พ่อบ้านเฉิงส่งจิตแพทย์ออกไปแล้วกลับเข้ามา มองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง จากนั้นถามว่าเขาจะขึ้นไปพักผ่อนหรือไม่
เฉิงเจวี้ยนก้มศีรษะลง ยกมือขึ้นนวดขมับเล็กน้อย “ไม่ละ คุณช่วยขึ้นไปยกโน้ตบุ๊กในห้องหนังสือมาให้ผมหน่อย”
พ่อบ้านเฉิงเม้มปาก อยากถามว่า คุณเองก็ไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว
แต่เมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยของเฉิงเจวี้ยน ก็กลืนคำพูดลงไป หยิบโน้ตบุ๊กของเฉิงเจวี้ยนลงมาให้
เฉิงเจวี้ยนเปิดโน้ตบุ๊ค จากนั้นใส่หูฟัง สั่งให้พ่อบ้านไปชงชามาให้ถ้วยหนึ่ง
เขาดื่มชาอึกหนึ่ง วางถ้วยชาลงข้างๆ มือกดปุ่มเชื่อมต่อ เพียงครู่เดียว บนหน้าจอก็มีใบหน้าลูกครึ่งของเฉิงสุ่ยปรากฏขึ้นมา
“นายท่าน” เฉิงสุ่ยในวิดีโอก้มหัวเล็กน้อย ถอยหลังหนึ่งก้าว น้ำเสียงยังคงนอบน้อม
เฉิงเจวี้ยนกดเสียงให้ต่ำที่สุด ขานรับอย่างไม่ใส่ใจ แสงไฟเหนือศีรษะสาดส่องใบหน้าอันคมสัน ทำให้มีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้น “ช่วงนี้ที่รัฐ M มีอะไรผิดปกติไหม”
“พวกเจ้าหน้าที่สากลไม่ได้เพิ่งจะมาจับคุณวันสองวันนี้ แล้วก็…แอนดรูว์พ่อค้าสลัมนั่นก็นั่งไม่ติดเลย ตระกูลมาสเพิ่งปล้นสินค้าของพวกเราเมื่อสองวันก่อน…” นี่เป็นเรื่องปกติของฝั่งเฉิงสุ่ย เพราะทำงานสายนี้ ในมือกุมชีพจรเศรษฐกิจที่เทียบเคียงประเทศเล็กๆ เลยก็ว่าได้
มีคนจับตามอง เป็นเรื่องปกติ
แม้แต่ตระกูลเก่าแก่เหล่านั้นก็อยากได้ส่วนแบ่งอย่างอดไม่ได้
แต่คิดอยากจะได้ส่วนแบ่งจากมือเฉิงเจวี้ยนนั้น เป็นเรื่องยาก
“อืม” เฉิงเจวี้ยนจดจ้องอย่างไม่ใส่ใจ เขาหลุบตาลงดื่มชาจนพอประมาณแล้ว เงยหน้าขึ้นพูดอย่างเชื่องช้าว่า “สนุกหรือเปล่า”
“หือ?”
เฉิงสุ่ยไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เงยศีรษะขึ้น มองเฉิงเจวี้ยนอย่างฉงนสนเท่ห์
เฉิงเจวี้ยนไม่สนใจเขา เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตายังคงเย็นเยือก ยิ้มเยาะเบาๆ พูดเสียงเบาคล้ายพึมพำว่า “คนเยอะขนาดนี้ ต้องสนุกแน่ๆ เลย”
เมื่อเขานึกถึงคำพูดที่จิตแพทย์บอกเขาก็อดหรี่ตาลงไม่ได้
ฉินหร่านต่อต้านเมืองหลวง และคนของสถาบันวิจัยพวกนั้น ตอนนี้เฉินซูหลานเพิ่งจากไป ไปเมืองหลวงต้องไม่เหมาะสมเป็นแน่
เหมือนว่าจะมีแค่รัฐ M ที่ดูจะคึกคักอยู่บ้าง
มือของเฉิงเจวี้ยนสาละวนอยู่กับโน้ตบุ๊ก องค์กรแพทย์สากลก็อยู่ที่นั่น กู้ซีฉือกับเจียงตงเย่ก็บินไปที่องค์กรแพทย์สากลเมื่อบ่ายวันนี้
คิดได้ดังนั้น เขาก็กวักมือเรียกเฉิงมู่
เฉิงมู่วางธุระในมือลง “ครับท่านเจวี้ยน”
“นายไปโรงเรียน” เฉิงเจวี้ยนก้มหน้า กระแอมไอ แต่เสียงยังคงแหบพร่าเล็กน้อย “ลาให้เธอที”
เธอในที่นี้หมายถึงใคร ไม่ต้องบอกก็รู้
เฉิงมู่พยักหน้า ถามว่า “นานแค่ไหน”
“ถึง…ช่วงใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็แล้วกัน” เฉิงเจวี้ยนหรี่ตา คิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นพูดว่า “ยังไม่รู้เวลาที่แน่นอน”
เพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาด ลาหยุดจนถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีกว่า
เขาเคยศึกษาข้อสอบครั้งที่แล้วของฉินหร่านอย่างละเอียดแล้ว ทำคะแนนเต็มภายใต้ความยากระดับนี้ ฉินหร่านไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในโรงเรียน
ส่วนวิชาฟิสิกส์ เฉิงเจวี้ยนเองก็รู้ดี
เพิ่งเคยเห็นการกระทำแสนเท่อย่างนักเรียนมัธยมปลายปีสามขอลาครึ่งเทอมครั้งแรก เฉิงมู่นิ่งไปพักหนึ่ง “ครับ”
เขาหันหลัง จะเดินออกไป
“เดี๋ยว” เฉิงเจวี้ยนวางโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะ นึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ ช้อนตาขึ้น น้ำเสียงสบายๆ “สมุดคัดลายมือในห้องพยาบาล เอากลับมาให้หมด”
อ้อ สมุดคัดลายมือของไต้ซือเจียงน่ะเหรอ
เฉิงมู่พยักหน้าอย่างเข้าใจด้วยความเหนื่อยใจอีกครั้ง
พ่อบ้านเฉิงก็ได้ยินคำสั่งของเฉิงเจวี้ยนเช่นกัน เขาตามเฉิงมู่ออกมาด้วยความวิตกกังวล “เฉิงมู่ คุณชายให้คุณหนูฉินลาหยุดยาวขนาดนั้นจะไม่เป็นไรเหรอ ยังเหลืออีกร้อยกว่าวัน ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะทำยังไง”
เมื่อได้ยินพ่อบ้านเฉิงพูดเช่นนี้ เฉิงมู่ก็เพิ่งนึกออกว่า พ่อบ้านเฉิงไม่รู้เรื่องที่ฉินหร่านติดยี่สิบอันดับแรกของเมืองด้วยฟิสิกส์ศูนย์คะแนน
ไม่เพียงเท่านี้ ทั้งเรื่องของอาจารย์เว่ย กู้ซีฉือ พ่อบ้านเฉิงก็ไม่รู้เช่นกัน
เฉิงมู่เคยเห็นพ่อบ้านเฉิงจดไว้ในสมุดบันทึกเล่มเล็กว่า จะดูแลคุณหนูฉินอย่างไร แถมเขายังสวมแว่นตา โทรไปสอบถามคนที่เมืองหลวงอย่างจริงจังอีกด้วย…
จู่ๆ เฉิงมู่ก็ยืดอก เขามองพ่อบ้านเฉิงด้วยสายตาลุ่มลึกคาดเดายาก จากนั้นหยิบกุญแจรถ เชิดหน้าเดินออกจากประตูคฤหาสน์
…
ในขณะเดียวกัน
พวกมู่หยิงก็กลับถึงบ้านแล้ว
สุขภาพร่างกายของหนิงเวยไม่สู้ดี มู่หนานจึงให้หนิงเวยกลับไปพักที่ห้องก่อน
เขาเข้าไปหุงข้าวในครัว และเคี่ยวซุปเพิ่มอีกอย่าง
ขาของหนิงเวยยังไม่หายดี และสองวันนี้ก็ทำให้ตัวเองแย่ลง มู่หนานไม่พูดอะไรเลย แต่กลับจดจำไว้ในใจ
เมื่อคำนวณเวลาแล้ว เขาก็หันหลังเตรียมจะกลับไปเขียนงานแปลในห้อง แต่เพิ่งเดินได้ก้าวเดียว ก็เห็นมู่หยิงยืนอยู่หน้าประตู
ใบหน้าของเขาเย็นชาเสมอมา แต่หลายวันนี้มันเย็นเยือกกว่าเดิม มองไม่เห็นรอยยิ้มอบอุ่นใดเลย
มู่หยิงกลัวที่เขาเป็นแบบนี้ยิ่งนัก แต่ยังคงยืนขวางมู่หนานตรงประตูห้องครัว
“คุณยายก็จากไปแล้ว นายก็อย่าเสียใจนักเลย…” มู่หยิงจ้องดวงตาดำขลับของมู่หนาน เริ่มพูดไม่ออกแล้ว “เพื่อนๆ ของพี่ฉินหร่าน นายรู้จักมานานแล้วเหรอ”
เธอไม่กล้าพูดอะไรอีก จึงโพล่งถามขึ้นมา
ขากลับรถเบนซ์สีดำคันหนึ่งมาส่งพวกเขาที่บ้าน คนขับรถเป็นการ์ดสวมสูทสีดำคนหนึ่ง
ท่าทางดูสนิทสนมกับมู่หนานมาก พูดคุยกับมู่หนานตั้งหลายประโยค
สิ่งที่มู่หยิงสังเกตเห็นไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ก่อนกลับวันนี้ ผู้เฒ่าหลินก็เป็นคนส่งพวกเขาด้วยตัวเอง
หากว่าเป็นที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย
มู่หยิงไม่ได้โง่ ย่อมรู้ดีว่าเมื่อก่อนสกุลหลินมองครอบครัวตัวเองอย่างไร
อากัปกิริยาของสกุลหลินในวันนี้ มู่หยิงรู้ดีว่า ผู้เฒ่าหลินทำตัวอ้อมค้อม เขาไม่ได้ต้องการส่งคนอื่น แต่ส่งมู่หนานเพียงคนเดียว เพราะวันนี้…เฟิงโหลวเฉิง อาจารย์ใหญ่สวีล้วนแต่คุยกับมู่หนาน
แล้วก็คุณอาเจียงคนนั้นด้วย…
อาจารย์เว่ยกับอาจารย์ใหญ่สวี…
มู่หยิงรู้จักฉินหร่านมานานหลายปี ไม่เคยรู้เลยว่าฉินหร่านรู้จักผู้มีอิทธิพลมากมายเช่นนี้
หากรู้แต่แรก มู่หยิงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เริ่มตระหนักได้แล้วว่า พี่สาวคนนี้ของเธอไม่เหมือนเดิม แตกต่างจากความทรงจำของเธออย่างสิ้นเชิง
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องบัตรเข้างาน ใจของเธอก็หนักอึ้งอีกครั้ง
มู่หนานไม่ตอบคำถามเธอ ดวงตามองตรง ก้นบึ้งของดวงตาเย็นเยียบ เสียงทั้งเรียบและเฉยชา “หลีกไป”
เสียงนี้ ทำให้ใจของมู่หยิงกระตุก เผลอถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
มู่หนานเบี่ยงตัวเดินออกไป กลับห้องของตัวเอง
มู่หยิงยืนอยู่ที่เดิม เม้มปาก หน้าถมึงทึง กลับห้องของตัวเองด้วยเช่นกัน
เธอไม่มีอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน และไม่ได้เข้านอน แต่ก้มหน้าจ้องมือถืออยู่นานสองนาน เปิดวีแชทของฉินอวี่แล้วส่งข้อความให้เธอ
…
ณ รัฐ M
ฉินอวี่สวมชุดราตรี ในมือถือแก้วไวน์ เดินตามหลังไต้หราน ค่ำคืนนี้ได้เจอยอดฝีมือของวงการไวโอลินเยอะเลยทีเดียว
คนกลุ่มหนึ่งรุมล้อมชายวัยกลางคนผมทองตาฟ้าไว้หนวดเคราคนหนึ่งอยู่ไม่ไกล
เครื่องหน้าของชายคนนั้นคมคาย ออร่าแตกต่างจากนักไวโอลินภายในงานแลกเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกกดดัน
“อาจารย์คะ เขาเป็นใครเหรอ” ฉินอวี่เห็นว่าอาจารย์ที่ไต้หรานพาเธอไปทำความรู้จักที่สมาคมไวโอลินสากลเมื่อครู่นี้ เขาก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ก็ตกใจไม่น้อยเลย
อดสงสัยในตัวชายวัยกลางคนผมทองตาฟ้าคนนั้นไม่ได้
“คนนั้นคือพ่อบ้านมาส” ไต้หรานกดเสียงต่ำ ในดวงตาทอความปรารถนาอย่างปิดไม่มิด “ราชนิกุลของรัฐ M แต่ละปีจะเชิญนักดนตรีหลวงจากวิทยาลัยนานาชาติมาหนึ่งคน หากได้รับการยอมรับจากพ่อบ้านมาส ก็ถือเป็นสัญลักษณ์ของฝีมือและชื่อเสียง”
อาจารย์เว่ยก็เคยถูกเชื้อเชิญมาเช่นกัน แต่เสียดายที่เขาปฏิเสธ
“ถนนเส้นข้างๆ เป็นโรงละครของรัฐ M เป็นโรงละครเก่าแก่ที่สุดที่สืบทอดกันมาของตระกูลมาส” เขาชี้ไปฝั่งตรงข้าม “ชีวิตนี้หากเธอได้แสดงดนตรีเดี่ยวที่นี่ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว”
แม้แต่ตัวไต้หรานเองก็ไม่เคยมีโอกาส
“ฤดูร้อนปีหน้า ถ้าเธอผ่านการทดสอบ กลายเป็นสมาชิกอันดับหนึ่งของสมาคมเมืองหลวง…” พูดถึงตรงนี้ ไต้หรานก็ส่ายหน้าไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่มองฉินอวี่ บอกให้เธอพยายามให้ดี
เมื่อฉินอวี่ได้ยินคำพูดของไต้หราน ก็อดก้มหน้าดื่มไวน์ สะกดกลั้นอารมณ์ว้าวุ่นภายในใจไม่ได้
หากไม่ก้าวออกมา ไม่ออกจากแผ่นดินอันคับแคบของเมืองอวิ๋นเฉิง จะรู้ได้อย่างไรว่าโลกกว้างใหญ่เพียงไหน
เมืองหลวงยากแท้หยั่งถึง บุคคลมากฝีมือเร้นกาย สกุลเสิ่นเป็นแค่ปลาตัวเล็กกระจ้อยร่อยในผืนมหาสมุทรอย่างเมืองหลวง
ยิ่งรัฐ M แล้ว…เป็นระดับที่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีทางเอื้อมถึง
ที่ตามไต้หรานมารัฐ M ครั้งนี้ เธอหดหู่ใจยิ่งนัก ระหว่างนี้เธอลืมเรื่องที่คุณยายจากไปเสียสนิท
เธออดนึกถึงอาจารย์เว่ยไม่ได้ ยิ่งอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ฉินอวี่ก็ยิ่งรู้สึกว่า ความแตกต่างระหว่างอาจารย์เว่ยกับไต้หรานทดแทนกันไม่ได้จริงๆ…
เธอมองชาวต่างชาติวัยกลางคนที่ถูกผู้คนรุมล้อมแล้วทอดถอนหายใจ จากนั้นก็วางแก้วไวน์ลงตรงดิ่งไปห้องน้ำ
วางกระเป๋าคลัทช์ในมือลงแล้วก้มตัวลงล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
เมื่อล้างหน้าเสร็จ มือถือในกระเป๋าก็แผดเสียง
ฉินอวี่เปิดกระเป๋า หยิบมือถือออกมาดู เป็นข้อความจากมู่หยิง ด้านบนเขียนไว้ว่า
‘พี่รอง ฉันเจออาจารย์เว่ยในงานศพของคุณยายวันนี้’
Related