เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 128 ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้าแล้ว พ่อบ้านเฉิง

  พอได้ยินเสียง เฉิงเจวี้ยนก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงไร้อารมณ์ “รู้จัก?”

 

 

  เม็ดฝนใหญ่มาก หากมองฉินหร่านจากมุมนี้ ราวกับมีม่านกั้นอยู่

 

 

  ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า เขาเปิดประตูรถรู้สึกเหมือนหัวของตัวเองจะระเบิดแล้ว “ไม่รู้ แต่เหมือนหยางเฟยมาก”

 

 

  พูดจบ ลู่จ้าวอิ่งก็ลงจากรถ วิ่งเหยาะๆ ไปทางประตูใหญ่

 

 

  หยางเฟย?

 

 

  เฉิงเจวี้ยนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เพียงแค่หันหน้ามองไปทางสายฝน มือวางพาดตรงกระจกรถ เคาะอย่างสบายๆ เอนตัวพิงประตูรถ เชิ้ตสีดำถูกทับจนเกิดรอยย่นนิดหน่อย

 

 

  กระทั่งร่างสูงโปร่งหายไปจากสายตา เฉิงเจวี้ยนถึงได้ชักมือกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

  หน้าประตูโรงพยาบาล

 

 

  ตอนที่ลู่จ้าวอิ่งวิ่งเหยาะๆ ไปถึงตัวฉินหร่าน ชายร่างสูงข้างฉินหร่านก็กดปีกหมวด เดินฝ่าสายฝนไปแล้ว

 

 

  ยิ่งเข้าใกล้ ใบหน้าใต้ปีกหมวกก็ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

 

  รูปร่างหน้าตาของหยางเฟยมีเอกลักษณ์อย่างมาก หากอยู่ในวงการบันเทิงต้องเป็นดาราแถวหน้าที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งแน่

 

 

  ลู่จ้าวอิ่งกล้ายืนยันว่าคนที่สวมหมวกเบสบอลก็คือเทพพระอาทิตย์

 

 

  นักสู้ที่โด่งดังอย่างยิ่งอย่างเทพพระอาทิตย์ผุดขึ้นมาในสมองในพริบตา เขาเป็นคลื่นลูกใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาในทีม OST เมื่อสามปีก่อน

 

 

  ในระยะสามปีนี้ OST กวาดการแข่งโปรลีกของทั่วทุกมุมโลกอย่างบ้าคลั่ง ความสามารถเฉพาะตัวและพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ของเขาช่วยทีมไว้หลายต่อหลายครั้ง

 

 

  สามารถพูดได้ว่านักแข่งกับเกมเมอร์มืออาชีพหลายระดับมากมายต่างก็ศรัทธาในตัวเทพพระอาทิตย์

 

 

  ถ้าฆ่าเทพพระอาทิตย์ในอารีน่าได้ครั้งหนึ่ง ก็นับว่าควรค่าที่จะอวดบนหน้าจอของพวกเขาไปทั้งชีวิต

 

 

  “ฉินเสี่ยวหร่าน เธอรู้จักเทพพระอาทิตย์เหรอ” ลู่จ้าวอิ่งตามหยางเฟยไม่ทัน รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้าแล้ว จึงมองฉินหร่านนิ่งๆ

 

 

  ราวกับฉินหร่านกำลังคิดอะไรอยู่ คราวนี้เหมือนเพิ่งได้สติ หันหน้ามองอย่างเชื่องช้า “นายพูดถึงใคร”

 

 

  เลิกคิ้วดูแปลกใจมาก

 

 

  “หยางเฟยไง เทพพระอาทิตย์! คนที่อยู่ทีม OST!” ลู่จ้าวอิ่งพูดอย่างร้อนรน ถ้าไม่ใช่เพราะบนรถที่อยู่ไม่ไกลมีเฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่ ลู่จ้าวอิ่งคงจะยื่นมือไปเขย่าไหลฉินหร่านแล้ว “เธอไม่รู้จักแม้แต่หยางเฟยเหรอ!”

 

 

  ฉินหร่านตอบอืม จากนั้นช้อนตาขึ้น มือชี้ไปทางหยางเฟย เสียงเรียบเฉย “คนที่เพิ่งผ่านไปเมื่อกี้นี้ เขาคือเทพพระอาทิตย์ที่นายว่าเหรอ”

 

 

  ได้

 

 

  ลู่จ้าวอิ่งมองฉินหร่านอย่างตกตะลึง เสื้อผ้าของอีกฝ่ายเปียกชุ่ม เลิกคิ้ว สีหน้าเหมือนที่เคย เอื่อยเปื่อยเจือความเอาแต่ใจ

 

 

  นัยน์ตาดำสนิท ข้างในปราศจากความตื่นเต้นหรืออารมณ์ประเภทนั้น

 

 

  ลู่จ้าวอิ่งยอมแล้วอย่างสิ้นเชิง

 

 

  ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่า ฉินหร่านไม่ใช่แฟนคลับของหยางเฟยจริงๆ และไม่ใช่แฟนคลับของทีม OST ด้วย ถึงขั้นว่าไม่รู้จักหยางเฟยเลย

 

 

  ไม่อย่างนั้นจะนิ่งเฉยแบบนี้ได้อย่างไร

 

 

  “ถามทาง? เธอโชคดีจริงๆ ทำไมเขาไม่มาถามทางฉันล่ะ” ลู่จ้าวอิ่งบ่นอุบ ยืนมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของหยางเฟยอยู่ที่เดิมอีกครู่ใหญ่ จากนั้นหันมาหาฉินหร่าน “ไปกันเถอะ ท่านเจวี้ยนก็อยู่ในรถเหมือนกัน”                  

 

 

  ฉินหร่านไม่ได้พกร่ม ตอนแรกคิดจะเรียกแท็กซี ตอนนี้ลู่จ้าวอิ่งมาได้เวลาพอดี

 

 

  …                                                                            

 

 

  พอทั้งคู่วิ่งขึ้นรถ เนื้อตัวก็เปียกโชกแล้ว

 

 

  ลู่จ้าวอิ่งเพิ่มอุณหภูมิในรถนิดหน่อย

 

 

  เฉิงเจวี้ยนหยิบผ้าคลุมสีเข้มออกมาจากข้างหลัง ยื่นให้ฉินหร่านแล้วเอ่ยปากถามว่า “ยายเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว”

 

 

  ฉินหร่านฉวยผ้าคลุมมาห่มไว้ ขนราคาแพงชุ่มน้ำเสียแล้ว

 

 

  จบเห่

 

 

  ในกระจกมองหลัง ลู่จ้าวอิ่งมองฉากนี้ จากนั้นละสายตาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

  อีกคนกล้าหยิบ อีกคนก็กล้าใช้จริงๆ

 

 

  “ไม่ดีไม่แย่ ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน” ฉินหร่านเอนตัวพิงข้างหลัง เพียงแต่ว่าเหมือนความเย็นของร่างกายแผ่ซ่านเข้าไปถึงกระดูก เธอหันหน้าเบนสายตามองนอกหน้าต่าง

 

 

  รถแล่นไปตามถนน

 

 

  กระทั่งแล่นไปได้ครึ่งทาง ฉินหร่านถึงได้รู้ว่าทิศทางที่รถแล่นไปไม่ได้มุ่งหน้าไปทางโรงเรียน

 

 

  ยี่สิบนาทีต่อมา

 

 

  รถก็จอดตรงหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง

 

 

  ทำเลดีมาก ใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง และอาจเป็นเพราะฝนตก บรรยากาศรอบข้างไม่วุ่นวาย คฤหาสน์มีสวนดอกไม้ขนาดไม่เล็กอยู่

 

 

  เพิ่งจอดรถ ประตูไฟฟ้าของคฤหาสน์ก็เปิดเองอัตโนมัติ

 

 

  ชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีเทาคนหนึ่งเดินออกมา เขาถือร่มผ้าแพรสีดำคันหนึ่ง มืออีกข้างมีร่มผ้าแพร่สีดำที่ยังไม่ถูกกาง

 

 

  เขายื่นร่มผ้าแพรสีดำในมือที่ยังไม่ได้กางให้ลู่จ้าวอิ่งฝั่งที่นั่งคนขับตามปกติ ส่วนตัวเองเตรียมจะไปกางร่มให้เฉิงเจวี้ยนที่ลงมาจากประตูข้างหลัง

 

 

  แต่เท้าของเขายังไม่ทันได้ขยับ ลู่จ้าวอิ่งก็ยื่นร่มสีดำในมือให้เฉิงเจวี้ยนที่ลงจากรถ

 

 

  เฉิงเจวี้ยนยื่นมือไปกางออก เดินไปทางประตูอีกฝั่ง ดวงตาหลุบต่ำ ละอองฝนรอบข้างก่อตัวเป็นม่านหมอก เขาหยุดตรงข้างประตูรถ รูปร่างโปร่ง

 

 

  ไม่นานประตูอีกฝั่งก็ถูกเปิดออก ผู้หญิงที่คลุมตัวด้วยผ้าคลุมสีเข้มลวกๆ คนหนึ่งก้าวลงมา

 

 

  เพราะหันหลังให้ชายชรา จึงเห็นหน้าไม่ค่อยชัด เห็นแค่ใบหน้าด้านข้างที่ดูโดดเด่นและเยือกเย็น ตอนที่เธอก้มหัวก้าวลงจากประตูข้างหลัง

 

 

  ชายชราถือร่ม เชยตาขึ้นเล็กน้อย

 

 

  “พ่อบ้านเฉิง เราเข้าไปกันก่อนเถอะ” ลู่จ้าวอิ่งลูบแขน “หนาวจังเลย ฉันต้องไปอาบน้ำอุ่นสักหน่อย”

 

 

  เฉิงเจวี้ยนกับฉินหร่านเข้าบ้านไปก่อนแล้ว

 

 

  “เธอไปอาบน้ำก่อน ไม่งั้นจะป่วยได้ง่าย” เฉิงเจวี้ยนพาเธอตรงขึ้นไปห้องชั้นบน “พ่อบ้านเฉิงน่าจะเตรียมชุดคลุมอาบน้ำไว้ข้างในแล้ว ใหม่เอี่ยมหมด เสื้อผ้าเดี๋ยวฉันจะส่งมาให้”

 

 

  ฉินหร่านพยักหน้า มองการตกแต่งของห้อง เน้นสีเบจเป็นหลัก สไตล์คันทรี

 

 

  เมื่อครู่ฝนตกหนักเกินไป เสื้อผ้าแทบจะเปียกโชกหมดแล้ว เธอโยนผ้าคลุมลงบนชั้นวาง เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ

 

 

  มือถือในกระเป๋าดังขึ้นอีกแล้ว เป็นสายจากผู้บัญชาการเฉียน

 

 

  ฉินหร่านยังไม่ได้เปลื้องผ้า จึงกดรับสาย เปิดหูฟังบลูทูธและวางมือถือลงบนอ่างล้างหน้า ปรับอุณหภูมิของน้ำ เอ่ยปากสบายๆ ว่า “ผู้บัญชาการเฉียนเหรอ”

 

 

  “คุณหนูฉิน ทางนี้มีเรื่องนิดหน่อย อาจจะต้องให้คุณช่วยยืนยัน” ทางด้านผู้บัญชาการเฉียนจอดรถอยู่หน้าโรงเรียนอีจง นั่งพิงอยู่ตรงที่นั่งคนขับ “ผมอยู่หน้าโรงเรียนอีจง”

 

 

  “ฉันไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน” ฉินหร่านมัดผมขึ้น “เขตคฤหาสน์กลางเมือง”

 

 

  ตอนที่ผู้บัญชาการเฉียนคุยธุระกับลู่จ้าวอิ่ง เคยมาที่บ้านของเฉิงเจวี้ยน เขารู้ฉินหร่านหมายถึงที่ไหน “ได้ งั้นผมไปหาเอง”

 

 

  …

 

 

  ชั้นล่าง

 

 

  “พ่อบ้านเฉิง มีของส่งมาจากจิงเฉิงหรือเปล่า” เฉิงเจวี้ยนเดินลงมาจากชั้นบน ฝีเท้าสม่ำเสมอ

 

 

  พ่อบ้านเฉิงออกมาจากฝั่งห้องครัว เงยหน้าเล็กน้อย “ตอนเช้ามีเสื้อผ้าถุงหนึ่งมาถึงคลังแล้ว ผมจะไปเอาเดี๋ยวนี้ครับ”

 

 

  “ไม่ต้อง” เฉิงเจวี้ยนหันหลังขึ้นบันไดไป

 

 

  ใบหน้าเรียบเฉย

 

 

  พ่อบ้านเฉิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม           

 

 

  “พ่อบ้าน เลิกอึ้งได้แล้ว” ลู่จ้าวอิ่งอาบน้ำด้วยความเร็วระดับทหาร ไม่ถึงห้านาทีก็อาบเสร็จแล้ว เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำเดินอาดๆ ลงมา “คุณชายเฉิงของพวกคุณมาเจอกับฉินเสี่ยวหร่านของผม เรื่องขาดทุนเนี่ยคงจะขาดทุนไปหลายตังค์เลยล่ะ”

 

 

  พ่อบ้านเฉิงยิ้มแล้วถามว่า “คุณหนูฉินท่านนี้ เป็นญาติของคุณเหรอครับ”

 

 

  “ไม่ใช่หรอก เธอเป็นนักเรียนม.ปลายปีสามจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในอวิ๋นเฉิง เพิ่งย้ายมาที่โรงเรียนเหิงชวนอีจงช่วงนี้นี่เอง” ลู่จ้าวอิ่งรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง “หมู่บ้านที่เจียงตงเย่ถูกส่งตัวไปก่อนหน้านี้นั่นแหละ”

 

 

  พ่อบ้านเฉิงย่อมเคยได้ยินเรื่องที่ครอบครัวสกุลเจียงถูกเนรเทศยกตระกูล เขาพึมพำว่า “กันดารขนาดนั้นเชียว”

 

 

  “ไม่ได้กันดารอย่างเดียวนะ” ลู่จ้าวอิ่งพูดช้าๆ หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความเจ็บใจ “คุณรู้ไหม เธอไม่รู้จักเทพพระอาทิตย์ด้วยซ้ำ เมื่อก่อนเธอใช้ชีวิตตรากตรำขนาดไหนกันนะ”

 

 

  “จะพาเข้าจิงเฉิงวันหน้าเหรอครับ?” พ่อบ้านเฉิงถามเสียงเบาขึ้นมาอีก

 

 

  ลู่จ้าวอิ่งเอียงหัวแล้วยิ้ม “ไม่งั้นจะเป็นอะไรล่ะ”

 

 

  พ่อบ้านเฉิงคุยเรื่องเมนูของเย็นวันนี้กับพ่อครัวแล้วหลุบตาต่ำลง ทำท่าขบคิด

 

 

  งั้นก็ลำบากแล้ว

 

 

  ผู้หญิงคนนี้ไม่มีสกุลรุนชาติอะไร เกรงว่าเขาคงต้องเหนื่อยหนักหน่อย ตอนนี้เรียนมัธยมปลายปีสาม ต้องรีบอบรมสอนสั่งก่อนเธอจะไปจิงเฉิง

 

 

  ผู้คนมากมายในจิงเฉิงล้วนจับตามอง หากเธอพูดผิดไปคำเดียว ทำผิดพลาด ผลกระทบจะค่อนข้างรุนแรงเป็นพิเศษ

 

 

  ที่นั่นเป็นสถานที่ที่โหดเ**้ยมอำมหิต โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในตำแหน่งของสกุลเฉิง

 

 

  พ่อบ้านเฉิงคิดๆ แล้วก็ก้มหน้า ล้วงสมุดเล่มเล็กออกจากกระเป๋า เริ่มจดบันทึกอะไรบางอย่าง

 

 

  …                                                                                                                            

 

 

ชั้นบนเฉิงเจวี้ยนถือกล่องใบหนึ่ง จากนั้นเคาะประตูห้องฉินหร่าน เสียงเบาและอ่อนโยน “อาบเสร็จหรือยัง ฉันวางเสื้อผ้าไว้ข้างนอก…”

 

 

  ที่พักของเขาไม่เคยมีหญิงรับใช้ หญิงมีอายุก็ไม่มี เลยไม่ยอมให้คนอื่นส่งเสื้อผ้ามา

 

 

  ตอนแรกเฉิงเจวี้ยนคิดว่า จะวางเสื้อผ้าไว้ข้างนอก รอให้เธอออกมาเอาเอง

 

 

  แต่ว่าเขากำลังคิดว่าจะปล่อยมือ

 

 

  ประตูก็ถูกเปิดออกจากข้างใน

 

 

  ฉินหร่านสวมชุดคลุมอาบน้ำไว้หลวมๆ สายรัดก็ถูกมัดไว้ลวกๆ ขับให้เรือนร่างของเธอดูผอมบางยิ่งกว่าเดิม

 

 

  ชุดคลุมน่าจะเป็นของผู้ชาย เมื่ออยู่บนตัวเธอมันโคร่งนิดหน่อย ทำให้มองเห็นลำคอระหงผ่านสาบเสื้อ ขาวจนแยงตา

 

 

  มือเธอยังถือผ้าขนหนูผืนหนึ่ง กำลังเช็ดผมอยู่

 

 

  เพราะการเคลื่อนไหว ทำให้มองเห็นรอยสักสวยตรงหัวไหล่ของเธออยู่วับแวม

 

 

  เฉิงเจวี้ยนวางกล่องลง ก้าวถอยหลังอย่างสุภาพ “เสื้อผ้าอยู่ในนี้”

 

 

  “โอเค ขอบคุณนะ” ฉินหร่านวางผ้าขนหนูลง ถือโอกาสฉวยขึ้นมา

 

 

  เฉิงเจวี้ยนเบือนหน้าหนีเงียบๆ

 

 

  ฉินหร่านปิดประตูแล้วคุ้ยดูกล่องลัง

 

 

  ข้างในมีเสื้อผ้าหลายชุด เป็นของแต่ละฤดู และเป็นขนาดของเธออีกด้วย

 

 

  เธอค้นจนเจอคาร์ดิแกนสีดำตัวหนึ่งเลยถือโอกาสหยิบขึ้นมา                                                           …            

 

 

  ด้านนอก ลู่จ้าวอิ่งสวมชุดคลุมมือถือถ้วยชา เดินขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า เห็นเหตุการณ์ในห้องนอนแขกอยู่ใกล้ๆ จึงเอนตัวพิงราวบันไดที่ฉลุลายดอกไม้ขำๆ “ท่านเจวี้ยน ใช้ไม่ได้เลย”

 

 

  การหลบเลี่ยงอย่างสุภาพแสดงอารมณ์ หยุดตามสมควร[1]แบบนี้ ทำเอาลู่จ้าวอิ่งเดาะลิ้น “จะให้ฉันสอนนายหน่อยไหมคุณชายเฉิง”

 

 

  สีหน้าของเฉิงเจวี้ยนไม่มีการเปลี่ยนแปลง เขาเดินไปไม่กี่ก้าว

 

 

  นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยุดชะงัก หน้านิ่วคิ้วขมวด ราวกับไม่สบอารมณ์มาก “นายกลับไปแต่งตัวที่ห้องซะ”

 

 

  แต่งตัว แต่งตัวอะไร

 

 

  ลู่จ้าวอิ่งก้มลงมองชุดคลุมอาบน้ำของตัวเอง ปกติไม่ว่าจะอยู่ที่คฤหาสน์หรือในบ้านเขาก็แต่งตัวแบบนี้นี่นา

 

 

  “เรื่องมากจริงๆ” ลู่จ้าวอิ่งขยับชุดคลุมอาบน้ำแล้วครุ่นคิด สุดท้ายก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องตัวเอง

 

 

  …        

 

 

  ฉินหร่านแต่งตัวเสร็จ มองมือถือแวบหนึ่ง

 

 

  ด้านบนแสดงข้อความก่อนหน้านี้ของผู้บัญชาการเฉียน เขาจวนจะถึงแล้ว

 

 

  เมื่อเธอเป่าผมเสร็จ เดินมาถึงห้องโถงชั้นหนึ่ง พ่อบ้านเฉิงถึงได้เห็นรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคนนั้น

 

 

  เคยเห็นหญิงสาวตระกูลสูงศักดิ์ของจิงเฉิงมานักต่อนัก คนเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทาง ไม่มีคนไหนที่ไม่เพียบพร้อม

 

 

  แต่แม้จะเป็นแบบนี้ ตอนที่พ่อบ้านเฉิงเห็นฉินหร่าน ก็ตกตะลึงเช่นกัน

 

 

  อีกฝ่ายไม่เหมือนหญิงลูกผู้ดีที่เขาเคยเห็น

 

 

  เธอก้มหน้าก้มตา สามารถมองเห็นความงามประณีตแต่กำเนิด ดูมีความเป็นตัวเองไม่แยแสใครจนอดเหลียวมองไม่ได้ ความเป็นตัวเองจากข้างในและความผ่อนคลายของหนุ่มสาวนั้นปิดไม่มิด นี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ละสายตาไปไม่ได้

 

 

  พ่อบ้านเฉิงคิดว่า เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งนักที่จะถูกผู้หญิงแบบนี้ดึงดูด

 

 

  “คุณหนูฉิน มีอะไรที่อยากดื่มหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงของพ่อบ้านเฉิงเชื่องช้า ท่าทีนอบน้อมและจริงจัง

 

 

  ฉินหร่านนั่งอยู่บนโซฟา รอผู้บัญชาการเฉียนมาหา “ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ”

 

 

  พ่อบ้านเฉิงรินชาที่เฉิงเจวี้ยนดื่มประจำให้เธอแล้วถามว่า “ครอบครัวคุณหนูฉินมีใครอีกบ้าง”

 

 

  “คุณยาย” ฉินหร่านมองมือถือแวบหนึ่ง ฉางหนิงเพิ่งส่งข้อความมาเมื่อครู่ ถามว่าเธอตัดสินใจได้แล้วหรือยัง

 

 

  จากนั้น พ่อบ้านเฉิงก็ทยอยถามเธออีกหลายคำถาม

 

 

  ระหว่างนี้ พ่อบ้านเฉิงรู้สึกพออกพอใจกับรูปลักษณ์ของฉินหร่านขึ้นมา

 

 

  ทั้งสองคุยกันได้ไม่นาน ผู้บัญชาการเฉียนกับพวกเฉิงมู่ก็เข้ามา

 

 

  “พ่อบ้านเฉิง” เฉิงมู่ขานเรียกอย่างนอบน้อม                                                                    

 

 

  พ่อบ้านเฉิงพยักหน้า เขาลุกขึ้น อากัปกิริยายังคงนบนอบเช่นเดิม “คุณเฉียน ฉันจะขึ้นไปเรียกคุณชายลู่ พวกคุณรอสักครู่”

 

 

  ก่อนผู้บัญชาการเฉียนจะมา พ่อบ้านก็รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยอาชญากรรม ผู้บัญชาการห่าวกับพวกลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ต่างก็เคารพผู้บัญชาการเฉียนมาก

 

 

  พ่อบ้านเฉิงขึ้นไปเรียกลู่จ้าวอิ่งลงมา

 

 

  ผู้บัญชาการเฉียนไม่ได้สังเกต เขายื่นโน้ตบุ๊กให้ฉินหร่านโดยตรง เนื้อตัวมีละอองฝน “คุณลองดูสิ”

 

 

  ฉินหร่านเปิดโน้ตบุ๊ก เห็นหน้าจอที่ค้างไว้ในแวบเดียว

 

 

  เฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวเข้ามารุมล้อม

 

 

  พ่อบ้านเฉิงพาลู่จ้าวอิ่งลงมา พอเห็นคนอื่นยืนล้อมฉินหร่านก็โพล่งถามว่า “พวกเขากำลังทำอะไรน่ะ”

 

 

  “ให้ฉินหร่านช่วยวิเคราะห์ข้อมูลละมั้ง ครั้งนี้คิดว่าน่าจะยากมากทีเดียว” ลู่จ้าวอิ่งขมวดคิ้ว

 

 

  “คุณหนูฉินเป็นนักเรียนไม่ใช่เหรอ” พ่อบ้านเฉิงชะงัก

 

 

  “เป็นแค่นักเรียน ได้ยินว่าตาของเธอทำงานด้านนี้ เธอย่อมเคยเรียนรู้การเขียนโปรแกรมเครือข่าย” ลู่จ้าวอิ่งก้าวลงจากบันได

 

 

  ฝีเท้าของพ่อบ้านเฉิงหยุดชะงัก เสียงก็สูงขึ้นเล็กน้อย “เรียนเองเหรอ ทำไมไม่ให้เฉิงหั่วมาที่อวิ๋นเฉิงล่ะ ให้นักเรียนม.ปลายเข้ามายุ่งเรื่องแบบนี้ เกิดผิดพลาดขึ้นมาจะทำยังไง”  

 

 

 

 

 

 

[1] แสดงอารมณ์ หยุดตามสมควร เป็นคำสอนของขงจื๊อ หมายถึง ระหว่างชายหญิงควรแสดงออกให้พอเหมาะ ไม่ควรเกินขอบเขต

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset