ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้วนับตั้งแต่โรงเรียนมัธยมอีจงเลิกเรียน
เรื่องแก๊งหมาป่าได้มาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว ส่วนขั้นตอนที่เหลือก็ได้ส่งมอบให้ผู้บัญชาการห่าวเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการเฉียนจึงเลิกงานก่อน
ตอนที่รับสายจากฉินหร่าน เขากำลังอ่านรายละเอียดคดีก่อนหน้านี้ที่ห้องหนังสือ
“โรงงานเหรอ? ได้สิ” ผู้บัญชาการเฉียนวางคดีที่อยู่ในมือ จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบเสื้อนอกที่แขวนอยู่อีกด้านแล้วเดินออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”
โรงงานส่วนใหญ่ต่างก็เลือกที่จะปิดบังความจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุระหว่างการทำงานของแรงงาน
โดยเฉพาะโรงงานที่ฉินหร่านตามหา โรงงานนั้นจะต้องไม่ยอมรายงานอย่างแน่นอน
จึงต้องเรียกมารวมตัวเพื่อทำการสืบสวน
ไม่น่าแปลกใจที่ตำรวจสายตรวจอย่างผู้บัญชาการเฉียนจะเข้าใจเงื่อนงำเรื่องนี้ดีที่สุด
“มีเหตุการณ์บางอย่างน่ะ พวกเรามาเจอกันที่เดิม” ฉินหร่านคุยกับผู้บัญชาการเฉียนไม่กี่ประโยคก็วางสายไป
เธอบีบข้อมือยืนเงียบๆอยู่บริเวณทางเดินได้สักพักกว่าจะเดินเข้าไปในห้องหนิงเวย
หนิงเวยถูกเข็นกลับมาที่ห้องผู้ป่วยแล้ว
“หร่านหร่าน” หนิงเวยยังตั้งสติไม่ได้จนถึงตอนนี้ ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าฉินหร่านไปขอร้องตระกูลหลิน แต่ฉินหร่านก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว “เมื่อกี้…เมื่อกี้ผู้เชี่ยวชาญพวกนั้น…”
หลังจากให้ยาระงับความเจ็บปวด สีหน้าหนิงเวยก็ดีขึ้นมาไม่น้อย
เธอไม่รู้ว่าฉินหร่านเชิญผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มาโดยไม่มีตระกูลหลินได้อย่างไร?
“น้า รักษาตัวให้สบายใจเถอะ” ฉินหร่านยืนข้างเตียง เธอก้มหน้ามองไปที่ขาของหนิงเวย “ฉันจะไม่ยอมให้น้าตัดขาเป็นอันขาด”
หลังจากพูดจบก็ไม่รอให้หนิงเวยตอบ เธอหยิบเสื้อนอกชุดนักเรียนของตัวเองพลางเหลือบมองมู่หนาน พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึก “นายตามฉันมา”
ฉินหร่านออกจากประตูห้องผู้ป่วยไปก่อน
มู่หนานเม้มริมฝีปาก เขายืนขึ้นและเตรียมจะไปแต่กลับถูกหนิงเวยรั้งชายเสื้อ เธอถลึงตาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรพลางส่ายหน้าเพื่อไม่ให้มู่หนานพูดเรื่องนี้ออกไป
“ผมรู้แล้ว” มู่หนานพยักหน้าอย่างเย็นชา
ฉินหร่านหยุดอยู่ที่สุดทางเดิน ตอนที่มู่หนานออกไป เธอกำลังพิงกำแพง เอียงศีรษะเล็กน้อย มือกอดอก ไม่แสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้า
มู่หนานเดินไปข้างๆเธออย่างเงียบๆ
“นายถอนตัวออกจากการแข่งขันเหรอ?” เมื่อได้ยินเสียง ฉินหร่านไม่ได้หันไปและไม่ได้มองมู่หนาน เธอเพียงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
มู่หนานเงยหน้าขึ้น เม้มริมฝีปาก ยืนนิ่งๆได้สักพักก็ตอบ “ใช่”
“ฉันเข้าใจ” ฉินหร่านพยักหน้า “น้ามีคนดูแล นายอยู่อีกสักพักก็กลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้มีเรียน ฉันก็ไม่เข้าไปแล้ว”
มู่หนานมองฉินหร่านกดลิฟต์ลงไปชั้นล่างถึงจะกลับไปยังห้องผู้ป่วย
“หร่านหร่านคงหาที่ตั้งโรงงานเราไม่เจอหรอก…” หนิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่ามู่หนานไม่ได้เผลอพูดออกไป
ถึงอย่างไรผู้จัดการโรงงานพวกเธอก็เป็นคนมีเส้นสาย การที่นักเรียนมัธยมอย่างฉินหร่านจะหาพวกเขาเจอนั้นเป็นเรื่องยาก
แต่หนิงเวยก็ยังคงตาค้าง เธอนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงว่าฉินหร่านจะไม่ยอมเลิกรา
เหตุการณ์ของพานหมิงเย่ว์ตอนนั้นยังตราตรึงใจ
“มู่หนาน พรุ่งนี้แกไปโรงงานพลาสติก ไปหาผู้จัดการโรงงานของเราแล้วคุยเป็นการส่วนตัวบอกว่าฉันตกลงกับเงื่อนไขค่าชดเชย” หนิงเวยเม้มริมฝีปากพลางมองไปทางมู่หนาน
เมื่อได้ยินประโยคนี้ มือมู่หนานก็ชะงักอยู่นานกว่าจะเอ่ยเสียง “ครับ”
**
สองทุ่มครึ่ง ห้องส่วนตัวในร้านอาหาร
ฉินหร่านไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ เธอพิงอยู่ริมหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนหน้าต่าง ปลายนิ้วขาวเนียนคีบบุหรี่สีขาวหิมะ แสงไฟพลันสว่างพลันดับท่ามกลางความมืด
เธอหยิบโทรศัพท์ต่อสายหากู้ซีฉือ
“ยังไม่ถึงท่าเรือ” กู้ซีฉือยืนบนหัวเรือพลางมองเรือสำราญที่กำลังมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “อยู่ในทะเลหลวง คงอีกสักพัก”
เรือสำราญไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของส่วนตัวของเขาที่ลูกพี่ใหญ่โจรสลัดที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อก่อนมอบให้
เนื่องจากมีป้ายติดไว้จึงไม่มีเรือลำไหนในทะเลหลวงกล้าเข้าใกล้
“อืม” ฉินหร่านพยักหน้า “เมื่อกี้ลืมเตือนไปว่ามีคนของเจียงตงเยี่ยอยู่หลายคนที่อยู่ในอวิ๋นเฉิง ตอนลงเครื่องก็ระวังตัวด้วย”
“กัดไม่ปล่อยเลยจริงๆ” กู้ซีฉือหน้าบึ้งตึงเมื่อได้ยินชื่อเจียงตงเยี่ย “ฉันเข้าใจแล้ว”
ทั้งสองวางสาย
มีคนเคาะประตูอยู่นอกห้อง
ฉินหร่านวางโทรศัพท์ลงและบอกให้เข้ามา
ผู้บัญชาการเฉียนกำลังถือโทรศัพท์ ขณะที่สั่งให้ลูกน้องตรวจสอบโรงงานพลาสติก อีกมือหนึ่งก็ผลักประตู
พอผลักประตูเข้าไปก็เห็นฉินหร่าน
เธอเอียงหน้ามองออกไปทางหน้าต่าง
เมื่อได้ยินเสียง เธอก็เอียงศีรษะพร้อมกับดับบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ที่อยู่บนโต๊ะ ปลายนิ้วแทบจะห่อหุ้มไปด้วยความเย็น “นั่งสิ”
เธอชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม
ผู้บัญชาการเฉียนขมวดคิ้วพร้อมกับวางโทรศัพท์ในมือโดยไม่พูดอะไร เขารอให้ฉินหร่านพูดก่อน
ตอนกลางคืนมีลมแรง ฉินหร่านรอให้ควันบุหรี่ในห้องสลายไปก่อน จากนั้นก็ค่อยปิดหน้าต่าง เล่าเรื่องคร่าวๆ
“เรื่องนี้ง่ายมาก” ผู้บัญชาการเฉียนที่อกสั่นขวัญแขวนมาตลอดทางก็เบาใจได้ในที่สุด เขาหยิบเมนูอาหารและสั่งอาหารไปไม่กี่อย่าง จากนั้นก็รับปากว่า “ไม่ต้องห่วง ผมจะต้องหาโรงงานนี้ให้เจอให้ได้ ใครมันช่างกล้านักถึงได้มายั่วโมโหคุณได้”
หากเรื่องนี้เป็นเพียงคดีทั่วไปหรือถ้าอีกฝ่ายได้ยินข่าวลือและปกปิดอย่างแน่นหนาก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอ
แต่เมื่อเรื่องอยู่ในมือผู้บัญชาการเฉียน ทุกอย่างย่อมไม่เป็นปัญหา
ความเร็วเป็นหลัก
ใช้ประโยคไหนก็คงไม่เหมาะสมเท่าประโยคนี้ สำหรับเรื่องนี้กองสืบสวนอาชญากรรมอวิ๋นเฉิงใช้วิธีขี่ช้างจับตั๊กแตนจัดการ
ฉินหร่านเรียกผู้บัญชาการเฉียนมาก็เพราะเรื่องนี้
เธอหรี่ตาลงก้มหน้ามองถ้วยชาที่อยู่ในมือ พูดเรียบๆ “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครหน้าไหนมันรนหาที่ตาย”
**
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
ห้องพยาบาลประจำโรงเรียน
ในฐานะหมอประจำห้องพยาบาลของโรงเรียน ลู่จ้าวอิ่งไม่สามารถออกจากหน้าที่ได้นาน
เขามาถึงเมื่อวานตอนบ่าย
ขณะนี้เขานั่งคร่อมบนเก้าอี้พลางมองเฉิงเจวี้ยนที่ผลักประตูเข้ามา เขาหาวไปหนึ่งทีพร้อมกับพูดแบบส่งๆ “ไม่รู้ทำไมถึงไม่เจอฉินหร่าน เมื่อกี้เพิ่งโทรศัพท์หาเธอแต่ก็ไม่รับสาย ผมก็เลยให้เฉิงมู่ไปดูสถานการณ์ที่โรงเรียนเสียหน่อย”
เฉิงเจวี้ยนสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีดำพลางหิ้วเสื้อกันลมสีเบจไว้ในมืออย่างลวกๆ
ท่าทางเหนื่อยหน่ายไปทั้งตัว
เขายกมือขึ้นและโยนเสื้อกันลมลงบนโซฟา เมื่อได้ยินลู่จ้าวอิ่งพูดก็เงยหน้าเล็กน้อยและตอบ “อืม” เพียงคำเดียว
หลังจากนั้นไม่นานเฉิงมู่ก็กลับมาจากข้างนอก
“ผมถามเพื่อนร่วมโต๊ะของคุณฉินมาแล้ว เธอบอกว่าคุณฉินลา” เฉิงมู่หยิบกล่องอาหารเช้าจากข้างนอกออกมา ด้านหลังยังมีผู้บัญชาการห่าวตามมาด้วย
“คุณชายเจวี้ยน” ผู้บัญชาการห่าวเรียกด้วยความเคารพแต่กลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “คุณฉินก็ไม่อยู่หรือครับ? ทำไมยุ่งกันขนาดนี้?”
เฉิงเจวี้ยนลากเก้าอี้มานั่งยกขาขึ้นอย่างเฉยเมย
เมื่อได้ยินเสียงผู้บัญชาการห่าว เขาก็รินน้ำให้ตัวเองพลางเอียงศีรษะ “ยังมีคนยุ่งเหมือนกันเหรอ?”
“ก็ผู้บัญชาการเฉียนน่ะสิ ผมมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคในทีมของเขา ก็เลยไปหาตั้งแต่เช้า แต่กลับได้รับแจ้งมาว่ากองกำลังทั้งหมดของผู้บัญชาการเฉียนไม่อยู่ เหมือนว่าจะออกไปปฏิบัติภารกิจ” ผู้บัญชาการห่าวที่นั่งอยู่อีกด้านขมวดคิ้ว
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขามาพบฉินหร่านเพื่อทำการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหว
ยังไม่ทันได้มาถึงห้องพยาบาลประจำโรงเรียน เฉิงมู่ก็บอกเขาว่าฉินหร่านเองก็ลาด้วยเช่นกัน
“กองกำลังของผู้บัญชาการเฉียนออกไปปฏิบัติภารกิจทั้งหมดเลยเหรอ?” ลู่จ้าวอิ่งวางเคสผู้ป่วยที่เขาไม่ได้จัดการมาหลายวันลงพร้อมกับมองมาด้วยความประหลาดใจ “พวกเราจากที่นี่ไปไม่กี่วัน แก๊งหมาป่าก็กลับมาเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้วหรอ?”
กองกำลังของผู้บัญชาการเฉียนกองนี้ปฏิบัติการได้อย่างเก่งกาจและยังเป็นอันดับต้นๆในแวดวงสืบสวนอาชญากรรมทั้งหมด
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความสามารถของผู้บัญชาการเฉียน ยังมีอีกหลายคนในกองกำลังของเขาที่มีชื่อเสียงในกองสืบสวนอาชญากรรม
ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ผู้บัญชาการห่าวเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อมาหาผู้บัญชาการเฉียนที่อวิ๋นเฉิง
ส่วนเรื่องแก๊งหมาป่า หากไม่เป็นเพราะฉินหร่านเป็นตัวกลางก็ไม่แน่ว่าผู้บัญชาการห่าวจะชวนผู้บัญชาการเฉียนมาร่วมปฏิบัติการได้
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจกันทั้งกอง
อวิ๋นเฉิงแห่งนี้จะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างนั้นหรือ?
“เปล่า พรรคพวกที่เหลือเดนของพวกมันโดนผมเก็บไปตั้งนานแล้ว” ผู้บัญชาการห่าวส่ายหน้า สายตามองไปที่ชุดอาหารเช้าของเฉิงมู่ จากนั้นก็ถือโอกาสหยิบขนมปังมาเคี้ยว “ผมก็ถึงได้แปลกใจไง”
ผู้บัญชาการเฉียนเป็นคนเย็นชามาโดยตลอด นอกจากฉินหร่านแล้ว เขาคุยกับคนอื่นน้อยมาก
ผู้บัญชาการห่าวคิดไม่ตกเนื่องจากไม่สามารถถามอะไรจากปากผู้บัญชาการเฉียนได้ เขาจึงไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้ แค่เอียงศีรษะมองเฉิงมู่ “สมาชิก 129 ที่นางฟ้าของนายเข้าร่วมมีการคัดเลือกกันยังไง? ได้ยินว่าจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่”
ในยุคของข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต มีข่าวสารเพียงบางส่วนที่ยังวนเวียนในวงในเมืองเมืองหลวงเท่านั้น
เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่ไม่ทราบถึงการมีอยู่ขององค์กร 129
ผู้บัญชาการห่าวเอาแต่ยุ่งอยู่กับการกวาดล้างพวกเหลือเดน เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องในเมืองหลวง
“แน่นอน แค่คนที่ออกข้อสอบในปีนี้ก็ถึงกับเป็นที่ฮือฮา…” เฉิงมู่หน้าตายไม่แสดงความรู้สึก แต่ฟังจากน้ำเสียงก็ดูออกว่าตื่นเต้น
เฉิงเจวี้ยนพิงเก้าอี้โดยไม่ได้กินอะไร เขาเพียงหยิบขวดน้ำเต้าหู้ ดึงหลอดออกมาแล้วแทงด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย
หลุบตาลง ใช้ความคิดประมาณหนึ่งนาที
จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นพลางขยับคิ้ว “ไม่ถูก”
เมื่อได้ยินเสียงเฉิงเจวี้ยน ทั้งสามก็มองมา
“อะไรไม่ถูก?” ลู่จ้าวอิ่งเอ่ยถาม
เฉิงเจวี้ยนวางน้ำเต้าหู้ เหยียดมือเคาะโต๊ะพลางเหลือมองผู้บัญชาการห่าวอีกครั้ง “คุณแน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอวิ๋นเฉิง?”
“แน่นอน ไม่อย่างงั้นคนที่อาเจียงจะต้องเรียกเข้าพบก็คือผม” ผู้บัญชาการห่าวพูดเต็มไปด้วยความมั่นใจ “คนที่สามารถปลุกเร้าผู้บัญชาการเฉียนได้ไม่ได้มีแค่พวกเรา ตอนเช้าอาเจียงยังถามผมอยู่เลยว่าเรื่องแก๊งหมาป่านั่นมีความเคลื่อนไหวหรือไม่”
เจียงหุยเป็นถึงอธิบดีของอวิ๋นเฉิง เรื่องแก๊งหมาป่าเมื่อคราวที่แล้วเขาก็ยุ่งเป็นบ้าเป็นหลัง เสียทั้งทุนทรัพย์และแรงกาย ถึงอย่างไรก็เป็นคนเมืองหลวง อีกอย่างผู้บัญชาการห่าวก็ยังเคยทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของเจียงหุย
หากอวิ๋นเฉิงเกิดเหตุการณ์สำคัญ คนแรกที่เจียงหุยจะเรียกเข้าพบก็คือผู้บัญชาการห่าว
ไม่ใช่ผู้บัญชาการเฉียน
เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้น เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาหยิบโทรศัพท์โทรหาฉินหร่านและเดินออกไปข้างนอก
คราวนี้ฉินหร่านรับโทรศัพท์ด้วยความรวดเร็ว
ลู่จ้าวอิ่งไม่เข้าใจการกระทำของเขา “คุณชายเจวี้ยนไม่กินข้าวแล้วเหรอ?”
เดิมทีผู้บัญชาการห่าวยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่จากการกระทำของเฉิงเจวี้ยนในตอนนี้ ในหัวเขาก็จุดประกายขึ้นมา “มิน่าล่ะ!”
กองกำลังทั้งหมดของผู้บัญชาการเฉียนไม่ใช่กองสืบสวนอาชญากรรมธรรมดา คดีทั่วไปย่อมไม่ต้องตกถึงมือพวกเขา ทว่าผู้บัญชาการห่าวกลับชัดแจ้งอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ฉินหร่าน
ทัศนคติที่ผู้บัญชาการเฉียนมีต่อฉินหร่านนั้นพิเศษมาก
หากการปฏิบัติภารกิจของกองกำลังทั้งหมดเป็นไปเพื่อฉินหร่าน เรื่องนี้ก็ชัดเจนแล้ว
“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่…” ผู้บัญชาการห่าวบ่นพึมพำ
เมื่อได้ยินถึงเรื่องฉินหร่าน ลู่จ้าวอิ่งก็เงยหน้าวางตะเกียบพลันนึกถึงเรื่องฉินหร่านลาขึ้นมาและยังมีเรื่องที่ติดต่อฉินหร่านไม่ได้ในตอนเช้า
“เฉิงมู่ นายเฝ้าห้องพยาบาลให้หน่อย ฉันจะไปหาคุณชายเจวี้ยน” ลู่จ้าวอิ่งเองก็นั่งไม่ติดที่ เขาวางตะเกียบพลางขมวดคิ้วแน่น
เฉิงมู่พยักหน้า
ผู้บัญชาการห่าวคิดได้สักพักก็ตามออกไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาเจียงหุย
แน่นอนว่าตอนนี้คนเหล่านี้ยังไม่ทราบเรื่องที่ผู้บัญชาการเฉียนและพรรคพวกกำลังทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพียงเพราะโรงงานพลาสติกที่เดียว
**
โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่ง
ฉินหร่านกลัวว่าเฉินซูหลานจะสงสัย เธอจึงไม่ไปเยี่ยมเฉินซูหลานแต่ตรงไปที่ห้องหนิงเวย
ตอนที่เธอไป หนิงเวยยังคงเสียบสายน้ำเกลืออยู่
กลุ่มแพทย์ก็กำลังออกตรวจอาการผู้ป่วย
ฉินหร่านยืนอยู่อีกด้าน หลังจากรอให้หมอตรวจเสร็จ เธอก็เดินเข้าไปใกล้ๆพลางกวาดตามองไปทั่วห้อง “มู่หนานล่ะ?”
“เมื่อวานมู่หนานอยู่เป็นเพื่อนน้าทั้งคืน น้าก็เลยให้เขากลับไปแล้ว” หนิงเวยขยับตัวและมองแผ่นหลังของกลุ่มแพทย์เหล่านั้นที่เดินจากไป “หร่านหร่าน หมอพวกนั้น…”
“น้า น้าอย่าโกหกฉัน” ฉินหร่านเม้มปาก เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าว “มู่หนานอยู่บ้านจริงเหรอ?”
“ไม่อยู่บ้านก็อยู่โรงเรียน” หนิงเวยยิ้มเล็กน้อย
โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น ฉินหร่านหยิบมาดูก็พบว่าเป็นผู้บัญชาการเฉียน เธอชำเลืองมองหนิงเวยแต่คราวนี้ไม่ได้หลบเลี่ยง “คุณมาแล้วหรอ”
เธอพูดอยู่ในห้องผู้ป่วยของหนิงเวยไปตรงๆ
หนิงเวยมองฉินหร่านด้วยความร้อนใจ
ภายในเวลาไม่ถึงห้านาที ผู้บัญชาการเฉียนก็ถือแฟ้มคดีผลักประตูเข้ามา
เมื่อคืนได้ยินฉินหร่านพูดถึงเรื่องหนิงเวย ผู้บัญชาการเฉียนก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก พอเขาถามสารทุกข์สุกดิบของหนิงเวยก็พบว่าฉินหร่านเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลบเลี่ยง เขายื่นแฟ้มคดีให้ฉินหร่าน “คุณฉิน นี่คือข้อมูลของโรงงานพลาสติกเหอไห่”
ตูม——
หัวใจหนิงเวยแตกเป็นเสี่ยงๆ
เธอยังไม่ทันคิดเลยว่าฉินหร่านหาโรงงานพลาสติกเหอไห่เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เธอผุดลุกนั่งขึ้นทันที พูดด้วยเสียงแหลมขึ้นเล็กน้อยอย่างร้อนใจ “หร่านหร่านฟังน้า อย่าไป! ผู้จัดการโรงงานต้องการสูตรเพียงใบเดียว แต่น้าไม่ยอมให้ ขาน้าก็เลยหลุดเข้าไปในเครื่องจักรที่สภาพทรุดโทรม เขาแค่เตือนน้า ผู้จัดการโรงงานเรามีคนหนุนหลัง คนอย่างเขา ถึงจะใช้ความผิดพลาดของเครื่องจักรฆ่าคนก็ถือว่าเป็นแค่อุบัติเหตุจากการทำงาน”
“ขานี่เดิมทีก็ใช้การไม่ได้แล้ว ตัดก็ตัด คนจิตใจโหดเ**้ยมอย่างเขาจะต้องไม่ทิ้งหลักฐานไว้แน่ เธออย่าหุนหันพลันแล่นเพราะน้าเลย มันไม่คุ้ม!”
ฉินหร่านฟังเสร็จก็พยักหน้า เธอไม่คิดเลยว่าในอวิ๋นเฉิงจะมีคนโหดเ**้ยมพรรค์นี้ที่ถึงกับใช้ขาหนึ่งข้างเพื่อตักเตือน
เธอเลียริมฝีปากและหันหน้าไปมองผู้บัญชาการเฉียน “ได้ยินแล้วใช่ไหม?”