เจ้าหน้าที่เปิดภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่เขาอยู่บนทางเดินให้สวีเหยากวงดู
เพราะการแสดงแรกใกล้จะเริ่มแล้ว ห้องโถงนอกห้องรับรอง จึงเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่
แต่ประตูห้องของอาจารย์เว่ยปิดอยู่ตลอดเวลา
สวีเหยากวงก็ไม่ใจร้อน มือยันโต๊ะพิงตัวจ้องภาพจากกล้องวงจรปิดอยู่อย่างนั้น คนในภาพกล้องวงจรปิดต้องออกมาแน่นอน
…
และตรงทางเดินข้างนอก อาจารย์เว่ยก็ไม่ได้รีบร้อนกลับขึ้นรถ
แต่โทรศัพท์หาเฉินซูหลาน
ช่วงนี้เฉินซูหลานนอนหลับไม่ค่อยได้สติ คนที่รับสายเป็นพยาบาล ในเวลาแบบนี้ เธอหลับไปนานแล้ว
อาจารย์เว่ยขมวดคิ้ว นอกจากเรื่องของฉินอวี่ เขาเริ่มกังวลอาการของเฉินซูหลานขึ้นมาแล้ว
ความสำคัญที่เฉินซูหลานมีต่อฉินหร่านนั้นไม่ต้องบอก เริ่มเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ช่วงต้นหน้าร้อนของปีนี้ จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่ได้ยินว่าออกจากโรงพยาบาลแล้ว
กลับมาถึงรถ ยังคงหนักอกหนักใจอยู่
“คุณปู่ ทำไมดึกขนาดนี้” บนรถ เว่ยจื่อหังนั่งพิงพนัก มองดูเวลาแล้วเงยหน้าถามอาจารย์เว่ย
วันนี้สกุลเว่ยขับรถลีมูซีน
ฉินหร่านกับเว่ยจื่อหังนั่งตรงแถวสุดท้าย อาจารย์เว่ยนั่งอยู่ข้างหน้า
“เจอคุณชายสวีน่ะ” อาจารย์เว่ยก้มหน้า ตบๆ แขนเสื้อ พูดอย่างไม่ยี่หระว่า “เราเลยคุยกันนิดหน่อย”
“สวีเหยากวง?” เว่ยจื่อหังไม่สนใจเขา “มาดูการแสดงล่ะสิ”
อาจารย์เว่ยช้อนตาขึ้น ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ “อืม มีของหาย กำลังให้เจ้าหน้าที่ดูภาพกล้องวงจรปิดอยู่”
เว่ยจื่อหังพยักหน้า ไม่พูดอะไร
แต่ฉินหร่านกลับหรี่ตาลง
ไม่รู้ว่าคิดอะไร
เธอใช้มือถือเคาะแขนของเว่ยจื่อหัง พอเขาหันหน้ามา ก็โพล่งขึ้นมาทันทีว่า “ไปนั่งข้างหน้า”
เว่ยจื่อหังก็ไม่ถามอะไร หยิบมือถือเดินไปข้างหน้า นั่งลงบนที่นั่งข้างอาจารย์เว่ย
เมื่อเขาไปนั่งข้างหน้าแล้ว ฉินหร่านก็ขยับไปนั่งที่ด้านในสุด เปิดฝาพับมือถือออก คลี่ออกเป็นสองข้าง กดหน้าจอให้สว่างอีกข้าง
เปิดโปรแกรมถอดรหัส
“หรานหร่าน ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเรียนไวโอลินกับฉันต่อไหม” อาจารย์เว่ยพิงพนัก แขนวางพาดกับขอบหน้าต่าง นิ้วมือกำลังเคาะอย่างไม่มีจังหวะ
ฉินหร่านหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากกระเป๋า ให้คีย์บอร์ดฉายภาพลงบนหนังสือ
ลองใช้คีย์บอร์ดพลางสนทนากับอาจาร์เว่ย ใบหน้าขาวสะอาดก้มลงเล็กน้อย ในรถไม่ได้เปิดไฟ มีแสงหน้าจอสะท้อนบนใบหน้าของเธอ พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ยังไม่รู้ค่ะ ต้องคิดดูอีกหน่อย”
แต่มือกลับเคลื่อนไหวเร็วมาก
ที่อยู่ของโรงละครหลวงหาได้ง่ายมาก
ระบบวงจรปิดก็หาง่ายเช่นกัน
ปกติแล้วนอกจากเอกสารชั้นความลับ น้อยคนที่จะใส่รหัสกับกล้องวงจรทั่วไปแบบนี้
หลังพิมพ์ตัวอักษรแถวหนึ่งเสร็จ ฉินหร่านก็เอนตัวพิงข้างหลัง จากนั้นก็กดปุ่ม ‘enter’ อย่างเลือดเย็น
ไม่เคยสนใจสวีเหยากวง แต่เคยได้ยินจากปากเฉียวเซิงหลายครั้ง
เขาจับตามองตึกศิลปะของโรงเรียนมาตลอด ไปหากล้องวงจรปิดหลายต่อหลายครั้ง
ที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินหร่านจะปฏิเสธมาตลอด
ไม่ง่ายเลยกว่าจะยืดหยุ่นอย่างวันนี้ เกินความคาดหมายของอาจารย์เว่ย
“ได้ งั้นเธอคิดดูให้ดี ต้องคิดให้ดีนะ ฉันจะพาพวกเธอไปกินอาหารชาววัง” อาจารย์นั่งตัวตรงในเสี้ยววินาที
ฉินหร่านก้มหน้า เก็บมือถือกลับเข้าไปอย่างเชื่องช้า
“ไม่ดีกว่า” ฉินหร่านมองนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ทิ้งฉันไว้ที่นี่แหละ ฉันจะรอเพื่อน”
“เธอ…” ตอนแรกอาจารย์เว่ยอยากบอกว่าเธอไม่มีญาติมิตรในเมืองหลวง รอใครกันน่ะ
จู่ๆ ก็นึกถึงเฉิงมู่ที่เปิดประตูวันนั้น เขานิ่งไปชั่วครู่ แม้จะอาลัยอยู่บ้าง แต่ก็บอกให้คนรถจอดรถอยู่ดี ก่อนจากไปยังกำชับเธออีกครั้งว่าครั้งนี้ต้องคิดให้แน่ใจ
…
ณ โรงละคร สวีเหยากวงที่ยังดูภาพกล้องวงจรปิดอยู่หลังเวที
ฉายภาพวงจรปิดด้วยความเร็วสี่เท่า
ตั้งแต่ผู้คนโกลาหลในตอนแรก จนถึงตอนนี้ ภาพกล้องวงจรปิดว่างเปล่าไร้ผู้คน
เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างก็เบื่อหน่าย เริ่มฉวยมือถือขึ้นมาไถดูแล้ว
แต่สวีเหยากวงยังคงอดทนรอ ดวงตาเฉยชาไม่มีความเหนื่อยหน่ายเลยสักนิด
ประตูห้องรับรองที่นิ่งสนิทเปิดออกแล้ว
จากนั้นก็หยุดลงกะทันหัน
จู่ๆ ภาพกล้องวงจรปิดก็ค้างอยู่ตรงนี้ สุดท้ายก็ย้อนกลับ
“มันเป็นอะไรไปน่ะ” สวีเหยากวงยื่นมือไปเคาะโต๊ะ มืออีกข้างกดตรงหว่างคิ้ว มองออกว่ากำลังสะกดกลั้นโทสะ
เจ้าหน้าที่วางมือถือลง จับเมาส์แล้วกดเปิดใหม่อยู่หลายครั้ง
แต่เปิดไม่ถึงหนึ่งนาทีก็จะย้อนกลับทุกครั้ง
เพราะเขาแค่คนที่เฝ้ากล้องวงจรปิด ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เทคนิคอะไร ก็งุนงงขึ้นมาทันที หันหน้าแล้วพูดขอโทษขอโพยว่า “คุณชายสวี ไฟล์กล้องวงจรปิดอาจจะเสีย ตอนนี้ดูไม่ได้แล้ว”
“จะซ่อมเสร็จตอนไหน” สวีเหยากวงจ้องหน้าจอเขม็ง
“เรื่องนี้… ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรไป อาจจะต้องเรียกเจ้าหน้าที่มืออาชีพมาดู” เจ้าหน้าที่กระอึกกระอัก
ฝ่ายโปรดิวเซอร์ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง “ก๊อบปี้ได้ไหม ก๊อบปี้ให้คุณชายสวีเอากลับไป”
ภาพกล้องวงจรปิดเผยแพร่ตามใจชอบไม่ได้ แต่ในสายตาของคนเมืองหลวงบางคน ของบางอย่างอันที่จริงไม่ต้องการกฎระเบียบอะไร กฎหมายบางอย่างก็ใช้มาควบคุมคนธรรมดาเท่านั้น
เจ้าหน้าที่หาแฟรชไดรฟ์มา ก๊อบปี้ไฟล์ให้สวีเหยากวงเอากลับไป
…
ณ โรงละคร
ตั้งแต่อาจารย์เว่ยพูดประโยคนั้น คนอื่นก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ใบหน้าภูมิอกภูมิใจหนิงฉิงหยุดนิ่ง เธอได้ยินเสียงอึกอักของตัวเอง “อวี่…อวี่เอ่อร์”
ใบหน้าของฉินอวี่ถอดสีในพริบตา สมองราวกับโดนฟ้าผ่า ดังอื้ออึงไม่ขาดสาย
เธอเล่นมาหลายครั้งหลายคราแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเธอไม่ได้เขียนเอง ทำให้เธอเกิดความคิดปลอบใจตัวเอง ใครจะรู้ว่าอาจารย์เว่ยจะฟังออกได้ทันทีล่ะ
หากไม่ชี้แจงเรื่องนี้ให้ดี อนาคตทั้งหมดของเธอจะหยุดชะงักเดินต่อไม่ได้
รวมถึงทุกอย่างที่เธอมีในสกุลเสิ่นและสกุลหลินด้วย
“ฉันเปล่านะคะ” ฉินอวี่จิกฝ่ามือแน่น เธอพยายามควบคุมอารมณ์บนใบหน้า “ฉันรู้ว่าอาจารย์เว่ยหมายถึงอัลบั้มสไตล์ดาร์กของเหยียนซีเมื่อสามปีก่อน แต่ฉันฟังแล้ว แค่สไตล์คล้ายกันเท่านั้น การเรียบเรียงไม่ได้เหมือนกันเปี๊ยบ”
เธอหยิบมือถือออกมา เปิดดนตรีสไตล์ดาร์กเพลงหนึ่งของเหยียนซี ณ ตรงนั้น
สไตล์การเขียนเพลงมีหลายท่อนที่เหมือนกับของฉินอวี่มาก แต่การเรียบเรียงไม่ได้คล้ายกันหรือซ้ำกัน
ตอนแรกอาจารย์หลายคนต่างก็ขมวดคิ้ว ไม่อยากสนใจฉินอวี่อีก
พอฟังถึงตรงนี้ ก็มองหน้ากันอยู่หลายครั้ง
“อาจารย์เว่ยเข้มงวดเกินไปหน่อย โลกทัศน์สูงเกินไป ถึงทำให้จนตอนนี้แล้วก็ยังไม่เจอลูกศิษย์เลยสักคน” ไต้หรานจัดเสื้อผ้า พูดเสียงเรียบว่า “ผมว่าเขาแก่จนเลอะเลือนแล้ว บทเพลงเลิศล้ำขนาดนี้ หากเป็นเพลงเมื่อสามปีก่อน คงไม่มีทางเงียบเชียบไร้ชื่อมาตลอด ไม่ทำอะไรเลยหรอกมั้ง เมื่อสามปีก่อนทุกท่านเคยได้ฟังหรือเปล่า”
เมื่อพูดแบบอื่น คนอื่นก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
“ก็จริง คงไม่มีใครเก็บซ่อนบทเพลงแบบนี้ไว้ในบ้านหรอก” มีคนพยักหน้า เขามองฉินอวี่ สีหน้าอ่อนลง “เธอมีไหวพริบมาก บทเพลงประเภทดาร์กสามารถสู้กับบทเพลงเมื่อสามปีก่อนของเหยียนซีได้ อายุยังน้อย ผลสำเร็จในวันหน้าไร้ขีดจำกัดแน่นอน”
เหยียนซีเป็นนักร้องยอดนิยม
แต่ในวงการดนตรี รวมถึงพวกไต้หราน ไม่มีใครกล้าดูถูกเขา
เพราะเขาเป็นคนเขียนเพลงขั้นเทพ
เป็นที่ยอมรับของวงการเพลง
ไม่ว่าจะศิลปินใหญ่ที่เล่นเปีย ไวโอลินหรือกู่เจิง หลายปีมานี้ต่างก็ชอบแนะโน้ตเพลงของเหยียนซี จากนั้นบรรเลงเป็นเสียงดนตรีโดยเฉพาะ
ให้ความรู้สึกแตกต่างจากเพลง มีผู้คนที่อัปโหลดบางคนที่โด่งดังไปทั่วโลกไซเบอร์ มั่งคั่งร่ำรวยเพราะแกะโน้ตเพลง
เมื่อได้ยินคำชม ความกังวลใจของฉินอวี่ ก็ลดลงในท้ายที่สุด
ไต้หรานยิ้ม เขาเดินไปหาฉินอวี่ น้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันชื่อไต้หราน เรียกฉันว่าอาจารย์ไต้ก็ได้ ไม่รู้ว่าเธอจะยอมมาเรียนไวโอลินกับฉันหรือเปล่า”
ชื่อเสียงในวงการไวโอลินของไต้หรานไม่โด่งดังเท่าอาจารย์เว่ย
แต่ในเมืองปักกิ่ง สกุลไต้กับชื่อของไต้หรานกลับโด่งดังอย่างฉุดไม่อยู่
ผู้เฒ่าเสิ่นที่ทำหน้าถมึงทึงในตอนแรก จนตอนนี้ก็หน้าชื่นตาบาน เดินออกไปสองก้าวแล้วก้มหัว “แน่นอน นี่เป็นเกียรติของเธอ อวี่เอ่อร์ รีบเรียกอาจารย์ไต้สิ”
ผู้เฒ่าเสิ่นส่งสายตาบอกฉินอวี่
ฉินอวี่คิดว่าอาจารย์เว่ยไม่รับตัวเองเป็นศิษย์ สกุลเสิ่นจะเลิกสนใจตัวเอง ไม่คิดว่าผู้เฒ่าเสิ่นยังคงเป็นมิตรเช่นเดิม
เธอพรูลมหายใจออกมา เดินไปยืนตรงหน้าไต้หราน เรียกคำว่า ‘อาจารย์’ อย่างนอบน้อม
คนอื่นๆ พากันแสดงความยินดีกับไต้หรานที่ได้ลูกศิษย์ที่มีไหวพริบ
น้ำเสียงเจือความอิจฉา
แต่ก็ช่วยไม่ได้ นอกจากอาจารย์เว่ย ไม่มีใครเอาชนะไต้หรานได้
ส่วนไต้หรานก็แค่หันไปทางที่อาจารย์เว่ยจากไป ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างมีเลศนัย
…
ทางด้านฉินหร่านยังคงนั่งรอลู่จ้าวอิ่งตรงขอบถนน
ตอนที่ลู่จ้าวอิ่งขับรถมาถึง ฉินหร่านยังนั่งเล่นมือถือตรงขอบฟุตบาท น่าจะกำลังคุยกับใครอยู่
ศีรษะมีฮู้ดของเสื้อกันหนาวสวมอยู่
วันนี้เธอเปลี่ยนเป็นเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีดำ แม้จะนั่งอย่างเกียจคร้าน แต่มองแล้วดูเย็นชายิ่งกว่าเดิม
เห็นเพียงเส้นผมสีดำลู่ลงมาข้างหมวก จากนั้นก็เป็นนิ้วเรียวยาวที่กำมือถืออยู่
คนที่จอดรถบริเวณรอบๆ ต่างก็อดมองเธอไม่ได้
ลู่จ้าวอิ่งลดกระจกลง ตะโกนเรียกเธอ
ฉินหร่านดึงฮู้ด ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า
ยังไม่เก็บมือถือ ข้อความจากวีแชทเด้งขึ้นมา ‘เพื่อนยาก เพลงของเธอเลทมาสามเดือนแล้ว’