เป็นนามแฝงที่สั้นกระชับ
ลู่จ้าวอิ่งจ้องหน้านี้อยู่นานสองนาน แต่ความเป็นส่วนตัวของคนอื่นเขาก็มีมารยาทพอไม่ค้นดู แต่ตอนที่ฉินหร่านออกมา ก็ถามด้วยความสงสัย “ฉินเสี่ยวหร่าน เพื่อนเธอเหรอ”
คลุกคลีกับฉินหร่านมานานขนาดนี้ ลู่จ้าวอิ่งก็นับว่าเข้าใจฉินหร่าน จะถูกเธอเรียกว่าเพื่อน ไม่ค่อยง่ายนัก
ฉินหร่านออกจากห้องมารับมือถือไป มองครู่หนึ่ง อารมณ์บนใบหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง “ใช่ล่ะมั้ง”
เธอหยิบออกไปรับข้างนอก
สีหน้าของเธอเรียบเฉยแบบนั้น ลู่จ้าวอิ่งจึงไม่ได้ซักไซ้อะไร งั้นคงจะเป็นคนที่ไม่ค่อยสำคัญมาก
ลู่จ้าวอิ่งกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง หยิบมือขึ้นเปิดดูในกลุ่ม
เจียงตงเย่ ‘ส่งรูป หมดอาลัยตายอยาก’
เจียงตงเย่ ‘@เฉิงเจวี้ยน พูดอะไรหน่อยสิ’
พอลู่จ้าวอิ่งอ่าน ก็รู้แล้วว่าเจียงตงเย่ประสบพบเจอกับอุปสรรคระหว่างที่ตามหากู้ซีฉืออีกแล้ว
เขายกขาขึ้นวางพาดข้างๆ หัวเราะในลำคอ “ท่านเจวี้ยน คุณชายเจียงกำลังเรียกหานายอยู่แน่ะ”
เฉิงเจวี้ยนอยู่ในห้อง ยังคงวุ่นวายกับหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ของตัวเองอยู่อย่างสบายๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “กู้ซีฉือ?”
“บิงโก!” ลู่จ้าวอิ่งดีดนิ้วเสียงดัง “เจอทางตันแล้ว!”
เฉิงเจวี้ยนวางมีดผ่าตัดมุมหนึ่ง เสียงยังคงไม่ยี่หระ ยกมือขึ้นจรดตรงริมฝีปากแล้วกระแอม “หาฉันก็ไม่มีประโยชน์ ฉันเป็นแค่หมอคนหนึ่ง จะช่วยอะไรเขาได้”
ลู่จ้าวอิ่ง “…”
เฉิงเจวี้ยนกำลังสำรวจหุ่นจำลองร่างมนุษย์ของตัวเองช้าๆ ไม่สนใจลู่จ้าวอิ่ง
มือถือในกระเป๋าดังขึ้น เขาคลำหาแล้วล้วงออกมารับสาย
“คุณพ่อ”
“แซยิดของเหล่าเจียงคือสิ้นเดือนนี้นี่แหละ ถึงตอนนั้นแกจะกลับมาหรือเปล่า” เสียงของปลายสายฟังดูมีพลัง
เฉิงเจวี้ยนยืนพิงโต๊ะ มองจากด้านข้างขาสองข้างเรียวยาวมาก “ค่อยว่ากันตอนนั้นอีกที”
ท่านเฉิงไม่เคยบังคับอะไรลูกชายคนสุดท้ายคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ได้”
ณ จิงเฉิง
หลังวางสายแล้ว
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในห้องอดพูดกับท่านเฉิงไม่ได้ว่า “พ่อ พ่อตามใจน้องสามเกินไปหรือเปล่า ตลอดหลายปีมานี้ พ่อดูสิว่าเขาทำอะไรที่ได้เรื่องบ้าง อยู่ในกองทัพดีๆ ไม่ได้ อยู่สถาบันวิจัยได้ครึ่งเดือนก็ออกมาแล้ว ที่บ้านให้ทุนเปิดบริษัทให้เขา ไม่ถึงหนึ่งปี บริษัทของเขาถ้าไม่ได้น้องรองคอยช่วยดูแล คงจะเจ๊งไปนานแล้ว”
“วัยรุ่นใจร้อน ปกติมาก” ท่านเฉิงยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ ผมของเขาขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยร่องลึก แต่กลับกระฉับกระเฉง
ชายวัยกลางคนอ้าปากค้าง มองท่านเฉิง
ชายชราคนนี้เข้มงวดกวดขันมาเกือบครึ่งชีวิต เพิ่งมาลดมาตรฐานลงตอนที่เจอลูกชายคนเล็กของตัวเอง ตามใจจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีขีดจำกัด
ตอนนี้ในจิงเฉิงมีใครบ้างที่ไม่รู้จักท่านเจวี้ยนแห่งสกุลเฉิง คนที่ไม่มีใครในจิงเฉิงกล้าท้าทาย
ทรงอำนาจยิ่งกว่าทุกคนในสกุลเฉิง
…
ในเวลาเดียวกัน
ณ สกุลหลิน
“ซินหราน เพื่อนใหม่กับโรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้าง” หลินฉีคีบอาหารแล้วถาม
เมิ่งซินหรานคีบอาหาร น้ำเสียงราบเรียบ “พอใช้ได้ แต่นักเรียนในเหิงชวนอีจงมักจะชอบเอะอะ”
คนพวกนี้เอะอะก็ถามเรื่องภายในของ OST ไม่ก็ถามเรื่องของอวิ๋นกวงกรุ๊ป แต่ละคนทำท่าเหมือนไม่เคยท่องโลกกว้างมาก่อน
“หลานเป็นคนดัง พวกเขาถามหลานเป็นเรื่องธรรมดามากไม่ใช่เหรอ” หลินฉียิ้มอีกแล้ว “เมืองเล็กๆ แบบนี้สู้จิงเฉิงของหลานได้ที่ไหน”
ผู้นำตำแหน่งใหญ่สุดที่เคยเจอก็มีแค่เฟิงโหลวเฉิงในข่าว
หนิงฉิงนั่งกินข้าวอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ เธออยากรู้ว่าทำไมเมิ่งซินหรานถึงเป็นคนดัง แต่ก็ไม่ได้ถาม
“เธออยู่ห้องเก้าใช่ไหม ฉันจำได้ว่าหรานหร่านก็อยู่ห้องเก้าเหมือนกัน เคยเจอกันหรือเปล่า” หลินจิ่นเซวียนหยิบตะเกียบขึ้น คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับเมิ่งซินหราน
“หรานหร่านคือใคร” เมิ่งซินหรานเงยหน้าขึ้น
“ฉินหร่านเป็นพี่สาวของอวี่เอ่อร์ อยู่ห้องเก้าเหมือนกัน” หลินฉีดันกรอบแว่นสีทอง น้ำเสียงอ่อนโยน
เมิ่งซินเคยได้ยินชื่อฉินอวี่ แต่กับฉินหร่าน เมื่อก่อนเมิ่งซินหรานไม่เคยได้ยินจากปากของคนสกุลหลินเลย
ตอนนี้เมื่อหลินฉีกับหลินจิ่นเซวียนพูดแบบนี้ เธอถึงได้โยงฉินหร่านกับสกุลหลินเข้าด้วยกัน
ฉินหร่านค่อนข้างทำให้เธอฝังใจนิดหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่ได้โยงรูปร่างท่าทางของฉินหร่านกับหนิงฉิง
“เคยได้ยิน” เมิ่งซินหรานตอบเสียงเรียบ “แต่ไม่เคยคุยกัน”
หลังมื้อค่ำ
ป้าจางยกนมไปให้เมิ่งซินหรานชั้นบน กิริยาท่าทางนอบน้อมและสุภาพ
“ป้าจาง ทำไมฉันไม่เคยเห็นฉินหร่านในบ้านล่ะ เธอเป็นพี่สาวของฉินอวี่ไม่ใช่เหรอ” เมิ่งซินหรานรับนมมา แต่ไม่ได้ดื่มทันที
“เธอไม่ได้อยู่ในบ้านนี้” พอพูดถึงฉินหร่าน ป้าจางก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยอยากพูดถึงมากนัก
คิดว่าผู้หญิงที่เย็นชามากคนนั้นเป็นใครเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่า จะเป็นแค่พี่สาวของฉินอวี่ ไม่ได้เป็นแม้แต่ลูกเลี้ยงของสกุลหลินด้วยซ้ำ
เมิ่งซินหรานเห็นป้าจางดูท่าทีไม่สบอารมณ์ ก็พยักหน้าบ่งบอกว่ารู้แล้ว ไม่ถามอะไรอีก
ป้าจางลงบันไดมา
เจอหนิงฉิงกำลังถือมือถืออย่างเหม่อลอยตรงทางเลี้ยว
“ป้าจาง” หนิงฉิงลดมือถือลง ลงจากบันไดมาพร้อมกับป้าจาง ระหว่างทางแอบเลียบๆ เคียงๆ ถามอยู่หลายประโยค
“คุณหนูเป็นสมาชิกทีม OST ซึ่งก็คือเกมเมอร์มืออาชีพของเกมท่องยุทธภพ มีผู้ติดตามในเวยป๋อล้านกว่าคน โด่งดังในโลกอินเทอร์เน็ตมาก” ป้าจางพูดช้าๆ
หนิงฉิงไม่รู้ว่าทีม OST คืออะไร ตอนที่ได้ยินเกมเมอร์มืออาชีพ เธอไม่ค่อยใส่ใจมากนัก ก็แค่คนเล่นเกมออนไลน์คนหนึ่ง
แต่ตอนที่ได้ยินป้าจางบอกว่ามีผู้ติดตามในเวยป๋อล้านกว่าคน หนิงฉิงก็อ้าปากค้าง สะดุ้งโหยง “ผู้ติดตามล้านกว่าคน?”
เยอะขนาดนี้เชียว
พอป้าจางเห็นท่าทางของหนิงฉิง ก็รู้ว่าเธอดูถูกการเล่นเกม
เม้มปากแล้วยิ้ม “คุณนาย คุณอาจจะไม่รู้ ทีม OST เป็นของอวิ๋นกวงกรุ๊ป ทุกคนในทีมจะได้เป็นสมาชิกของอวิ๋นกวงกรุ๊ปในวันหน้า”
ได้ยินคำว่าอวิ๋นกวงกรุ๊ปอีกแล้ว หนิงฉิงแค่ยิ้มๆ ตอบอะไรไม่ได้เลย
มันเป็นความรู้สึกที่หมดสิ้นเรี่ยวแรง
เธอรู้ดีว่า ไม่ว่าตัวเองจะปีนป่ายในแวดวงนี้มากแค่ไหน สิ่งที่เห็นก็เป็นแค่เศษเสี้ยวของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
เธอหยิบมือถือขึ้นมา กลับไปโทรศัพท์หาฉินอวี่ที่ห้อง
…
วันศุกร์
ฉินหร่านมาแต่เช้า เธอนอนฟุบกับโต๊ะ
มีคนรายล้อมรอบโต๊ะเมิ่งซินหรานอีกแล้ว
“เมิ่งซินหรานคนนั้นน่ะ ฉันเข้าไปดูเวยป๋อของเธอ มีคนติดตามถึงล้านกว่าคนแน่ะ” ผู้ชายที่นั่งอยู่หน้าฉินหร่านหันมา ยื่นหน้าเวยป๋อที่เสิร์ชเจอให้ทั้งสองคนดู
แต่เห็นแค่ท้ายทอยของฉินหร่าน
ฉินหร่านฟุบอยู่บนโต๊ะ
มียูนิฟอร์มรองอยู่ใต้มือ ดูเหมือนกำลังหลับ
แม้จะฟุบอยู่ ก็ดูแตะต้องไม่ได้อยู่ดี
หลินซือหรานมองผู้ชายคนนั้นแวบหนึ่ง กดเสียงต่ำลง “อย่ารบกวนเธอ”
“เมิ่งซินหรานคนนี้บ้านรวยมาก นาฬิกาเรือนนั้น ราคาล้านกว่าบาท” ผู้ชายอีกคนลดเสียงลง หันหน้ามาคุยกับพวกหลินซือหราน “ด่านฝ่าวิกฤตของฉันผ่านมาได้เพราะการนำเกมของเธอ เล่นเกมก็เก่ง หน้าตาก็สวย แถมยังรวยด้วย ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว”
คนในห้องชอบดูเมิ่งซินหรานเล่นเกมมาก ค่า APM ของเธอสูง การเล่นถึงพริกถึงขิง ทักษะก็ดี ตอนนำทีมก็จี้ตรงเป้าในคำเดียว
เธอช่วยคนเล่นเกมทุกวัน มีคนไม่น้อยเลยที่สร้างสถิติ
หมดคาบเรียนคาบที่สองของช่วงเช้าแล้ว
แต่ละคาบพักยี่สิบนาที
เฉียวเซิงเห็นฉินหร่านลุกขึ้นจากโต๊ะ จึงเดินมาหาฉินหร่าน เท้าคางกับโต๊ะของเธอแล้วถามว่า “เจ๊หร่าน เมิ่งซินหรานมีบัตรภายใน พรุ่งนี้เธอจะไปดูการแข่งขันกับพวกเราไหม”
ฉินหร่านหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา พลิกหน้าหนึ่งแล้วเลิกคิ้ว “ไม่ไป”
เหอเหวินถือมือถืออยู่หลังเฉียวเซิง ฟังเสียงน่าจะกำลังเล่นเกมอยู่ “อ๊ากกก ฉันตายแล้ว จะตายแล้ว ไม่อยากแพ้การแข่งขันไต่แรงก์หรอกนะ!”
วุ่นวายน่ารำคาญ ปวดหัว
ฉินหร่านจำเขาได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอถูกหลี่อ้ายหรงปฏิเสธไม่ให้เข้าห้อง เขาเป็นคนแรกที่ตามเฉียวเซิงออกมา
“เอามานี่” ฉินหร่านเอนตัวพิงผนัง จากนั้นบีบนวดข้อมือ บอกเหอเหวินให้ยื่นมือถือมา
“เจ๊หร่าน เธอจะทำอะไร” เหอเหวินเจียดเวลามองฉินหร่านแวบหนึ่ง
ฉินหร่านมองหน้าจอในมือถือของเขา “ช่วยไต่แรงก์”
“ไม่เอา เจ๊หร่านอย่ามาล้อกันเล่น ฉันไปหาคุณหนูเมิ่งดีกว่า” เหอเหวินรีบเอ่ยปาก “เจ๊หร่านอย่ารบกวนฉันเลย ตอนนี้เวลาของฉันกระชั้นชิดมาก ถ้าตัวละครจู่โจมตัวนี้ตายก็จบเห่แล้ว”
เหอเหวินพูดจบ ก็หันหลังไปหาเมิ่งซินหราน
ฉินหร่านลูบจมูกป้อยๆ จากนั้นก็อ่านหนังสือต่ออย่างเอื่อยเฉื่อย เอาเถอะ
…
ช่วงเที่ยง หลังกินข้าวช่วงพักเที่ยงเสร็จ
ปกติแล้วฉินหร่านจะไม่เข้าคาบเรียนด้วยตัวเองตอนบ่าย คนห้องเก้ารู้ดี
หลังเมิ่งซินหรานกินข้าวเสร็จ ก็หยิบกระเป๋าออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะ อยากหยิบบัตรเข้าชมออกมา
มีคนรายล้อมอีกแล้ว “คุณเมิ่ง ถึงจะไม่มีบัตร ก็ให้พวกเราได้ชื่นชมกันหน่อย!”
เมิ่งซินหรานรูดซิปแล้วคลำหา
ไม่เจอบัตร
สีหน้าเรียบเฉยของเมิ่งซินหรานเปลี่ยนไปทันที เธอเทของในกระเป๋าลงบนโต๊ะ
มีแค่สารพัดของกับลิปสติกที่ราคาสูงลิ่วกองหนึ่ง อย่าว่าแต่ตั๋วหลายใบเลย แม้แต่ใบเดียวก็ไม่เห็น
คนรอบๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เมิ่งซินหรานกำมือแน่น ใบหน้าบูดบึ้ง “ตอนเที่ยงใครมาที่ห้องคนแรก”
คนอื่นๆ ที่มุงดูมองหน้ากัน รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป
“คุณเมิ่ง…”
ตั๋วของเมิ่งซินหรานหายไปแล้ว
“ตอนเที่ยงฉันกับกรรมการนักเรียนมาถึงก่อน พวกเราสองคนไม่ได้เอาไป” นักเรียนสองคนอธิบาย
เมิ่งซินหรานไม่รู้ว่านึกอะไร
เธอย่างสามขุมไปที่โต๊ะของฉินหร่าน
มาอยู่ห้องนี้ตั้งนานแล้ว เธอก็รู้ดีว่าฉินหร่านจะออกไปคนสุดท้ายทุกครั้ง
สีหน้าของเธอเยือกเย็น นัยน์ตาฉายความเย็นเยือก ไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ ยื่นมือออกไปผลักโต๊ะฉินหร่านจนล้ม
พรึ่บ…
หนังสือบนโต๊ะ นิยายกับวรรณกรรมภาษาอังกฤษในลิ้นชักใต้โต๊ะร่วงลงบนพื้นทั้งหมด
คนทั้งห้องเงียบกริบ
เซี่ยเฟยรีบเอ่ยปากว่า “อย่าแตะต้องของของเจ๊หร่าน เธอไม่มีทาง…”
เมิ่งซินหรานไม่พูดอะไร ขี้เกียจแม้แต่จะใช้มือด้วยซ้ำ ใช้แค่เท้าเหยียบย่ำของบนพื้น
เบามาก…ตั๋วใบหนึ่งหล่นลงมาจากวรรณกรรมภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง