“อะไรน่ะ” ในปากของลู่จ้าวอิ่งยังคาบปาท่องโก๋อยู่ ยื่นมือไปรับมา วางอยู่อีกมุม ไม่ได้ดูทันที “โบรชัวร์?”
โฆษณารักษาผมร่วง?
ยับยู่ยี่ขนาดนี้ นอกจากโบรชัวร์โฆษณา ลู่จ้าวอิ่งคิดไม่ออกแล้วว่าจะเป็นอะไรได้อีก
“ไม่ใช่” ฉินหร่านก็ไม่อธิบาย ปล่อยให้เขาวางอยู่ตรงนั้น
“เธอไม่ต้องกลับแล้ว ตอนบ่ายฉันจะไปดูการแข่งขัน เธอไปกับฉันเถอะ” ลู่จ้าวอิ่งมองเธอ
ฉินหร่านฟุบลงบนโต๊ะ หาวหวอดๆ “ไม่ค่อยอยากไป”
“ไม่ไปไม่ได้ เปลืองบัตรของฉัน” ลู่จ้าวอิ่งฮึดฮัดในลำคอ ไม่พอใจและไม่สบอารมณ์ “บัตรของอวิ๋นกวงกรุ๊ปใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ฉันให้เฉิงมู่พยายามอย่างมากกว่าจะได้มา บัตรงานแฟนมีตติ้งตอนกลางคืนจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้”
“อวิ๋นกวงกรุ๊ปเหรอ ลำบากจริงๆ แหละ” หลังพ่อบ้านยกน้ำมาเสิร์ฟให้ลู่จ้าวอิ่งก็ยิ้ม
“พ่อบ้านเฉิงเคยได้ยินเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งแปลกใจ
พ่อบ้านเฉิงพยักหน้า ตอบอย่างนอบน้อม “มีฝ่ายไอทีของบริษัทคุณหนูใหญ่อยากร่วมงานกับฝ่ายพัฒนาของอวิ๋นกวงกรุ๊ป แต่ไม่เคยมีข่าวคราวเลย”
ลู่จ้าวอิ่งเข้าใจทันทีว่า นี่เป็นบริษัทที่เฉิงเจวี้ยนทำได้ครึ่งหนึ่งก็โยนให้พี่สาวของเขา
“ทำไมไม่หาท่านเจวี้ยนล่ะ” ลู่จ้าวอิ่งใช้กระดาษเช็ดปาก มองเฉิงเจวี้ยนที่นั่งสบายๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม
เฉิงเจวี้ยนพลิกกระดาษอย่างนิ่งสงบ ก้มหน้า ใบหน้าเฉยชามากทีเดียว
ไม่เงยหน้าเลยด้วยซ้ำ
ลู่จ้าวอิ่งเบนสายตา
ขณะที่พ่อบ้านเฉิงก้มหน้าเก็บกวาดของบนโต๊ะ เก็บกระดาษกับจานเปล่าที่เคยใช้แล้ว
ก็มองเห็น ‘โบรชัวร์’ ยับยู่ยี่ข้างมือลู่จ้าวอิ่ง ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณชายลู่ ขยะนี่ยังจะเอาอยู่ไหม”
“เดี๋ยว” ลู่จ้าวอิ่งยื่นมือมารับ ข้างหนึ่งยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม อีกข้างเปิดดูอย่างไม่ยี่หระ “ของขวัญที่ฉินเสี่ยวหร่านให้ จะทิ้งได้ยังไง”
ไม่เคยเห็นของขวัญแบบนี้มาก่อนเลย…
พ่อบ้านเฉิงมองฉินหร่านแวบหนึ่ง อดขำไม่ได้ สุดท้ายก็ถอนหายใจ ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี
เขาเก็บจานอื่นๆ ด้วยแล้วหันหลังเดินไป
เพิ่งสาวเท้าเดินไปได้สองก้าว
กึก
มีเสียงดังขึ้น
พ่อบ้านเฉิงเหลียวมอง เห็นแก้วน้ำผลไม้ในมือลู่จ้าวอิ่งถือไม่ดีกระทบกับโต๊ะ
เท้าของพ่อบ้านเฉิงชะงัก
เฉิงเจวี้ยนพลิกกระดาษอีกหน้า เชยตาขึ้นเล็กน้อย นิ้วเรียววางบนอยู่โต๊ะ จึงเคาะตามอารมณ์ “มีอะไร”
“เอ่อ เปล่า” ลู่จ้าวอิ่งยังคงถือบัตรไว้ ยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบต่างหูอย่างอดไม่ได้ “ฉินเสี่ยวหร่าน เธอ…เธอ…”
“มีอะไรก็พูดมา” ฉินหร่านเงยหน้า ชายตามองเขา
“เธอเป็นคนให้ฉันมา มันคืออะไรน่ะ” ฟังออกว่าเสียงของลู่จ้าวอิ่งสั่นเทา
“บัตรเข้างานไง” ฉินหร่านหยิบมือถือออกมา มีข้อความของกู่ซีฉือถามว่าเธอด่าเขาทำไม เธอพูดตอบต่ออย่างไม่แยแส “บัตรเข้างานแฟนมีตติ้งไง นายไม่เอาเหรอ”
พอได้ยินคำตอบของฉินหร่าน หัวที่ก้มลงอ่านหนังสือของเฉิงเจวี้ยนยกขึ้นมาอีกครั้ง
“บัตรเข้างานแฟนมีตติ้งเธอมีได้ยังไง” ลู่จ้าวอิ่งวางบัตรลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จากนั้นก็ลูบให้เรียบด้วยความระมัดระวัง “ไม่สิ ใครจะขยำเป็นก้อน มีใครทำแบบนี้กับบัตรเข้างานเหมือนเธอบ้าง”
ฉินหร่านฟุบอยู่บนโต๊ะ ตอบอย่างเกียจคร้าน “มีคนให้ฉันมา”
คราวนี้พ่อบ้านเฉิงก็รู้แล้วเหมือนกันว่า ในมือลู่จ้าวอิ่งเป็นบัตรเข้างานของอวิ๋นกวงกรุ๊ป
ใบที่เฉิงมู่พยายามอย่างหนักแต่ก็ไม่ได้มาใบนั้น
เขามองฉินหร่านแวบหนึ่ง ตะลึงงันไปแล้ว
ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นขยะ…
เพราะมองจากอากัปกิริยาที่บ่งบอกว่าบัตรใบนี้ได้มายากมากของลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ เขางงไม่น้อยเลย…
ฉินหร่านมีบัตรที่ได้มายากขนาดนี้ด้วยเหรอ
แน่นอนว่า ถ้าสองคนนี้รู้ว่า เมื่อคืนฉินหร่านให้บัตรปึกหนึ่งกับพวกเฉียวเซิง คิดว่าคงจะเสียสติกว่าเดิมเป็นแน่
ลู่จ้าวอิ่งใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงมาพิจารณาเรื่องที่ฉินหร่านให้บัตรกับเขา
พอฉินหร่านส่งบัตรเสร็จแล้ว ก็ไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาล
เฉิงเจวี้ยนคิดๆ ดูแล้ว จึงให้คนรถขับรถไปส่งเธอ
หลังฉินหร่านกลับไปแล้ว พ่อบ้านเฉิงถึงได้เบนสายตา ถามเสียงเบาว่า “คุณชาย สิ้นเดือนจะกลับเมืองหลวงหรือเปล่า มีงานแซยิด”
“คุณไปจัดการก่อนแล้วกัน” เรื่องนี้ผู้เฒ่าเฉิงเคยพูดแล้ว เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าลง อ่านหนังสือในมืออีกครั้ง “น่าจะกลับไป”
…
โรงพยาบาล วันนี้ฉินหร่านมาเช้า หนิงเวยกับมู่หยิงยังไม่มา
หลังเธอไปหาหมอประจำตัวของเฉินซูหลานแล้ว ไม่ได้ตรงกลับห้องพักผู้ป่วย แต่มองหาห้องน้ำ
ลองคลำในกระเป๋า หาบุหรี่ไม่เจอ เธอจึงยืนพิงประตู ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เห็นดวงตาที่ดูแดงระเรื่อ
ผ่านไปพักใหญ่ เธอก็เปิดก๊อกน้ำแล้วล้างหน้า
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ยังคงเป็นท่าทางที่ไม่ยี่หระดั่งเช่นที่เคย เห็นความเอาแต่ใจในดวงตา
เธอมองตัวเองในกระจกแวบหนึ่ง เมื่อไม่เห็นความผิดปกติแล้ว ก็ออกไปเยี่ยมเฉินซูหลาน
ตอนที่ฉินหร่านมาถึงห้องหักผู้ป่วย สภาพของเฉินซูหลานดูไม่แย่ ใบหน้าซีดเผือดที่ผ่านมามีสีเลือดแล้ว
“หรานหร่าน หลานมาพอดีเลย” เฉินซูหลานกวักมือเรียกฉินหร่านยิ้มๆ “ดูนี่สิ”
เธอยื่นของในมือให้ฉินหร่านดู
“อะไรเหรอคะ” ฉินหร่านเขยิบเข้าไปมอง เป็นบัตรเข้าชมการแสดงดนตรี ที่นั่งวีไอพี
“อาจารย์เว่ยส่งบัตรมาสองใบ เขาอยากให้เราสองคนไปดูงานแสดงดนตรีของเขา” น้ำเสียงของเฉินซูหลานฟังดูดีมาก “ยายไปไม่ได้ หลานชวนคนไปด้วยได้”
ฉินหร่านไม่รับ เธอไม่ค่อยสบอารมณ์ “ทำไมเขายังไม่ถอดใจอีก”
เสียงพูดคุยดังมาจากข้างนอก เป็นของหนิงเวย มู่หยิงและหนิงฉิง
เฉินซูหลานไม่พูดอะไร ยัดบัตรใส่มือฉินหร่านทันที
“แม่ ทำอะไรกันอยู่เหรอ” หนิงเวยเข้ามาก่อน ช่วงนี้เท้าของเธอดีขึ้นมากแล้ว หากไม่ตั้งใจมองละก็ จะไม่เห็นความผิดปกติเวลาเธอเดิน
“ให้ของอย่างหนึ่งกับหรานหร่านอยู่” เฉินซูหลานเอนตัวลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง
“อ้อ” มู่หยิงพยักหน้า เธอรู้ว่าเฉินซูหลานมีขยะกองหนึ่งที่ทำใจทิ้งไม่ได้ เลยไม่ได้สนใจ
หนิงฉิงคุยกับเฉินซูหลานไม่กี่ประโยค ฉินหร่านปอกแอปเปิลอยู่อีกมุมหนึ่งตลอด ไม่มองหนิงฉิงเลย
เฉินซูหลานเห็นสภาพของทั้งคู่ ก็ก้มหน้าดื่มน้ำ ไม่พูดอะไร
หลังยืนกรานอยู่นาน หนิงฉิงถึงจะล้วงบัตรใบหนึ่งออกจากกระเป๋า “หรานหร่าน นี่เป็นบัตรที่น้องสาวแกส่งมาจากเมืองหลวง เธอส่งมาแค่สองใบ ใบหนึ่งให้แม่ อีกใบให้แกเป็นพิเศษ”
ฉินหร่านยังคงปอกแอปเปิล เธอก้มหน้า นั่งไขว่ห้าง ราวกับมองไม่เห็น
หนิงฉิงเม้มปาก “การแสดงครั้งนี้มีอาจารย์ดังๆ มารวมตัวกัน คนที่มาดูการแสดงต่างก็มีตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง อาสะใภ้ของเธอวานให้คนช่วยเอาตั๋วพวกนี้มา”
ฉินอวี่ส่งบัตรใบนี้มาเดาได้ง่ายมาก ก็แค่ร้อนใจอย่างอวดต่อหน้าฉินหร่านไม่ใช่เหรอ
มู่หยิงได้ยินหนิงฉิงพูด สายตาก็อดเหลือบมองบัตรใบนั้นไม่ได้
ฉินหร่านปอกแอปเปิลเสร็จ รู้สึกรำคาญนิดหน่อย “คุณยาย ตอนบ่ายหนูจะไปดูคนแข่งเล่นเกม ไปก่อนนะ”
หนิงฉิงมองแผ่นหลังของเธอ “หรานหร่าน โอกาสหายากนะ!”
เฉินซูหลานหลับตา ไม่พูดอะไร
…
ตอนบ่าย
การแข่งขันของ OST เริ่มอย่างเป็นทางการ
ไม่มีบัตรยืน มีแค่บัตรนั่ง เพราะมีคนไม่ถึงหนึ่งพันคน คนที่ต่อแถวเข้าชมการแข่งขันไม่ได้เยอะปานนั้น
ฉินหร่านถูกลู่จ้าวอิ่งเร่งรัดให้มาตั้งแต่ตอนเที่ยง
เฉิงเจวี้ยนไม่สนใจเรื่องนี้ ขับรถส่งทั้งคู่มาที่นี่
“ระวังตัวหน่อย ถึงตอนนั้นคนต้องเยอะมากแน่นอน” มือเขาวางอยู่บนพวงมาลัย หันหน้ามา หลุบตาคุยกับฉินหร่านที่นั่งบนเบาะข้างคนขับ “อย่าวิ่งเพ่นพ่านไปกับเขา ความปลอดภัยสำคัญ”
“ไม่ต้องห่วง” ฉินหร่านก้มหน้าปลดเข็มขัดนิรภัย หรี่ตาเล็กน้อย
ท่าทางไม่แยแส
พอลงจากรถ ลู่จ้าวอิ่งก็เร่งให้เธอรีบไป พอเฉิงเจวี้ยนขับรถออกไปแล้ว เขาถึงได้เดาะลิ้น “ท่านเจวี้ยนก็เคยเป็นแฟนคลับของเกมนี้เหมือนกัน ถ้าตอนนี้เขาเล่นเป็นอาชีพ ตอนนี้ต้องดังกว่าเทพพระอาทิตย์แน่นอน แต่เขาคนนั้นจิตใจไม่แน่วแน่ ไม่ว่าทำอะไรก็ล้มเลิกกลางคัน”
ทั้งสองคนกำลังต่อแถว
ฉินหร่านสวมหมวกเบสบอลของตัวเอง กดปีกหมวดต่ำ ครางรับอืมไม่ตอบอะไร
ทั้งสองคนนั่งแถวที่ห้าโซน A ลู่จ้าวอิ่งเห็นวัยรุ่นหลายคนที่ดูสะดุดตาอย่างมากตรงแถวสองในแวบเดียว
“เอ๊ะ นั่นมันเพื่อนร่วมห้องของเธอไม่ใช่เหรอ” ลู่จ้าวอิ่งรู้จักเฉียวเซิง เขาเดาะลิ้นทีหนึ่ง “นักเรียนพวกนี้ เบื้องหลังไม่ธรรมดา มีบัตรเข้างานได้ยังไง…”
พูดถึงครึ่งหนึ่ง ลู่จ้าวอิ่งก็เงียบไป
เขานึกถึงเมิ่งซินหราน ขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่พูดอะไรอีก
ฉินหร่านกลับไม่แยแส เธอกดปีกหมวกลง หยิบมือถือออกมาเริ่มเล่นเกม
การแข่งขันครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่อวิ๋นกวงกรุ๊ปจัดขึ้น เป็นการแข่งขันเพลย์ออฟร่วมกับอีกหลายๆ ทีม
หยางเฟยขึ้นเวทีก็ถูกผู้อำนวยการโปรแกรมถ่ายภาพโคลสอัพ ใบหน้าที่ไร้ที่ติถูกฉายบนจอโปรเจ็กเตอร์ แฟนคลับผู้หญิงในสนามแข่งคลุ้มคลั่งอย่างยิ่ง แฟนคลับผู้ชายเองก็ไม่น้อยไปกว่ากัน
แต่ละการแข่งขันจะใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่า
วันนี้มีการแข่งขันสามรอบ
ตาแรกหยางเฟยใช้การ์ดหนี่วา
ในสนามก็มีเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นอีกครั้ง
“หนี่วา การแข่งขันสร้างชื่อของเทพพระอาทิตย์!” ลู่จ้าวอิ่งลูบแขน ขนแทบจะลุกเกรียวกราวแล้ว “เธอรู้จักหนี่วาไหม การ์ดเทพใบแรกที่โผล่มาให้การแข่งขันเอเชียนคัพ! ตอนนั้นประเทศคู่แข่งมากมายหัวเราะเยาะที่เราไม่มีการ์ดเทพ จากนั้นไม่กี่วันเทพพระอาทิตย์ก็เอาออกมาตอนแข่งขัน!”
ตาที่สองหยางเฟยใช้การ์ดฝูซี
สนามบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
“ตอนนี้นอกจากตาสุดท้าย ตอนนี้น้อยครั้งที่จะเห็นเทพพระอาทิตย์ใช้การ์ดสามใบนี้!” ลู่จ้าวอิ่งตื่นเต้นพลางอธิบายให้ฉินหร่านฟัง
ตาที่สามเขาใช้การ์ดเหยา
สนามดุเดือดแล้ว
การ์ดเทพสามใบ ท่าไม้ตายยอดฮิตของ OST การ์ดที่ทุกทีมหวาดกลัว!
เห็นในการแข่งขันได้ยากมาก ตอนนี้เห็นครบทุกการ์ดในการแข่งขันครั้งนี้ นี่แหละการแสดงอันตื่นตาตื่นใจ
ฉินหร่านมองลู่จ้าวอิ่งด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์
“ช่างเถอะ เธอไม่รู้ก็ไม่แปลก การ์ดเทพสามใบนี้เห็นได้ยากมาก ฉันไม่มีแม้แต่การ์ดเสริมด้วยซ้ำ…”
หลังแข่งทั้งสามรอบเสร็จเป็นช่วงเวลาสัมภาษณ์
“วันนี้แฟนคลับในสนามตื่นเต้นกันมาก ผู้ชมก็รู้ว่าเห็นการ์ดเทพของ OST เห็นยากมาก วันนี้เต็มที่มากใช่ไหมครับ” หลังพิธีกรถามคำถามตามสคริปต์ไปหลายข้อแล้ว ก็เริ่มสุ่มคำถามของแฟนคลับ
เธอถือการ์ดใบหนึ่ง เมื่อเห็นคำถามก็ยิ้ม “เพื่อนที่ชื่อว่าวัยรุ่นหวนกลับถามว่า เทพพระอาทิตย์มีเกมเมอร์มืออาชีพที่ชอบร่วมงานด้วยมากที่สุดไหม”
หยางเฟยนิ่งไป เขาไม่ได้สวมหมวกเบสบอล ใบหน้าภายใต้ไฟสปอตไลต์ สง่างามอย่างยิ่ง
ผ่านไปพักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงกังวานของเขา เด็ดขาดชัดเจน “มีครับ”
มีผู้ชมกำลังตะโกนว่า “อี้จี้หมิง”
“ไม่ทราบเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” พิธีกรยิ้ม
หยางเฟยเชยตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นแลดูดำสนิทเมื่ออยู่ในกล้อง เขาหยุดไปสองสามวินาทีแล้วยิ้ม “ผู้หญิงครับ”
เสียงของผู้ชมที่กำลังตะโกน ‘อี้จี้หมิง’ หยุดไป จากนั้นก็ระเบิดดังตูม
เกมเมอร์มืออาชีพของเกมท่องยุทธภพมีน้อยอยู่แล้ว
โดยเฉพาะทีม OST จวบจนวันนี้ก็มีแค่เมิ่งซินหรานเพียงคนเดียว
ผู้อำนวยการโปรแกรมใช้เวลานานกว่าจะเจอเมิ่งซินหรานที่อยู่ในโซน B และถ่ายโคลสอัพเธอเป็นพิเศษด้วย
ฉินหร่านได้ยินลู่จ้าวอิ่งพูดคำว่า ‘โห’ ชัดเจนมาก
…
ผู้ชายสามคนของห้องหนึ่งก็มองเมิ่งซินหรานด้วยความตกใจเช่นกัน “เมิ่งซินหราน เธอสุดยอดไปเลย ได้ยินหรือเปล่า เดี๋ยวเทพพระอาทิตย์จะมาหาเธอด้วยเหรอ”
คนที่นั่งรอบๆ เมิ่งซินหรานต่างก็อดหันมองเธอไม่ได้
เมิ่งซินหรานงงอย่างเห็นได้ชัด เธอนั่งตัวตรงแหน็ว เพราะอายุไม่มาก แม้จะดูเป็นผู้ใหญ่มากแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ ภายใต้แสงสปอตไลต์ ถูกคนเรียกชื่อ มือเธอก็อดสั่นเทาไม่ได้
ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ปิดไม่มิด
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…” หน้าเธอแดงระเรื่อ หัวใจเต้นระรัว “ฉันกับเทพพระอาทิตย์เคยคุยกันไม่กี่ครั้ง”
การแข่งขันจบลงแล้ว
ผู้ชมรอบนอกออกไปก่อน จากนั้นก็เป็นโซน B กับโซน A
เฉียวเซิงเห็นฉินหร่านกับลู่จ้าวอิ่งในแวบเดียว ก็พาพวกพ้องเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น
เขามองลู่จ้าวอิ่ง เก็บสีหน้าเล็กน้อย
แต่ลู่จ้าวอิ่งกลับทักทายพวกเขาอย่างสุภาพ “ทุกคนไม่ธรรมดาเลยนะ”
หาบัตรของแถวสองได้เสียด้วย
เฉียวเซิงไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แค่ก้มหน้าอย่างนอบน้อม “ไม่หรอก”
สวีเหยากวงมองฉินหร่านกับลู่จ้าวอิ่ง ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร
ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกแปลกใจกับท่าทีของกันและกัน
เมิ่งซินหรานกับผู้ชายสามคนข้างๆ เธอยังไม่มีใครกลับไป ยืนอยู่ข้างเธอ จะรอหยางเฟยมาหาเธอ
ตอนที่พวกฉินหร่านเดินผ่านพวกเขา พวกเพื่อนๆ ของเฉียวเซิงก็อดมองไปทางเมิ่งซินหรานไม่ได้
คราวนี้เมิ่งซินหรานกลับแสดงความเมตตามองพวกฉินหร่านแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างมีเลศนัย ราวกับคิดว่าการถือสาพวกเขาไม่เหมาะสมกับฐานะ
จากนั้นก็เบนสายตา เชิดหน้าขึ้น ดูเย่อหยิ่งทีเดียว
เฉียวเซิงเกิดอาการอยากด่าคนขึ้นมา
ฉินหร่านสวมหมวกเบสบอล กดเสียงต่ำว่า “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
“ได้ พวกเรารอเธอ” เฉียวเซิงโบกมือ
คนอื่นๆ ต่างก็สงบเสงี่ยม “เจ๊หร่านระวังตัวด้วย”
ฉินหร่านไปได้ไม่ถึงสองนาที
เฉียวเซิงก็ลูบจมูก “ฉันก็อยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน…”
คนอื่นๆ สังเกตสถานการณ์ฝั่งเมิ่งซินหรานอยู่ตลอด ไม่สนใจเขา
เฉียวเซิงถอนหายใจ สวมหมวกบักเก็ตแล้วไปห้องน้ำ
โซนนี้มีคนเข้าห้องน้ำน้อย
เงียบสงบ เงียบทั้งห้องน้ำหญิงและชาย ไม่มีคน
หลังเขาเสร็จธุระแล้ว ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันตรงทางเดินห้องน้ำ เสียงนุ่มทุ้มที่กดให้เบาลงเล็กน้อย ฟังดูคุ้นหู
เฉียวเซิงเช็ดมือแล้วออกมา
พอเงยหน้า ก็เห็นสองคนที่ยืนอยู่ตรงทางเดินฝั่งตรงข้าม
ผู้ชายสวมยูนิฟอร์มของ OST เฉียวเซิงได้ยินเสียงของเขา “เทพฉิน อี้จี้หมิงก็อยากเจอเธอเหมือนกัน…”
เฉียวเซิงเป็นบ้าไปแล้ว