ผู้บัญชาการห่าวคิดว่าลู่จ้าวอิ่งคิดมากเกินไป ไม่ว่าท่านสวีจะเลือกอย่างไร ก็ไม่มีทางทิ้งพวกหนุ่มหล่อมากความสามารถในจิงเฉิง แล้วมาหานักเรียนมัธยมปลายที่เมืองอวิ๋นเฉิงแทนหรอก
อย่างไรเสียไม่ว่าจะมองจากด้านใด ผู้บัญชาการห่าวกับเฉิงมู่ก็ไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี
ถ้าเกิดเป็นจริง งั้นเมืองหลวงก็คงจะสั่นสะเทือนเสียแล้ว
ผู้บัญชาการห่าวหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “คุณชายลู่ ถ้าเกิดท่านสวีพาคนที่ไม่เป็นที่รู้จักกลับจิงเฉิง คนสกุลสวีก็คงไม่ยอมหรอกมั้ง”
ลู่จ้าวอิ่งนั่งอยู่บนโซฟา ไม่ขยับเขยื้อน
ก้มหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ผู้บัญชาการห่าวกับเฉิงมู่มองหน้ากันแวบหนึ่งก็ลุกขึ้นออกไปเอารถ
พอทั้งคู่ออกไปแล้ว ลู่จ้าวอิ่งถึงได้เงยหน้าขึ้น ไม่เผลอลูบต่างหูอย่างไม่รู้ตัว หันไปมองเฉิงเจวี้ยน “ท่านเจวี้ยน นายว่าผู้สืบทอดที่ท่านสวีบอกพวกเราตอนนั้นมีความเป็นไปได้กี่เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นฉินเสี่ยวหร่าน”
หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว เป็นไปได้ยากจริงๆ
ฐานะในจิงเฉิงของท่านสวี เมื่อเทียบกับฉินหร่านแล้วก็เหมือนช้างกับมด
คุณว่าช้างตัวหนึ่งจะหามดมาเป็นผู้สืบทอดของตัวเองหรือเปล่า
หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ใหญ่สวีบอกกับพวกลู่จ้าวอิ่งว่าเจอผู้สืบทอดแล้วล่ะก็ ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่มีทางคิดแบบนี้แน่
เฉิงเจวี้ยนหยิบเข็มเงินที่วางบนโต๊ะขึ้นมา ก้มหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
สีหน้าของเขาดูเกียจคร้านอยู่ตลอด แต่แม้ว่าจะเป็นใบหน้าที่เฉยชา ก็ทำให้คนเชื่อฟังได้เสมอ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงเอ่ยปากอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ไม่รู้”
ลู่จ้าวอิ่ง “…”
…
ทางด้านตึกสำนักงานของผู้บัญชาการเฉียน
ผู้บัญชาการห่าวจอดรถ ขณะที่เปิดประตูก็มองเฉิงมู่ที่นั่งอยู่ข้างคนขับไปด้วย “ทำไมท่านสวีถึงมาอยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิงได้”
พวกเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งว่าจะไม่พูดถึงแล้ว แถมชีเฉิงจวินก็กลับไปแล้ว ตอนนี้ยังมีเรื่องคนสกุลสวีเพิ่มมาอีก
ลู่จ้าวอิ่งนั่งอยู่ข้างหลัง มือข้างหนึ่งถือมือถือ อีกข้างยันเบาะนั่งแล้วลุกออกจากรถ
เขาปิดปากเงียบมาตลอดทาง ไม่พูดไม่จา
“ไม่รู้เหมือนกัน” เฉิงมู่ปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ มือที่ถือแฟ้มคดีอยู่เปลี่ยนมาถือด้วยมืออีกข้าง
“ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสของผู้สืบทอดของท่านสวีใช่ไหม” ผู้บัญชาการห่าวล็อกประตูแล้วทั้งสามคนก็พากันเดินไปทางสำนักงาน
พอพวกผู้บัญชาการเฉียนตรวจสอบคดีกันขึ้นมา ก็ทำจนไม่รู้วันรู้คืน ตอนนี้ในห้องโถงมีคนเดินขวักไขว่ แสงไฟสว่างจ้า
“คุณลู่” ผู้บัญชาการเฉียนกำลังประชุมอยู่ พอเห็นทั้งคู่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ถือโอกาสรับเอกสารไปจากมือเฉิงมู่ “หลายวันนี้คุณหนูฉินทำอะไรถึงได้ยุ่งขนาดนี้ เพิ่งว่างวันนี้เหรอ”
พอได้ยินผู้บัญชาการเฉียนพูดถึงเรื่องนี้ เฉิงมู่ก็เงียบไปครู่หนึ่งล้วพูดอย่างอิดโรยเล็กน้อยว่า “เธอต้องสอบ หลายวันก่อนเอาแต่ทบทวนบทเรียน”
ผู้บัญชาการเฉียนพยักหน้า ไม่พูดอะไร
มีแค่ตอนที่เกี่ยวข้องฉินหร่าน เขาถึงจะพูดมาก
เขาถือข้อมูลจะไปหาเจ้าหน้าที่ไอที
ผู้บัญชาการห่าวกับเฉิงมู่ยืนอยู่กลางห้องประชุม ไม่กล้าทำอะไรตามใจ
“ผู้บัญชาการเฉียน คุณเชื่อใจฉินเสี่ยวหร่านขนาดนี้เลยเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งยกชาแก้วหนึ่งขึ้นมา เอ่ยปากราวกับไม่ได้ตั้งใจ “ผู้บัญชาการเฉียน เธอเพิ่งจะอยู่แค่ม.ปลายปีสาม เมื่อก่อนพวกคุณรู้จักกันได้ยังไง ทำไมผมเห็นพวกคุณดูจะเคารพเธอมาก ขอแค่เกี่ยวกับเธอก็จะไม่สงสัยเลยสักนิดล่ะ”
“รู้จักกันในคดีหนึ่งก่อนหน้านี้” ผู้บัญชาการเฉียนตอบสั้นกระชับ
“คดีเมื่อสามปีก่อนใช่ไหม” ลู่จ้าวอิ่งเอี้ยวตัวมองผู้บัญชาการเฉียน กดเสียงต่ำลง
ผู้บัญชาการเฉียนไม่พูดอะไร
“งั้นก็เป็นเธอแน่ๆ คดีของพวกคุณที่เขตหนิงไห่เมื่อสามปีก่อน การตรวจสอบคดีที่สะเทือนวงการสืบสวนครั้งนั้นเกี่ยวข้องกับเธอสินะ” ลู่จ้าวอิ่งมองผู้บัญชาการเฉียนด้วยนัยน์ตาแวววาว “ฉินหร่านเป็นใครกันแน่”
ผู้บัญชาการเฉียนชะงัก “คุณลู่ ผมไม่ขอออกความเห็น” ตอนแรกลู่จ้าวอิ่งก็แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ ไม่คิดว่าปฏิกิริยาของผู้บัญชาการเฉียนจะรุนแรงไม่เบา
เขามองแผ่นหลังที่จากไปของผู้บัญชาการเฉียน ยกมือขึ้นลูบต่างหู
เข้าสู่ภวังค์ความคิด
…
วันต่อมา
คาบสุดท้ายของวันพุธช่วงเช้าคือวิชาชีววิทยา
อาจารย์ชีววิทยาเปิดข้อสอบอย่างหน้าชื่นตาบาน “เมื่อวานเราเรียนข้อสอบปรนัยจบแล้วใช่ไหม วันนี้เราจะมาเริ่มอธิบายกันที่หัวข้อใหญ่ข้อสุดท้าย ข้อสุดท้ายเป็นแผนที่พันธุกรรม มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมทั้งหมดสี่แบบ มีลักษณะเด่นอยู่สี่จุด ซับซ้อนนิดหน่อย เราจะขอให้เพื่อนออกมาอธิบายให้พวกเรา…” ขณะที่พูด อาจารย์ชีวะก็กวาดสายตาไปรอบห้อง
มือที่ถือปากกาของฉินหร่านชะงัก ซ่อนใบหน้าเรียบเฉยไว้หลังกองหนังสือ
อาจารย์ชีวะที่ยืนอยู่หน้าห้องฉีกยิ้ม “อาจารย์เห็นสายตาที่อยากจะลองของนักเรียนแล้ว เอาละ ฉินหร่าน เธอนั่นแหละ!”
…ไม่สิ อาจารย์มาเห็นสายตาอยากลองของเราตอนไหนกัน
ฉินหร่านโยนปากกาลงบนโต๊ะ ดันเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น
ก้มหน้าก้มตา ทั้งเงียบและเย็นชา เสมือนมีกลุ่มไอสีดำปกคลุมบนใบหน้า
นักเรียนคนอื่นในห้องเก้าเห็นจนชินตาแล้ว
ตอนนี้ฉินหร่านจะถูกเรียกชื่อเฉลี่ยคาบละสามครั้ง
พอทำโจทย์เสร็จ ฉินหร่านก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเริ่มพลิกอ่านหนังสือภาษาต้นฉบับ อาจารย์ชีวะเห็นแล้วแต่ก็ไม่พูดอะไร
หลังเลิกเรียน ฉินหร่านอืดอาดยืดยาดกำลังรอให้นักเรียนคนอื่นออกไปให้หมด
คนอื่นรู้จักนิสัยเธอดีต่างก็ไม่รบกวนเธอ
แต่ไม่คิดว่าหลี่อ้ายหรงจะยืนรอเธอหน้าห้อง
ฉินหร่านเงยหน้า ดวงตาดำสนิทคู่นั้นจ้องหลี่อ้ายหรงเขม็งอยู่นาน ทำเอาหลี่อ้ายหรงถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
เธอถึงได้ฉีกยิ้มที่ไม่ยี่หระอย่างยิ่งออกมา สวมหมวดเบสบอลลงบนหัว สองมือล้วงกระเป๋า “อาจารย์หลี่ มีธุระกับหนูเหรอคะ”
หางเสียงทั้งเยาะเย้ยและทำร้ายจิตใจ
“ฉินหร่าน เรื่องเมื่อคราวก่อน อาจารย์จะมาขอโทษเธอ” หลี่อ้ายหรงก้มหน้า
ตอนแรกฉินหร่านคิดว่าเธอจะมาหาเรื่องตัวเอง ไม่ทันได้คิดว่าจะมาขอโทษตัวเอง เธอเลิกคิ้วพลางลูบคางมองร่างของหลี่อ้ายหรงที่ขอโทษเสร็จก็หนีเตลิดไป
น่าแปลกนิดหน่อย คนอย่างหลี่อ้ายหรงตอนนี้น่าจะแอบสาปแช่งให้คะแนนเธอลดลง ไม่ก็แอบด่าว่าคะแนนฟิสิกส์ของเธอไม่ดีอยู่ที่ไหนสักแห่งสิ
ทำไมจู่ๆ ถึงได้มาขอโทษตัวเองล่ะ
ฉินหร่านไม่ทันได้คิดอะไร จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอเหลือบมองแวบหนึ่ง เป็นหนิงฉิง
ไม่รับ กดตัดสายทันที
…
ขณะเดียวกัน ณ โรงพยาบาลอวิ๋นเฉิง
หนิงฉิงลดมือถือลง ขมวดคิ้ว เธอขยับชายผ้าห่มให้เฉินซูหลาน “หรานหร่านไม่รับสายหนู” เฉินซูหลานหลับตาพริ้ม สีหน้าไม่ค่อยสู้ดี “งั้นก็อย่าให้เธอไปเลย เธอยังอยู่แค่ม.ปลายปีสาม ปีหน้าต้องสอบเข้ามหาลัย ไปกลับต้องใช้เวลานาน เสียเวลา”
พอได้ยินเฉินซูหลานพูดแบบนี้ มือที่จับชายผ้าห่มของหนิงฉิงก็นิ่งไป มุมปากกระตุกเบาๆ ทีหนึ่ง คิดว่าฉินหร่านจะเรียนหรือไม่เรียนก็ไม่ต่างอะไรกัน
แต่เฉินซูหลานป่วยอยู่ เธอก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้มากนัก จึงบอกแค่ว่า “พาเธอเข้าเมืองสักครั้งก็ดีเหมือนกัน ในจิงเฉิงเจริญกว่าเมืองอวิ๋นเฉิงของเรา ไปที่นั่นสักครั้ง หรานหร่านได้เปิดหูเปิดตา ไม่แน่กลับมาอาจจะตั้งใจเรียนอยากสอบเข้าจิงเฉิง ไม่ก็ยอมตกลงไปอยู่สกุลเฟิงก็ได้”
เพราะสกุลเฟิงเองก็มีอิทธิพลในจิงเฉิงบ้างเหมือนกัน
“มีอะไรให้เปิดหูเปิดตากัน” เฉินซูหลานหลับตาพริ้ม เสียงก็อ่อนแรง “สกุลหลินอยู่ที่อวิ๋นเฉิงยังพอเป็นเจ้าถิ่นได้ แต่ไปจิงเฉิง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องระมัดระวัง ไม่เห็นมีอะไรดี”
พอได้ยินเฉินซูหลานพูดแบบนี้ จู่ๆ หนิงฉิงก็หงุดหงิดใจ
ตอนนั้นที่เธอแต่งงานกับฉินฮั่นชิวก็เพราะถูกใจใบหน้าของฉินฮั่นชิว เสียดายที่ฉินฮั่วชิวมีดีแค่หน้าตา ไม่ก้าวหน้าแต่อย่างใด สายตาทั้งชีวิตมองสถานที่เล็กกระจ้อยร่อยอย่างเขตหนิงไห่
วิสัยทัศน์ของเฉินซูหลานแคบมาตลอด
เธอบอกหนิงฉิงว่าฉินฮั่นชิวซื่อตรง แต่ซื่อตรงแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ตอนนี้ใครไม่เข้าไปเรียนในเมืองใหญ่กันบ้าง ใครจะยอมอยู่ในชนบทเล็กๆ กัน
ฉะนั้นหนิงฉิงเลิกกับฉินฮั่นชิว ถึงมาเจอกับสกุลหลินได้
“แม่ เลิกพูดได้แล้ว แม่จะไปรู้อะไร เพราะหรานหร่านอยู่กับแม่นาน นิสัยถึงได้เหมือนแม่” หนิงฉิงพูดแทรกเฉินซูหลาน “เดี๋ยวหนูจะไปถามหรานหร่านดู”
เฉินซูหลานสุขภาพย่ำแย่ เธอรู้ว่าหนิงฉิงมักใหญ่ใฝ่สูงเสมอมาเลยไม่พูดอะไรกับหนิงฉิงอีก จึงเลือกหลับตาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราเสียเลย
หนิงฉิงอยู่ในโรงพยาบาลตลอด พอเฉินซูหลานหลับแล้วเธอก็ลุกขึ้นเบาๆ
เธอไม่ได้กลับไป แต่ไปที่ห้องทำงานของแพทย์ประจำตัวของเฉินซูหลานแล้วเคาะประตู
“คุณมีธุระอะไรเหรอครับ” แพทย์เจ้าของคนไข้วางปากกา มองหนิงฉิงด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็ชี้เก้าฝั่งตรงข้าม “นั่งสิครับ” หนิงฉิงนั่งลง วางกระเป๋าไว้บนตัก “คุณหมอ อาการป่วยของแม่ฉันมันยังไงกันแน่ หลายปีก่อนยังดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ถึงได้รับรังสีรุนแรงขนาดนี้ ฉันถามมาแล้ว ที่บ้านเกิดก็ไม่มีพวกโรงงานเคมีเลย”
“ไม่ใช่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา น่าจะได้รับรังสีตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ระหว่างนี้น่าจะกินยามาตลอด” แพทย์เจ้าของไข้ดันแว่น “แต่เพราะไม่กี่ปีมานี้สุขภาพของท่านเข้าสู่ช่วงชราภาพ อาการป่วยพวกนี้เลยกำเริบขึ้นมาหมด”
“แล้ว…” หนิงฉิงเม้มปาก นึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง “ยา cns ยาแบบนี้ได้มายากมากจริงๆ เหรอคะ”
“ยากมาก ยาทดลองของห้องทดลอง ตอนนี้โรงพยาบาลของเราหาไม่ได้แล้ว” แพทย์ทำหน้าจริงจัง “ต้องพึ่งคุณหนูฉินเท่านั้น”
ได้ยินแพทย์พูดแบบนี้ สีหน้าของหนิงฉิงก็สับสนยิ่งกว่าเดิม
ตอนนี้เมื่ออาการของเฉินซูหลานดีขึ้น หนิงฉิงถึงได้มีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่น
แม้แต่หลินจิ่นเซวียนเองก็หายาทดลองนั่นในเวลาอันสั้นไม่ได้ เพื่อนของฉินหร่านได้มาได้อย่างไร ทำไมเธอถึงมีเพื่อนแบบนี้ คบตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังเธอคุยกับแพทย์เสร็จก็กลับไปอยู่ที่ห้องผู้ป่วยตลอดทั้งบ่าย พลางดูเวลา
พอใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนของโรงเรียนอีจง เธอถึงได้ออกจากห้องผู้ป่วย ต่อสายหาฉินหร่านอีกครั้ง แต่โทรไม่ติด
เธอจึงให้คนขับรถพาเธอไปหาฉินหร่านที่โรงเรียนอีจง
…
โรงเรียนอีจง
เลิกเรียนตอนบ่าย เป็นหลังจากที่ฉินหร่านก็ถูกอาจารย์ขานชื่อมาทั้งบ่ายแล้วเหมือนกัน
เป็นไปตามสถานการณ์ที่เธอคาดการณ์ไว้
ฉินหร่านพิงผนังด้วยความเหนื่อยใจ
“เจ๊หร่าน จะไปโรงอาหารด้วยกันไหม” พวกเฉียวเซิงกำลังตกลงกันว่าจะแอบเข้าไปในการแข่งขันของ OST ได้อย่างไรเลยอยู่ในห้องนานไปหน่อย
ฉินหร่านหยุดคิดไปครู่หนึ่ง เก็บหมวกเบสบอลใส่ลิ้นชักใต้โต๊ะ จากนั้นก็ถือแก้วเก็บความร้อนขึ้นช้าๆ “ฉันจะไปห้องพยาบาล”
ถ้าไปโรงอาหารก็จะถูกคนมุงดูอีก
เฉียวเซิงพยักหน้า ช่วงนี้เขาก็ไม่ค่อยอยากไปโรงอาหารเหมือนกัน “งั้นเราลงไปพร้อมกัน”
เฉียวเซิงคุยเรื่องหยางเฟยกับเหอเหวินมาตลอดทาง
“ฉันนึกออกแล้ว” มือที่กำลังหมุนลูกบาสของเฉียวเซิงหยุดลง “เจ๊หร่าน เธอก็เป็นแฟนคลับของ OST เหมือนกันใช่ไหม อาทิตย์หน้าพวกเราจะปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่แอบเข้าไปในสนามแข่ง เธอจะไปด้วยไหม”
ฉินหร่านที่ถูกถือวิสาสะตราหน้าว่าเป็นแฟนคลับ OST เลิกโต้แย้งแล้ว เธอพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่ไป” ทั้งสองคนเดินลงจากตึก เห็นมู่หยิงที่กำลังรออยู่ข้างทางพอดี
“พี่!” มู่หยิงพยายามโบกมือสุดพลัง “สวัสดีค่ะรุ่นพี่”
ข้างๆ เธอมีเพื่อนร่วมห้องอีกหลายคนของเธอ
เฉียวเซิงเหลือบมองเธอ ตอบอืมอย่างไม่แยแส มีความเย่อหยิ่งตามแบบฉบับวัยรุ่น
ฉินหร่านก็หยุดเดินด้วย น้ำเสียงไร้อารมณ์ ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ดูเหลาะแหละ แต่ก็เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว “มีอะไร”
มู่หยิงอดมองเฉียวเซิงไม่ได้ จากนั้นก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “คุณป้ามีธุระกับพี่ รออยู่ตรงปากทางข้างนอก”
“เข้าใจแล้ว” ฉินหร่านตอบอย่างไม่แสดงอารมณ์
“เจ๊หร่าน เธอไปก่อนเถอะ ฉันรอเธอตรงนี้” เฉียวเซิงก้มหน้าน้อยๆ
เขากำลังต้องการความเห็นของเธอ
ฉินหร่านนิ่งสงบมาก มือล้วงกระเป๋า ไม่แสดงสีหน้าอะไร “ไม่ต้องหรอก นายไปเล่นบาสเถอะ”
“ก็ได้” เฉียวเซิงมองฉินหร่านเดินจากไปแล้ว ถึงได้เดาะบาสไปที่สนามกีฬา
พอทั้งคู่ไปกันหมดแล้ว หลายคนรอบข้างมู่หยิงได้ถึงแสดงอาการไม่อยากจะเชื่อออกมา “เป็นลูกพี่ลูกน้องเธอจริงๆ เหรอ รู้สึกเหมือนคุณชายเฉียวจะเชื่อฟังเธอเอามากๆ”
มู่หยิงต้องรู้สึกได้อยู่แล้ว เธอมองแผ่นหลังของฉินหร่านด้วยสายตาคาดเดายาก “อืม”
…
รถของหนิงฉิงจอดอยู่ข้างทาง หาได้ง่ายมาก
“ว่ามา” ฉินหร่านเปิดประตูข้างคนขับแล้วนั่งลงโดยตรง พูดจาสั้นกระชับ
หนิงฉิงนั่งอยู่ข้างหลัง กำลังถือกระจกทาลิปสติก เธอเชยตาขึ้น “คือว่า เรื่องเข้าเมืองที่คุยกับแกคราวก่อน…”
หนิงฉิงยังพูดไม่จบประโยค ฉินหร่านก็ปฏิเสธทันทีว่า “ไม่ไป”
“ทำไมล่ะ” มือของหนิงฉิงชะงัก เธอเก็บลิปสติก
ไม่ค่อยเข้าใจเลย โอกาสมากมายปานนั้น ฉินหร่านกลับปล่อยหน้าตาเฉย
นอกจากเรื่องสกุลเฟิง ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เธอปวดใจที่สุดก็คือเรื่องนี้
ลูกสาวของเธอทั้งสองคน ตอนนี้ฉินอวี่มีที่พึ่งพิงแล้ว หนิงฉิงก็หวังว่าฉินหร่านจะมีที่พึ่งพิงเช่นเดียวกัน
ฉินหร่านนิ่งไป นานกว่าจะพูดว่า “ในเมืองไม่มีอะไรดี”
คำตอบที่เรียกได้ว่าเกือบจะเหมือนของเฉินซูหลานเปี๊ยบ
“แกอยู่กับยายแกเยอะไป ถึงได้พูดเหมือนท่าน” หนิงฉิงกัดปาก ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจที่ทิ้งฉินหร่านไว้ให้เฉินซูหลานตอนนั้น ถึงได้เลี้ยงดูจนฉินหร่านมีนิสัยอย่างตอนนี้
ฉินหร่านเริ่มหมดความอดทนแล้ว เธอวางมือพาดบนประตูรถ
“แกลองว่ามา ในเมืองมีอะไรไม่ดี” หนิงฉิงมองฉินหร่านผ่านกระจกมองหลัง
“ไม่ดีก็คือไม่ดี” ฉินหร่านเปิดประตู หรี่ตาลงเล็กน้อย อากัปกิริยาดูหงุดหงิด “อย่ามาหาหนูอีก”
เธอลงจากรถจากไปทันที
…
กลางคืน ฉินหร่านหิ้วกระติกน้ำออกจากห้องพยาบาลอย่างเชื่องช้า
ใกล้จะเริ่มคาบเรียนด้วยตัวเองแล้ว พวกหลังห้องของห้องเก้ากำลังคุยอะไรกันอยู่ด้วยความตื่นเต้น
ฉินหร่านกระแอมไอกลับไปนั่งที่เก้าอี้ ไม่บ่อยที่จะเห็นเฉียวเซิงกับพวกสวีเหยากวงกำลังพูดคุยกันอยู่
ตามที่เฉียวเซิงเคยบอกไว้ เรื่องที่ทำให้สวีเหยากวงสนใจมีไม่มาก
ฉินหร่านหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากลิ้นชักใต้โต๊ะช้าๆ จากนั้นก็เปิดฝากระติก
“เจ๊หร่าน เธอรู้หรือเปล่า ห้องเรามีนักเรียนใหม่อีกแล้ว” พอเฉียวเซิงเห็นฉินหร่านก็รีบโบกมือให้เธอ สีหน้าตื่นเต้น “เธอรู้ไหมว่าเป็นใคร”