yanยังไม่ทันได้คิดเสร็จก็มีคนผลักประตูเข้ามาจากด้านนอก
คนที่เข้ามาคือโค้ช ฉินหร่าน และคนอื่นๆ
สมาชิกตัวสำรองคนอื่นๆ และทีมงานของทีมOSTที่อยู่ในห้องพักรับรองต่างก็ลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามารายล้อม
“โค้ช!”
“โค้ช!”
“พวกเราชนะแล้ว!”
ปากยังเรียกโค้ชแต่สายตากลับมองไปทางฉินหร่าน
พวกเขาได้แคปภาพไอดีของฉินหร่านที่อยู่ในโซนหนึ่งมาแชร์ลงในกรุ๊ปเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าในทีมOSTจะมีผู้เล่นเก่าอยู่หลายคน แต่น้อยมากที่จะมีไอดีติดอยู่โซนหนึ่ง อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็เคยได้ยินตำนานโซนหนึ่งมาบ้างแล้ว
ทุกคนล้วนได้ดูที่อี้จี้หมิงให้สัมภาษณ์มาหมดแล้ว
ดังนั้นพวกเขาถึงได้รู้ว่าเธอคือผู้เล่นเก่าของทีมOSTในอดีต ผู้เล่นเก่าเป็นใคร? ! คนนอกอาจจะไม่รู้ แต่พวกเขาซึ่งเป็นคนในทีมOSTกลับรู้ดี
สายตาของแต่ละคนที่มองไปทางฉินหร่านต่างก็พยายามระงับความคลั่งไคล้เอาไว้
ฉินหร่านดึงหมวกเสื้อสเวตเตอร์สีดำลงมาปิดครึ่งหน้าผาก สายตาของเธอกวาดมองไปทั่วทั้งห้องพักรับรองพลางยิ้มอ่อน “ฉันมาหาyan คนอื่นถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปก่อน”
เมื่อโค้ชที่เดินตามหลังเธอมาได้ไม่กี่ก้าวพบว่าคนเหล่านี้เหมือนกำลังยืนอึ้งกันอยู่ เขาก็พูดว่า “ออกไปทั้งหมดเนี่ยแหละ”
พรึ่บ——
ทุกคนพากันกรูออกจากประตูห้องพักรับรองจนได้สติในท้ายที่สุด
“ว้าว เมื่อกี้คือ…คือคนนั้นสินะ?”
“ก็คงจะเป็นเธอ…” มีบางคนค่อยๆ พูดขึ้นมา
ภายในห้อง yanเก็บโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว เขาลุกจากเก้าอี้เกมและกวาดตามองไปที่คนกลุ่มนั้นจนหยุดสายตาไปที่ตัวฉินหร่าน
ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“โค้ช” เขาเรียกโค้ช
โค้ชแค่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ไหนพูดมาซิ” ฉินหร่านไม่ได้นั่งลง เธอแค่พิงกับพนักแขนเก้าอี้เกมอยู่ข้างๆ ประตูพลางขมวดคิ้วมองมาที่yan “ทำไมวางยาหยางเฟย?”
โค้ช อี้จี้หมิงและคนอื่นๆ ล้วนยืนอยู่ข้างหลังฉินหร่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของโค้ช yanไม่ใช่คนโง่ เขาสามารถตระหนักได้ว่าถึงเขาจะทำไม่ดีกับหยางเฟยจริงๆ โค้ชก็จะไม่ปฏิบัติตัวสุภาพขนาดนี้
yanเริ่มหวาดกลัว เขาเม้มริมฝีปาก “เธอพูดอะไร ฉันไม่รู้”
“หอพักจะต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้แน่ๆ ข้าวของของหยางเฟยกำลังเอาไปทดสอบ พอตรวจลายนิ้วมือก็จะรู้เองว่าเป็นฝีมือใคร” ฉินหร่านเอนตัวไปข้างหลังพร้อมกับบีบข้อมือ “คราวนี้มือหยางเฟยได้รับผลกระทบอย่างหนัก ในอนาคตจะไม่สามารถลงแข่งได้อีก ถึงจะมีเงินชดเชยแต่ก็เท่ากับลากไปตายเท่านั้น”
โค้ชคิดเสมอว่าหยางเฟยถูกคนทั่วไปลอบทำร้าย
พอผ่านไปสักพักก็คงจะดีขึ้น
พอตอนนี้ได้ยินที่ฉินหร่านพูด เขาก็เกือบจะพูดไม่ออก “ฉินเสี่ยวหร่าน ? ! เธอ…เธอบอกว่ามือหยางเฟย…”
อี้จี้หมิงหลุบตาลงพลางเดินไปตรงหน้าyan เขาต่อยไปหน้าyanอย่างแรงแทบจะไม่ต้องคิด
ตอนที่เขาหลุบตาลง เขาไม่ได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนกับตอนที่ให้สัมภาษณ์เมื่อครู่นี้ ดวงตาแดงก่ำ ผมสีทองที่ปกติดูเป็นคนไม่เอาไหนและขาดความยับยั้งชั่งใจกลับดูเคร่งขรึมในตอนนี้
“ทำไมต้องทำร้ายเทพพระอาทิตย์ ทำร้ายOSTไปเพื่ออะไร?” เส้นทางของทีมOSTกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนที่ฉินหร่านออกจากทีมก็มีเขากับหยางเฟยที่คอยประคับประคองมาโดยตลอด
ตอนที่อยู่ในทีม อี้จี้หมิงมีภาพลักษณ์ที่ดูเอื่อยเฉื่อยใช้ชีวิตไปวันวัน ซึ่งต่างจากโค้ชและหยางเฟยมานานแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขามีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
พอจะรู้ได้ว่ามือของหยางเฟยอาจจะ…จริงๆ
yanอึ้งไปสักพัก เขาถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว หัวใจเต้นรัว แผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อ “ไม่ เป็นไปไม่ได้ พวกเขาบอกฉันว่ายานั่นแค่ทำให้หยางเฟยลงสนามคืนนี้ไม่ได้เท่านั้น จะลงแข่งต่อไปไม่ได้ได้ยังไง…”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินหร่านก็พยักหน้า เธอลุกจากเก้าอี้แล้วมองมาทางโค้ช “ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของโค้ชแล้ว”
ให้อวิ๋นกวงดูแลเรื่องนี้จะดีกว่า
สำหรับyanคนประเภทนี้ ถึงอวิ๋นกวงจะไม่สอดมือเข้ามายุ่ง แต่ในอนาคตก็คงไม่มีทีมอีสปอร์ตที่ไหนรับเขาไปเล่นด้วยอยู่แล้ว พูดอีกอย่างก็คือหมดอนาคต
โค้ชตอบรับ แต่แผ่นหลังยังชื้นไปด้วยเหงื่อ
หลังจากฉินหร่านไป สายตาเขาก็มองมาทางอี้จี้หมิง “หยางเฟยเขา…เขา..”
“ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ส่งตัวไปให้เพื่อนเทพฉินที่นั่นแล้ว” อี้จี้หมิงเหลือบมองyanด้วยความเกรี้ยวกราด
โค้ชต่อสายหาอวิ๋นกวงกรุ๊ปเพราะเขาต้องการให้ทางบริษัทมาจัดการปัญหาระหว่างหยางเฟยกับyan
โดยเฉพาะหยางเฟย ตามที่อี้จี้หมิงบอกไว้ว่าแม้เขาจะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลก็ตาม ก็ไม่สามารถรักษาได้ ทำได้เพียงให้ทางอวิ๋นกวงหาทางออก
ไม่นานก็มีคนรับสายโค้ช
เป็นเสียงของผู้ช่วย
“มือของเขาอาจมีผลข้างเคียงที่ตามมาอย่างงั้นเหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น เห็นได้ชัดว่าผู้ช่วยอึ้งไปได้สักพัก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่เป็นไรเหรอ? ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? ผมจะให้คนติดต่อประเทศ M…”
โค้ชบอกไปแล้วว่าอยู่กับฉินหร่านที่นั่น จากนั้นก็รีบให้คนไปรับตัวหยางเฟยกลับมา
ทางด้านผู้ช่วยก็ให้คนติดต่อกับคนที่ประเทศ M เมื่อได้ยินตามคำบอกเล่าของโค้ช เขาก็วางสายทันที
“ว่ายังไงบ้าง?” อี้จี้หมิงได้ยินแค่ไม่กี่คำ
เขาเห็นโค้ชวางสายและดูมีท่าทางแปลกๆ จึงถามด้วยความร้อนใจ
โค้ชเก็บโทรศัพท์ “พวกเขาทางนั้นบอกว่า…ที่คุณฉินที่นั่น นั่น…”
ถึงมือหักก็ไม่เป็นไร…
อี้จี้หมิง “…”
ท้ายที่สุดทั้งสองก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับอาการของหยางเฟย จึงวิดีโอคอลไปหาหยางเฟย
หยางเฟยนอนเอนครึ่งตัวบนเก้าอี้ในห้องทดลองของกู้ซีฉือ เขารับสายอี้จี้หมิงพลางยิ้ม “เมื่อคืนพวกนายเล่นได้เจ๋งว่ะ”
โดยเฉพาะฉินหร่าน คำค้นหายอดฮิตบนเวยป๋อช่วงดึกล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉินหร่าน
“อืม ตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง?” อี้จี้หมิงมองไปยังกล้อง เดิมทีเขายังคิดว่าบ้านเพื่อนของฉินหร่านจะเป็นบ้านแบบทั่วไป
แต่ใครจะรู้ว่าหลังกล้องจะเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ทันสมัยที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
อี้จี้หมิงถึงกับสะดุ้ง
นี่บ้านคนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่ห้องทดลองหรอกเหรอ ? !
**
ในเวลาเดียวกัน ฉินหร่านและคนอื่นๆ ก็กลับมาถึงบ้านกู้ซีฉือเรียบร้อยแล้ว
ฉินหร่านเดินตรงไปยังห้องทดลองบนชั้นสาม
หยางเฟยยังคงเอนครึ่งตัวอยู่บนเก้าอี้ผู้ป่วย
เมื่อเห็นว่าฉินหร่านกลับมาแล้ว เขาก็ใช้มือยันเก้าอี้เพื่อรีบลุกขึ้น อารมณ์หม่นหมองเล็กน้อย “เทพฉิน”
ฉินหร่านเหลือบมองเขา หยิบรายงานที่อยู่ข้างๆ เขาขึ้นมาดู เธอไม่เข้าใจรายงานสัพเพเหระที่ใช้ภายในองค์กรการแพทย์ จึงขมวดคิ้วอย่างรำคาญพลางโยนให้เฉิงเจวี้ยนที่อยู่ข้างหลัง
เฉิงเจวี้ยนรับมาอ่านคร่าวๆ พร้อมกับเอนตัวพิงไปทางด้านข้าง
ส่วนกู้ซีฉือกำลังยุ่งอยู่กับหลอดทดลอง
“ไม่ต้องดูแล้ว เพื่อนเธอไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวรอฉันจ่ายยาให้เขาก็ดีขึ้นเอง” กู้ซีฉือวางหลอดทดลองไว้บนชั้นวาง
เขาหยิบกล้องจุลทรรศน์ขึ้นมาและสังเกตจานเพาะเชื้อ
พอได้ยินที่เขาพูด ฉินหร่านก็วางใจได้ ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรมาก
สิ่งที่เฉิงเจวี้ยนพูดในห้องพักรับรองตอนแรกๆ นั้นดูน่ากลัวเล็กน้อย
พอเฉิงเจวี้ยนอ่านเสร็จก็ยกมือโยนรายงานไปบนโต๊ะ เหมือนเขารู้ว่าฉินหร่านกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่พอใจที่เธอแคลงใจในตัวเขา “ฉันไม่ใช่กระต่ายตื่นตูม”
หยางเฟยก็อยู่ที่นี่กับกู้ซีฉือ เพราะไม่อย่างงั้นหากไปอยู่กับคนอื่นที่นั่นตามอำเภอใจ ก็เป็นการยากที่จะบอกว่ามือคู่นี้จะสามารถเล่นเกมได้ต่อไปหรือไม่
ฉินหร่านยกมือแตะจมูกพลางก้มหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
มีคนต่อสายวิดีโอคอลมาที่คอมพิวเตอร์ที่อยู่กลางห้องทดลองอีกครั้ง
กู้ซีฉือถือกล้องจุลทรรศน์และกำลังเดินไปที่เครื่องมืออีกเครื่อง ในเวลานี้เขาต้องหันกลับไปรับสายวิดีโอคอล
เจียงตงเย่ที่เดิมทีกำลังนั่งเลื่อนดูเวยป๋ออยู่ข้างๆ หยางเฟยอย่างสงบและกำลังใช้สายตาเพ่งความสนใจอยู่ทางนี้ก็รีบลุกขึ้นทันที “พี่กู้ อย่าขยับ ผมเอง!”
เขาเข้าไปรับกล้องจุลทรรศน์ที่อยู่ในมือกู้ซีฉือไปไว้บนเครื่องมืออีกเครื่อง
กู้ซีฉือถอดถุงมือแพทย์แล้วกดรับสาย
“เสี่ยวฉือ แน่ใจนะว่ารายงานของพวกนายจะแถลงการณ์วันพรุ่งนี้?” วิดีโอปลายสายยังคงเป็นใบหน้าของชายแก่แห่งองค์กรการแพทย์ เขาหยิบรายการขึ้นมาหนึ่งแผ่นพลางดันกรอบแว่นตา
“รีบๆ ส่งล่ะ เดือนนี้ก็อย่ามาให้ฉันวิจัยอย่างอื่นอีกนะ!” กู้ซีฉือหรี่ตาอย่างร้ายกาจ
ชายแก่เริ่มโมโห “เจ้าศิษย์เลว…”
เมื่อเฉิงเจวี้ยนเห็นว่าฉินหร่านไม่มองเขา ก็สอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงและเดินมาอย่างช้าๆ น้ำเสียงเนิบนาบ “อ้อ ไม่ต้องลงชื่อผม ”
“ศิษย์รัก นายก็อยู่ด้วย” เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยน ชายแก่ก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเป็นมิตรทันทีและเก็บสีหน้าดุๆ “คราวนี้จะไม่ลงชื่ออีกแล้วเหรอ?”
ช่วงแรกๆ เฉิงเจวี้ยนได้ทำวิจัยร่วมกับบุคลากรในองค์กรการแพทย์มาไม่น้อย แน่นอนว่าปกติเขามักจะพูดโดยไม่ยั้งคิด
จึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนแย่งกันติดตามเขาเพื่อทำการทดลอง
นักศึกษากลุ่มแรก มีนักศึกษาประเทศจีนมากกว่าครึ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเฉิงเจวี้ยนในการทำวิจัยจบการศึกษา
แต่เขาก็ไม่เคยลงชื่อมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เฉิงเจวี้ยนตอบ “อืม” อย่างไม่ใส่ใจ เขายื่นมือออกไปรับรายงานที่กู้ซีฉือพิมพ์ไว้เมื่อคืน ก้มอ่าน
ชายแก่ในวิดีโอหาปากกาเจอก็ขีดฆ่าชื่อเฉิงเจวี้ยน
ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ศิษย์เลว นายได้คุยกับลูกพี่ใหญ่คนนั้นเรื่องเงินทุนสนับสนุนหรือยัง? ฉันจะบอกนายว่าองค์กรการแพทย์ของเราจนถึงขนาดจะไม่มีเงินกองกลางใช้แล้วนะ…”
เขาเงยหน้ามองกู้ซีฉือและเริ่มเล่าความทุกข์ระทมออกมา
หลังจากกู้ซีฉือกับชายแก่นัดแนะเวลากันเรียบร้อยแล้วก็หันไปเตรียมยาให้หยางเฟย
พอได้ยินที่ชายแก่พูด เขาก็เอียงตัวพลางขมวดคิ้ว “ไม่รู้สิ คืนนี้ผมจะลองติดต่อดูเป็นไง?”
ลูกพี่ใหญ่คนนั้นค่อนข้างลึกลับซับซ้อน แม้ทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน กู้ซีฉือก็ไม่สามารถตามหาเขาได้ตามอำเภอใจ
นอกจากแมทธิวแล้ว ทั้งสองก็ปกปิดคำบอกเล่าอื่นๆ ที่เกี่ยวกับลูกพี่ใหญ่ของกู้ซีฉือ น้อยมากที่กู้ซีฉือจะได้เจอ…
เฉิงเจวี้ยนกำลังยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำจากถาดของเสี่ยวเอ้อร์มาดื่ม แต่พอได้ยินประโยคนี้ก็เลิกคิ้วอย่างสุขุม
กู้ซีฉือจัดยาให้หยางเฟยเสร็จแล้วก็เอาให้เขากิน
“เสี่ยวเอ้อร์ น้ำ” กู้ซีฉือดีดนิ้ว
เสี่ยวเอ้อร์มาพร้อมกับน้ำอีกหนึ่งแก้ว
หยางเฟยไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน แต่ตอนที่เข้ามาเหยียบบ้านกู้ซีฉือก็ทำให้เขาประหลาดใจทุกวินาที
ขณะที่เขากลืนยาตามด้วยน้ำ หยางเฟยก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่เสี่ยวเอ้อร์ “หุ่นยนต์ตัวนี้คุณซื้อมาจากที่ไหน?”
เขาก็อยากซื้อสักตัว
ก่อนหน้านี้เจียงตงเย่เองก็คิดจะถามกู้ซีฉือเรื่องเสี่ยวเอ้อร์อยู่เหมือนกัน
เขาเตรียมจะกลับเมืองหลวงเพื่อทำห้องโถงฉบับคนขี้เกียจโดยทำเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด พอได้ยินหยางเฟยถาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาฟังหูผึ่ง
เมื่อกู้ซีฉือที่พับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเพื่อทำการตรวจให้หยางเฟยอย่างจริงจังได้ยินดังนั้น เขาก็พูดอย่างคลุมเครือ “ซื้อไม่ได้หรอก มันถูกทำมาโดยเฉพาะ”
อีกด้านหนึ่ง ฉินหร่านวางแก้วลงและพูดเรียบๆ “พวกคุณคุยกันไปก่อน ฉันจะกลับไปนอน”
**
ตอนกลางคืน
ฉินหร่านอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่กำลังเช็ดผมก็หยิบโน๊ตบุ๊กออกมาจากกระเป๋าเป้ พอเธอเปิดดูก็พบว่าเป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว
ช่วงนี้เธอไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แม้ตอนเช้าจะโทรหาเฉินซูหลานแล้ว แต่ก็ยังอยากวิดีโอคอลกับเฉินซูหลานอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าเฉินซูหลานยังสบายดี
อย่างไรก็ตามพอเห็นเวลาตอนนี้แล้ว เธอก็ได้แต่วางโน๊ตบุ๊กลง
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็พบว่าอี้จี้หมิงส่งเว็บไซต์ทางการของทีมOSTมาให้เธอผ่านทางวีแชท
ฉินหร่านคลิกไปที่ลิงก์
เธอติดตามเว็บไซต์ทางการโดยอัตโนมัติ ดูเหมือนว่ามันจะถูกแชร์ลงบนฟีดวีแชท
เธอไม่ทันได้ดูก็มีคนเคาะที่ประตูสามที
มีมารยาทและเป็นสุภาพบุรุษมาก
ผมของฉินหร่านแห้งเพียงครึ่งเดียว บ้านของกู้ซีฉือมีอุณหภูมิคงที่ที่ยี่สิบสี่องศาตลอดทั้งปี เธอโยนผ้าขนหนูทิ้งแล้วเดินไปเปิดประตู
เฉิงเจวี้ยนอยู่ข้างนอก
เขาเอนกายพิงกรอบประตู ก้มหัวเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาก็ถึงจะเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยพลางมองมาทางฉินหร่าน ดวงตาสีมะฮอกกานีคู่นั้นเป็นประกายราวกับสะท้อนแสงรอยยิ้มนุ่มละมุน พอต้องแสงไฟก็ดูอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด
ฉินหร่านกระแอมเสียงและเงียบไปสักพัก
“หืม…” เฉิงเจวี้ยนยิ้ม เขายังไม่เปลี่ยนท่าแต่เอียงศีรษะลงครึ่งหนึ่ง ยิ้มมุมปากอย่างเรียบๆ “ฉันมาฟังเธออธิบาย เทพฉิน”
ฉินหร่าน “…”
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เบี่ยงไปด้านข้าง “เข้ามาคุยกันก่อนสิ”
“ครั้งแรกที่ล็อกอินเข้าไอดีฉัน เธอก็จำได้เลยงั้นสิ” เฉิงเจวี้ยนนั่งบนโซฟาพลางชูนิ้วขาวข้างหนึ่งเหมือนจะถามส่งๆ
เมื่อฉินหร่านที่กำลังรินน้ำให้ตัวเองกับเฉิงเจวี้ยนได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงอย่างยอมแพ้ “ใช่”
เดิมทีเธอยังคิดว่าหลังจากที่ถามเรื่องพวกนี้แล้ว เฉิงเจวี้ยนจะต้องถามเธอเรื่องเมื่อสามปีก่อนแน่ๆ เธอจึงบีบแก้วพลางคิดหาวิธีรับมือ
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพอถามคำถามนี้จบ เฉิงเจวี้ยนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาดื่มน้ำจนหมดแก้วและยืนขึ้นเตรียมเดินจะออกไป
ฉินหร่านวางแก้วด้วยความตกใจ เธอผงะไปสักพักก็ลุกขึ้นตามไป
เฉิงเจวี้ยนเปิดประตูและเหยียบขาออกไปแค่ข้างเดียว จู่ๆ เขาก็หันกลับมาพร้อมกับเอื้อมมือมากอดฉินหร่านไว้สักพัก
ไฟในห้องไม่ค่อยสว่างมาก เสียงเฉิงเจวี้ยนทั้งเบาและช้าและยังแฝงไปด้วยเสียงแหบพร่าเล็กน้อย แทบจะกัดฟันเพื่อพยายามปิดบังความรู้สึกบางอย่าง “ฉันรอเธอมาสามวันแล้ว!”
“ปัง!”
ประตูถูกปิดลง
ฉินหร่านยืนอยู่กับที่ด้วยความมึนงง
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เงยหน้าขึ้น เดินช้าๆ ไปที่โซฟาและนั่งลงบนโซฟา
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะสว่างขึ้น
ฉินหร่านไม่สนใจมัน
สว่างขึ้นมาอีกครั้ง
ฉินหร่านยื่นมือไปหยิบมันมา เป็นข้อความจากเหยียนซี——
(ภาพหน้าจอ)
ภาพแรกเป็นภาพที่ถูกแคปมาจากฟีด ด้านบนเป็นชื่อเว็บไซต์ทางการของทีมOSTที่เธอแชร์และด้านล่างเป็นถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ในเซี่ยงไฮ้
เหยียนซี——
(ว่าไงพวก อยู่เซี่ยงไฮ้เหมือนกันเหรอ มาเจอกันหน่อยเป็นไง?)