มาห้องเก้าได้สองเดือนกว่าแล้ว บางคนเห็นเธอเป็นเพื่อนแล้วจริงๆ
ฉินหร่านไม่เคยขี้เหนียวกับเพื่อนฝูงเลย
พวกเฉียวเซิงคิดจนหัวแทบระเบิด อยากเข้าไปดูการแข่งขันครั้งนี้
และบัตรพวกนี้ เป็นแค่เรื่องเพียงเอ่ยปากสำหรับฉินหร่าน
นอกจากบัตรปึกที่ให้เฉียวเซิงแล้ว เธอยังเก็บบัตรวีไอพีของงานแฟนมีตติ้งให้ลู่จ้าวอิ่งด้วยหนึ่งใบ
สีหน้าของผู้ชายสามคนที่ช่วยเมิ่งซินหรานขนของค่อยๆ จางหายไป
นักเรียนห้องเก้าที่เห็นของบนโต๊ะชัดเจนแล้วว่าคืออะไร ก็ไม่มีใครปริปากเลยเช่นกัน
หลายวันมานี้ ต่างก็วนเวียนอยู่กับเรื่องบัตรเข้าชมการแข่งขัน บัตรมีจำกัดอย่างมาก และมีเฉพาะในแฟนคลับตัวยงพวกนั้น มีจำกัดแค่คนละหนึ่งใบ
บัตรที่อยู่ในมือเมิ่งซินหรานถึงได้สร้างความฮือฮากันวุ่นวายใหญ่โตในโรงเรียน
สามารถเห็นได้จากการที่เฉียวเซิงแทบจะทำทุกอย่างให้เมิ่งซินหรานเพื่อบัตรพวกนี้
และนั่นเป็นแค่บัตรสี่ใบเท่านั้น
ตอนนี้ หนึ่งปึก?
เฉียวเซิงก็ตะลึงงันแล้วเช่นกัน เขาเก็บรวบรวมบัตรที่กระจัดกระจายอย่างระมัดระวัง เมื่ออยู่ซ้อนกัน ก็น่ามองยิ่งกว่าเดิม
“สุดยอด!” เหอเหวินสะดุ้งโหยง
เฉียวเซิงสัมผัสถึงความหนา ก็ตกใจเหมือนกัน เขาพลิกดูทีละใบแล้ว ล้วนเป็นบัตรเข้าชมการแสดงของ OST ที่มีรอบแตกต่างกัน ถึงขั้นว่ามีบัตรวีไอพีของงานแฟนมีตติ้งด้วยซ้ำ มีทั้งหมดหนึ่งปึก!
หากว่าเป็นบัตรอย่างอื่น ทุกคนในเหตุการณ์จะไม่แสดงปฏิกิริยาใหญ่โตขนาดนี้
แต่ตลอดหลายวันมานี้ บัตรสี่ใบในมือของเมิ่งซินหรานไปถึงจุดพีคแล้ว เมิ่งซินหรานเองก็ภูมิใจกับบัตรในมือตัวเองมาก
แต่ทว่าตอนนี้ในมือเฉียวเซิงมีเป็นปึก ไม่สามารถเทียบกันได้เลย
ทุกคนเผลอหันไปมองฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่มองมา ฉินหร่านก็ขมวดคิ้ว พูดออกไปว่า “บัตรเข้าชมการแข่งขันสามรอบกับบัตรแฟนมีตติ้งของพวกเขา น่าจะมีอย่างละเจ็ดแปดใบละมั้ง ไม่เคยนับ”
เฉียวเซิงมึนงง เขาก้มหน้ามองบัตรเข้างานในมือ “เจ็ด เจ็ดแปดใบ?”
อย่างละเจ็ดแปดใบงั้นเหรอ
“เพราะว่าบอกช้าไป บัตรเลยเหลือไม่เยอะ” ฉินหร่านหยิบหูฟังขึ้นแล้วสวมให้ตัวเองช้าๆ พูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจว่า “ไม่รู้ว่าจะพอแบ่งหรือเปล่า”
คนอื่นๆ มองบัตรเข้างานปึกหนึ่งในมือเฉียวเซิง ต่างก็พูดไม่ออกกับคำว่า ‘ไม่เยอะ’ ของฉินหร่าน
ความอวดดีบนใบหน้าของนักเรียนห้องหนึ่งทั้งสามคนหายไปจนหมดสิ้น
อวดคนอื่น จะอวดอย่างไรได้อีก
คนเขามีเป็นปึก!
มีแม้กระทั่งบัตรวีไอพีงานแฟนมีตติ้งด้วยซ้ำ!
หน้าม่อยคอตกกลับห้องหนึ่ง
พอเมิ่งซินหรานกับคนพวกนั้นออกไปกันหมดแล้ว คนห้องเก้าก็เป็นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเข็มทิ่มจนแตก
“เฉียวเซิง ให้ฉันได้ชื่นชมบัตรเข้างานหน่อย!”
“เฉียวเซิง ตั้งแต่วันนี้ไป นายก็คือพ่อที่แยกจากกันหลายปีของฉัน!”
“พวกนายนี่มันเลียเก่งจริงๆ ยอมทำทุกอย่างเพื่อตั๋วใบเดียว พี่ชาย พี่ยังจำน้องชายที่เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตั้งแต่เด็กได้หรือเปล่า”
“…”
เฉียวเซิงรีบยกมือขึ้นปราม “เอาอย่างนี้ นอกจากของพวกเราสี่คนแล้ว ก็เหลืออย่างละสามใบ เอาไปคนละใบ ตกลงไหม”
“พ่อ!”
“ใบเดียวก็พอแล้ว ใบเดียวก็พอแล้ว!”
ในห้องมีแฟนคลับของ OST เยอะมาก คนที่อยากได้บัตรก็มีเยอะเช่นกัน เหลือบัตรอีกสิบหกใบ ไม่พอแบ่ง เฉียวเซิงเลยให้พวกเขาเป่ายิ้งฉุบกัน
ฝั่งเขาครึกครื้นมากทีเดียว ส่วนทางฝั่งฉินหร่านกลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
เธอสวมหูฟัง กำลังก้มหน้าคัดลายมืออย่างเชื่องช้า ใบหน้าด้านข้างดูหงุดหงิดไม่หยอก
คนที่ได้บัตรต่างก็โห่ร้อง แต่เฉียวเซิงกลับยกมือขึ้นเป็นเชิงให้พวกเขาเงียบก่อน จากนั้นบุ้ยใบ้ไปทางฉินหร่าน
เสียงเอะอะหายไปในพริบตา ทุกคนต่างก็รูดซิปปากตัวเอง หลังประเด็นร้อนของบัตรผ่านไป ทุกคนก็มองไปทางฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว
ฉินหร่านเปลี่ยนท่าด้วยสีหน้าเย็นเยือกเป็นอย่างมาก
ทุกคนพากันเบนสายตาทันที
“เมื่อกี้พวกนายเห็นหน้าของสามคนที่ห้องหนึ่งหรือเปล่า” ฝั่งที่นั่งของเฉียวเซิง พวกเหอเหวินกำลังเลียนแบบผู้ชายที่ตั้งใจมาอวดสามคนนั้น “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นสีหน้าของคนเปลี่ยนเร็วขนาดนี้”
หลังพูดเรื่องพวกนี้เสร็จ ก็เงียบไปอีกครั้ง
“อะแฮ่ม” สุดท้าย ก็เป็นเหอเหวินที่ทำลายความเงียบก่อนอยู่ดี เขามองไปทางฉินหร่านทีหนึ่ง “พวกนายว่าเจ๊หร่านไปเอาบัตรมาจากไหนกัน ขนาดเมิ่งซินหรานยังมีแค่สี่ใบ”
และนี่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เมิ่งซินหรานเป็นตัวสำรองของ OST และเคยร่วมการแข่งขันครั้งหนึ่ง
คนอื่นไม่พูดอะไร
สวีเหยากวงช้อนตาขึ้น เขามองฉินหร่านพลางทำหน้าครุ่นคิด ดวงตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อย “เธอไม่มีทางเอามาได้หรอก คงจะมีคนเอามาให้เธอแน่ๆ”
เฉียวเซิงรู้ว่าสวีเหยากวงต้องนึกถึงคนที่ห้องพยาบาลแน่นอน
ขณะที่คิดเขาก็อดก้มลงมองไม่ได้
เลขที่นั่งคือ สนามด้านใน โซน A เป็นที่นั่งเรียงกันตรงแถวที่สอง
เฉียวเซิงเคยเห็นบัตรเข้างานที่ลู่จ้าวอิ่งให้ฉินหร่าน มันเป็นแถวห้า
ไม่รู้เพราะอะไร เขามีลางสังหรณ์ว่าคนที่ห้องพยาบาลไม่ได้เป็นคนให้บัตรพวกนี้กับฉินหร่าน
หากว่าไม่ใช่…แล้วฉินหร่านไปเอาบัตรพวกนี้มาจากไหนล่ะ
…
คืนนี้คนในห้องเก้าแทบจะไม่ค่อยตั้งใจเรียนกันเลย
คนที่นิ่งเฉยที่สุดในห้อง นอกจากฉินหร่านแล้ว ก็คือหลินซือหรานที่ตื่นตาตื่นใจกับอัลบัมกองหนึ่งของเหยียนซีเสร็จแล้ว
เธอหยิบโจทย์ชุดหนึ่งออกมาทำอย่างใจเย็น
พอหมดคาบเรียนด้วยตัวเอง ถึงได้เงยหน้ามองฉินหร่าน
ฉินหร่านยังคงใส่หูฟังเช่นเดิม ในมือถือปากกาหมึกซึมแท่งหนึ่ง กำลังคัดลายมืออย่างเอื่อยเฉื่อย
ปากกาหมึกซึมแท่งนั้นเป็นสีดำ รูปลักษณ์สวย บนปลอกปากกามีคริสทัลที่ลักษณะคล้ายจี้เพชรประดับอยู่ชิ้นหนึ่ง
ดูแล้วให้อารมณ์ลึกลับบางอย่าง
เซี่ยเฟยที่มารอทั้งคู่รู้สึกว่าสวยมากทีเดียว “เจ๊หร่าน ปากกาแท่งนี้ซื้อที่ไหนเหรอ ฉันก็อยากได้เหมือนกัน”
เธอไม่มีความชอบอะไร แต่ชอบสะสมปากกา สมุด ยางลบสวยๆ แม้แต่ปากกาที่หมึกหมดแล้วหากสวยเธอก็ทำใจทิ้งไม่ลง
คนในห้องทยอยกลับหอพักแล้ว
ฉินหร่านเอาหูฟังออก พอได้ยินคำพูดของเซี่ยเฟย เธอก็ก้มหน้ามองปากกา หมุนดูรอบหนึ่ง หายี่ห้อไม่เจอ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน คนอื่นให้มา เธอถ่ายรูป แล้วไปลองหาดูในอินเทอร์เน็ตสิ”
เธอยื่นปากกาหมึกซึมให้เซี่ยเฟย
จากนั้นก็ถือโอกาสเก็บสมุดคัดลายมือใส่ลิ้นชักใต้โต๊ะ
หลินซือหรานเหลือบมองแวบหนึ่ง พบว่าสมุดคัดลายมือนั่นไม่มีหน้าปก
เซี่ยเฟยพลิกดูปากกา แต่ก็หาโลโก้ไม่เจอ แค่จับมือสัมผัสก็ดีกว่าแล้ว ประณีตกะทัดรัด เธอรีบหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปมุมสูง
เฉียวเซิงยังรอฉินหร่านอยู่หน้าประตู เห็นผู้หญิงสามคนร่ำรี้ร่ำไร จึงสาวเท้าเดินเข้ามา กอดกล่องใบหนึ่งแนบอกอยู่ด้วย
เขาเสี่ยงตายเอากล่องที่สวีเหยากวงใช้ใส่เหรียญรางวัลมาใส่บัตรเข้างาน
“เจ๊หร่าน ทำไมพวกเธอยังไม่ไปอีก” เขาเดินมา เอ่ยปากอย่างเอาใจ
“กำลังจะไปแล้ว” เมื่อเซี่ยเฟยถ่ายรูปเสร็จ ก็เก็บมือถือ
ยื่นปากกาหมึกซึมของฉินหร่านให้เธอ
ฉินหร่านเก็บปากกาหมึกซึมลงในถุงดินสอ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ก็สวยอยู่หรอก แต่เป็นรอยขีดข่วนง่าย”
โดยเฉพาะเมื่อกระทบกับพวกวงเวียน
“ถ้าฉันซื้อมาแล้วจะหาถุงดินสอมาใส่มันโดยเฉพาะเลย” เซี่ยเฟยพยักหน้า
ตอนที่เพิ่งหมดคาบเรียนด้วยตัวเองอาคารเรียนเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายดังอื้ออึง ตอนนี้คนกลับกันไปเกือบหมดแล้ว จึงเงียบสงบลง
เฉียวเซิงอุ้มกล่องเดินลงบันไดกับฉินหร่าน
…
สวีเหยากวงกำลังไปส่งควิซฟิสิกส์ที่ห้องพักครู
เขาวางควิซลงบนโต๊ะทำงานของอาจารย์ฟิสิกส์แล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ด้วยจุดประสงค์อะไร เขาไปค้นควิซแผ่นที่สามจากท้ายสุด
ควิซแผ่นนั้นเป็นของฉินหร่าน
ฉินหร่านสอบวิชาอื่นได้คะแนนเต็ม สอบได้ดีมาก อย่างมากสวีเหยากวงก็แค่ตกใจ แต่ก็ไม่ใส่ใจ
มีแค่วิชาฟิสิกส์เท่านั้นที่เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
เขากวาดตามองตั้งแต่ต้นจนจบ
ควิซแผ่นนี้ไม่มีตัวหนังสือแม้แต่ตัวเดียว
อาจารย์ฟิสิกส์เคยถามฉินหร่านว่าทำไมถึงไม่ทำข้อสอบ คำตอบที่ฉินหร่านให้คือทำไม่เป็น
โจทย์ที่เข้าใจยากอย่างตรีโกณมิติเธอยังสามารถทำออกมาได้ ไม่มีเหตุผลที่จะทำโจทย์ฟิสิกส์ไม่ได้เลยสักข้อ
แต่หากว่าทำเป็น เธอก็คงไม่ปล่อยวิชาฟิสิกส์ทิ้งวิชาเดียวโดยที่ไม่เขียนเลย
สิ่งที่เป็นไปได้ที่สุดคือเธอทำเป็น แต่ไม่ได้เก่งกาจเหมือนวิชาอื่น
ขณะที่สวีเหยากวงคิด ก็สอดควิซของฉินหร่านเข้าไป ล็อกประตูห้องพักครูแล้วจากไป
เจอกับพวกเฉียวเซิงที่กำลังลงจากตึกเข้าพอดี
หลังพวกฉินหร่านสามคนกลับหอพักหญิงไปแล้ว
เฉียวเซิงก็ลูบคางไปมา “เมื่อกี้ฉันถามเจ๊หร่าน เธอบอกว่าคนอื่นให้บัตรมา”
“อืม” สวีเหยากวงไม่แปลกใจแม้แต่นิด ดวงตาคู่นั้นทั้งเย็นชาและเฉยเมย “คงจะเป็นสองคนนั้นนั่นแหละ”
เขามองไปทางห้องพยาบาลแวบหนึ่ง
เขารู้จัก OST แต่อวิ๋นกวงกรุ๊ปน่ะเขาไม่รู้จัก แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน
แม้เขาจะไม่ใช่แฟนคลับของหยางเฟย แต่ก็เคยดูการแข่งขันของ OST ก่อนการแข่งขันครั้งนี้ เขาก็เคยคิดอยากวานคนหาบัตรมาให้ แต่ก็ไม่ได้มา
ฉะนั้นอย่างฉินหร่าน สวีเหยากวงไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเธอจะหาบัตรเยอะแยะขนาดนี้ได้ด้วยตัวเอง
“คุณชายสวี พรุ่งนี้จะไปดูการแข่งขันหรือเปล่า” เฉียวเซิงยังอุ้มกล่องไว้เหมือนเดิม หันหน้าไปถาม
สวีเหยากวงขบคิด จากนั้นพูดว่า “ไป”
เฉียวเซิงเปลี่ยนท่า “ไม่เห็นว่านายจะชอบเทพพระอาทิตย์ หรือสมาชิกคนอื่นของ OST สักเท่าไหร่ ทำไมจะไปดูการแข่งขันให้ได้ล่ะ”
นอกจากฟิสิกส์กับไวโอลิน เฉียวเซิงไม่เคยเห็นเขาชอบอย่างอื่นเลย
“ใครบอกว่าฉันไม่ชอบสมาชิกทีม OST” สวีเหยากวงหรี่ตาลง ดวงตาคู่นั้นดูลึกล้ำ
เมื่อถึงห้องพักของสวีเหยากวง เฉียวเซิงก็หยุดอยู่ข้างนอก ไม่เข้าไป แต่จะถามให้รู้เรื่อง “ไม่สิ แม้แต่เทพพระอาทิตย์นายยังไม่ชอบ มีสมาชิกทีม OST คนอื่นที่สะดุดตานายได้ด้วยเหรอ”