าทีสบายๆ “รอเธอจัดการเสร็จแล้วส่งไปให้ผู้บัญชาการเฉียน”
เพราะก่อนหน้านี้ฉินหร่านต้องสอบ ช่วงนั้นเฉิงเจวี้ยนไม่ให้เธอเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้
ฉินหร่านนั่งลงข้างโน้ตบุ๊ก ก้มหน้าแล้วเริ่มทำงาน
นิ้วมือเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์สีดำ ดูเด่นชัดอย่างยิ่ง
ทั้งห้องพยาบาลเหลือเพียงเสียงเคาะแป้นพิมพ์
ใบหน้าด้านข้างที่ก้มต่ำดูจริงจังมาก
ผู้บัญชาการห่าวยืนข้างหลังฉินหร่าน กำลังจดจ้องเธอ
อันที่จริงจนตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้สติ เขามองฉินหร่านคนตรงหน้า อีกฝ่ายแตกต่างจากที่เขาคิดมาตลอด รู้สึกแปลกหน้าอยู่บ้างนิดหน่อย
ขณะนั้นเองมือถือของเฉิงมู่ก็ดังขึ้น
เขามองแวบหนึ่ง เป็นเฉิงจิน จึงถือออกไปรับสายข้างนอก
ทางฝั่งเฉิงจิน ข้างๆ มือมีหนังสือคู่มือกองหนึ่ง น้ำเสียงของเขาทุ้มและสบาย “หนังสือคู่มือที่ท่านเจวี้ยนสั่ง จะให้ส่งไปตอนนี้เลยไหม”
เฉิงมู่ชะงัก
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะบอกให้ส่งมาเดี๋ยวนี้ แต่ตอนนี้…
เขามองเข้าไปในบานกระจก เงียบอยู่นานแล้วพูดว่า “นายรอเดี๋ยว ฉันจะไปถามท่านเจวี้ยน”
ฉินหร่านยังคงกลั่นกรองข้อมูลอยู่ เฉิงเจวี้ยนพิงโต๊ะ แพขนตาลู่ลงมา
เฉิงมู่ทำท่าครุ่นคิด เดินไปยืนข้างเขา กดเสียงแล้วพูดว่า “ท่านเจวี้ยน สายจากเฉิงจิน ถามว่าหนังสือพวกนั้น…”
“ส่งมาเลย” เฉิงเจวี้ยนพิงโต๊ะ ไม่เชยตาขึ้นมอง เสียงกังวาน
เฉิงมู่พยักหน้า กำมือถือออกไปคุยกับเฉิงจินอีกครั้งว่า “ท่านเจวี้ยนให้นายส่งมา”
“ได้ แต่เยอะขนาดนั้นจะทำหมดเหรอ” ฝั่งเฉิงจินมองกองหนังสือคู่มือตรงเท้า นึกถึงคำพูดที่เฉิงมู่เคยบอกเขา จากนั้นก็พูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ต่อให้ลอก ยังเปลืองแรงเลยสินะ”
“ได้ คุณหนูฉินทำได้” เฉิงมู่เอ่ยปากอย่างเหนื่อยใจ
“สองสามวันนี้ เรียกคุณหนูฉินคล่องปากขึ้นทุกวัน ท่าทางเธอจะไม่เลวสินะ” เฉิงจินคิด เมื่อก่อนแม้เฉิงมู่จะเรียกคุณหนูฉินเหมือนกัน แต่น้ำเสียงในวันนี้แตกต่างเล็กน้อย
เฉิงมู่ตอบอืม “ปีหน้าพวกนายก็รู้เอง”
…
กลางคืน
มีคาบเรียนด้วยตัวเอง ห้องเก้าไม่ขาดแม้แต่คนเดียว
ปกติคาบเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำจะไม่มีเรียนแล้ว แต่อาจารย์ฟิสิกส์กลับถือแก้วเก็บความร้อนเดินมาอย่างเชื่องช้า
เขาอธิบายข้อสอบปรนัยสองข้อให้นักเรียนห้องเก้าฟัง
สูตรคำนวณเขียนเต็มกระดานดำ
ระหว่างนี้ อาจารย์ก็เอ่ยปากชมหลินซือหราน จากนั้นก็ชมสวีเหยากวง
เน้นชมหลินซือหราน “หลินซือหราน ก้าวหน้าเร็วผิดปกติ อาจารย์เชื่อในตัวเธอมาก”
ฟังอาจารย์ชมพวกหลินซือหรานมาตลอดทั้งบ่ายแล้ว นักเรียนห้องเก้ามีภูมิคุ้มกันกันหมดแล้ว
พอหมดคาบ เขาถึงสาวเท้าเดินมา เคาะโต๊ะของฉินหร่าน กระแอมไอแล้วพูดว่า “ฉินหร่าน มาที่ห้องอาจารย์หน่อย”
วันนี้ยังคงหนาวเล็กน้อย ลมพัดเช่นเคย
ฉินหร่านสวมคาร์ดิแกนสีเทา พอได้ฟังเธอก็เงยหน้า เอาหนังสือนอกเวลาใส่ลิ้นชักใต้โต๊ะ
พอถึงห้องพักครู อาจารย์ฟิสิกส์วางแผนการสอนในมือลง “ฉินหร่าน เธอไม่พอใจอาจารย์มากใช่ไหม
ทำไมถึงไม่ทำโจทย์ฟิสิกส์เลยสักข้อ”
เขาชี้แถวสุดท้ายของตารางคะแนน เลข ‘0’ สะดุดตายิ่งนัก
ฉินหร่านก้มหน้า ท่าทางว่าง่าย และจริงจังอย่างมาก “ขออนุญาตค่ะอาจารย์ หนูทำไม่เป็น”
อาจารย์ฟิสิกส์ “…”
บัดซบ ใครจะไปเชื่อเธอ
…
คนในห้องสังเกตเห็นเธอตามออกไปแล้ว ก็สุมหัวพูดคุยกันขึ้นมา
“ว่าแล้วว่าอาจารย์ฟิสิกส์ต้องเรียกเธอแน่นอน” เฉียวเซิงเงยหน้า เอนตัวพิงข้างหลัง ยักคิ้ว
พอคิดๆ ดูแล้ว เขาก็กระทุ้งหลังสวีเหยากวง “คุณชายสวี นายว่าทำไมฉินหร่านถึงไม่ทำข้อสอบฟิสิกส์เลยสักข้อ เธอทำไม่เป็น หรือแกล้งทำไม่เป็น”
สวีเหยากวงมองไปทางประตูห้อง แววตายังคงเฉยชา เขาส่ายหน้า “ไม่รู้”
เอาเถอะ
เฉียวเซิงไม่เข้าใจ จึงลดมือลง
“นี่ เฉียวเซิง นายดูโพสต์นี้สิ เริ่มบูชาเทพแห่งการเรียนแล้ว เดี๋ยวนะ ฉันจะโพสต์ข้อสอบวิชาคณิตของเจ๊ฉินลงไป” เพื่อนร่วมโต๊ะของเฉียวเซิงไปขอกระดาษคำตอบของฉินหร่านกับหลินซือหราน
หลายคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็มีคนแถวหลังนึกอะไรขึ้นมาได้ “ได้ยินว่าจะมีนักเรียนใหม่ย้ายมาห้องเราอีกแล้ว”
“นายรู้ได้ยังไง” เพื่อนร่วมโต๊ะของเฉียวเซิงพูดอย่างแปลกใจ มัธยมปลายปีสามแล้วยังมีคนย้ายมาอีก
ปีนี้ห้องของพวกเขาเป็นที่นิยมมากเป็นพิเศษ
“ได้ยินอาฉันพูดตอนกินข้าวเย็น” เหอเหวินเป็นญาติกับผู้อำนวยการติง ตอนนี้พักอาศัยอยู่บ้านผู้อำนวยการติง “เขาบอกน้าฉันว่าตอนแรกจะให้ไปอยู่ห้องหนึ่ง แต่เพราะเรื่องของปีศาจหลี่คนนั้น เลยให้มาอยู่ห้องเรา เป็นผู้หญิง”
เฉียวเซิงนั่งไขว่ห้าง ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้แต่อย่างใด แค่ไถมือถือ “มีใครแย่งบัตรของ OST ได้บ้างหรือเปล่า”
พอเขาพูดประโยคนี้ คนเกือบครึ่งห้องพากันถอนหายใจยาวเหยียด
…
ฉินหร่านกินข้าวเย็นเสร็จก็กลับเข้าห้องเรียน
ในห้องพยาบาล ลู่จ้าวอิ่งกินข้าวเสร็จ เอนตัวบนโซฟาแล้วเริ่มจิบชา จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
เขาลุกพรวดขึ้นมา เปิดมือถือแล้วกดเปิดฟอรัมของอีจง มือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เจอคอมเมนต์ที่ตัวเองต้องการ
มือคลิกดูคอมเมนต์นั้น ตกอยู่ในภวังค์เนิ่นนาน
“คุณชายลู่ เป็นอะไรไป” เฉิงมู่กำลังคุยกับผู้บัญชาการห่าว ทั้งสองคนต่างก็มองมาทางเขา
“ฉันกำลังอ่านฟอรัมของอีจง ฉินเสี่ยวหร่านได้คะแนนวิชาคณิตเต็มคนเดียว สูงกว่าสวีเหยากวงซะอีก” ตอนนี้ลู่จ้าวอิ่งเพิ่งรู้สึกตัวกับเรื่องราวทั้งหมดนี้
เฉิงมู่พยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราได้ยิน เลยแปลกใจมาก”
“เธอได้ 150 คะแนน สวีเหยากวง 141” ลู่จ้าวอิ่งใช้สมอง “โจทย์พวกนี้เป็นข้อสอบโอลิมปิก โฮ่วเต๋อหลงเป็นคนออก เท่ากับว่าตรรกะความคิดทางคณิตศาสตร์ของเธอสูงกว่าสวีเหยากวงใช่ไหม”
เฉิงเจวี้ยนกำลังจัดหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ของตัวเองอยู่
พอได้ยินลู่จ้าวอิ่งพูดแบบนี้ เขาก็หยุดชะงัก
“น่าจะใช่” เฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวมองตากันแวบหนึ่ง
ไม่เข้าใจว่าลู่จ้าวอิ่งรู้สึกช้าไม่พอ ทำไมถึงได้มีปฏิกิริยาใหญ่โตขนาดนี้
ลู่จ้าวอิ่งไม่ได้อธิบายอะไรกับทั้งสองคน ที่เขาตกใจไม่ใช่เพราะฉินหร่านสอบได้คะแนนเยอะกว่าสวีเหยากวง แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านสวีไม่ต้องการทายาทสืบทอดเลย แม้กระทั่งว่าออกจากจิงเฉิงมาเป็นอาจารย์ใหญ่ที่นี่” ลู่จ้าวอิ่งสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง เขามองพวกเฉิงมู่ “พวกนายว่าท่านสวีอยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิง เพราะอยากให้ฉินเสี่ยวหร่านเป็นทายาทสืบทอดของเขาหรือเปล่า”
อาจารย์ใหญ่สวีเคยบอกพวกเขานานแล้วว่าเจอทายาทผู้สืบทอดแล้ว
ตอนแรกเขากับเฉิงเจวี้ยนยังสงสัยว่าอาจารย์ใหญ่สวีพูดจริงหรือเปล่า เพราะทั้งสองคนค้นหาทั่วเมืองอวิ๋นเฉิงแล้ว ก็ไม่เจอคนที่คิดว่าท่านสวีจะถูกใจเลยสักคน
กระทั่งวันนี้เขาสะดุ้งตื่นเพราะสายฟ้าฟาด
อันที่จริงพอคิดดูแล้วทุกอย่างก็ใช่ว่าจะไม่มีเบาะแส อาจารย์ใหญ่สวีรู้จักฉินหร่านได้อย่างไร
ครั้งที่มือของฉินหร่านเจ็บ อาจารย์ใหญ่สวีตกใจหน้าถอดสี จากนั้นก็มาดูอาการที่มือของฉินหร่านที่ห้องพยาบาลแทบจะทุกวัน
ลู่จ้าวอิ่งนั่งลงบนโซฟา ถือแก้วแล้วรินน้ำเย็นให้ตัวเองแก้วหนึ่ง พยายามจะสงบสติอารมณ์
“ไม่ใช่หรอกมั้ง” ผู้บัญชาการห่าวมองลู่จ้าวอิ่งแล้วส่ายหน้า “คนเยอะแยะมากมายในจิงเฉิงเขาไม่ถูกใจ คนที่ถนัดคณิตยิ่งกว่าเธอก็มีไม่น้อย สถาบันวิจัยคณิตศาสตร์ A มีแต่พวกบ้าวิจัยคณิตศาสตร์ ผู้สืบทอดของท่านสวีไม่ได้มองแค่ตรรกะการคำนวณซะหน่อย”
ผู้คนตั้งเท่าใดในจิงเฉิงจับตามองผู้สืบทอดของท่านสวี หากว่าถูกผู้หญิงที่เงียบขรึมคนหนึ่งได้ไป จะเอาพวกที่อยู่ในสถาบันวิจัยไปไว้ที่ไหน
“อีกอย่าง ฐานะอย่างท่านสวี บวกกับทายาทผู้สืบทอดของเขา อย่าว่าแต่เธอเป็นคนธรรมดาเลย ต่อให้เป็นพวกที่อยู่ในจิงเฉิง ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้หรอกมั้ง หากท่านสวีมีเจตนาแบบนี้จริง ตอนนี้เธอคงเข้าจิงเฉิงไปนานแล้ว จะอยู่ในเมืองอวิ๋นเฉิงเหรอ”