หลังจากได้ยินคำพูดของนายท่านเฉิง
พ่อบ้านเฉิง “…”
เขาเปิดประตูลงจากรถเงียบๆ
นายท่านเฉิงชั่วขณะหนึ่งไม่ได้สนใจว่าพ่อบ้านจะตอบหรือเปล่า กำลังจดจ่อกับความคิดของตัวเอง
พวกเฉิงเจวี้ยนก้าวลงจากรถ เขายืนอยู่หน้าประตู ถือโทรศัพท์มือถือ สีหน้าเอื่อยเฉื่อย
ไม่รู้ว่าเขาดูข้อความอะไรในโทรศัพท์มือถือ มุมปากมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง ใบหน้าดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
นายท่านเฉิงลงจากรถแล้วก็ละล้าละลัง เอามือไพล่หลัง เริ่มมองทิวทัศน์รอบด้าน “พวกเธอเข้าไปก่อน ไม่ต้องรอฉัน ฉันจะเดินเล่นข้างนอก”
“ครับ” เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า แล้วหันสายตาไปที่พ่อบ้านเฉิงอย่างว่านอนสอนง่าย “คุณไปอยู่เป็นเพื่อนเขาเถอะ”
พ่อบ้านเฉิงพยักหน้ารับคำ
รอจนเฉิงเจวี้ยนเข้าไปแล้ว นายท่านเฉิงจึงได้มองไปที่พ่อบ้าน เขาปล่อยมือลงแล้วยื่นออกไปจัดระเบียบคอเสื้ออย่างใจเย็น
พ่อบ้านรีบตอบ “ชุดของนายท่านเป็นดีไซน์ใหม่ของห้องเสื้อ L ใช่ไหมครับ ใส่แล้วดูมีราศีมากเลยครับ”
“อย่างนั้นเหรอ” นายท่านเฉิงเลิกคิ้ว แล้วยื่นมือไปลูบแขนเสื้อให้เรียบ จากนั้นก็เดินไปที่ประตูใหญ่อย่างช้าๆ สีหน้าสุขุมเคร่งขรึม
พ่อบ้านเฉิงตามอยู่หลังเขา สีหน้ายากจะอธิบาย
ในห้องโถงคฤหาสน์ ฉินหร่านกำลังเล่นเกมอยู่กับลู่จ้าวอิ่ง
ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกันอยู่ข้างโต๊ะ โต๊ะตัวนี้คือโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่เฉิงเจวี้ยนให้คนไปย้ายกลับมาโดยเฉพาะ เป็นทรงสี่เหลี่ยม นั่งประชันหน้าเล่นเกมได้อารมณ์อย่างยิ่ง
ฉินหร่านหันหน้าไปทางประตูใหญ่ เธอสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว กางเกงยีนสีดำ ยังสวมรองเท้าแตะอีกคู่หนึ่ง นั่งไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งจับเมาส์ มืออีกข้างกดคีย์บอร์ด ผมเพิ่งจะสระเสร็จ จึงแหวกเอาไว้พอประมาณ ดูแล้วกระเซอะกระเซิงอยู่เล็กน้อย
“ฉินเสี่ยวหร่านช่วยฉันหน่อยๆ”
“เฮ้ยๆ ตายๆ แม่งอ๊ย!”
“โอ๊ยยย ตายแน่”
ตลอดเกมลู่จ้าวอิ่งที่อยู่ตรงหน้ากำลังคลุ้มคลั่งและดุดัน
ฉินหร่านยิ้ม ควบคุมเกมอย่างสบายอารมณ์ ผมสีดำขลับเลื่อนผ่านแก้ม น้ำเสียงของเธอสบายอารมณ์ “ไม่ต้องตื่นตูม เดี๋ยวจัดให้”
เฉิงเจวี้ยนไปยกน้ำมาจากห้องครัว
นายท่านเฉิงที่เพิ่งเดินเข้าประตูใหญ่มาได้ยินคำพูดนี้แล้ว “…”
เพิ่งจบไปหนึ่งเกม ลู่จ้าวอิ่งก็ถามเฉิงเจวี้ยนว่าจะเข้าร่วมทีมสามคนไหม เห็นสีหน้าเฉิงเจวี้ยนดูผิดปกติ เขาก็มองไปด้านหลังแวบหนึ่ง
ทันทีที่เห็น ลู่จ้าวอิ่งก็ตกใจจนแทบร่วงลงจากเก้าอี้
เมาส์ที่อยู่ในมือเขาสั่นคลอน ร่วงหล่นลงพื้นดัง “ตุบ” “น…นายท่านเฉิง”
คนผู้นี้เป็นบุคคลที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่านายท่านใหญ่ของบ้านพวกเขา ลู่จ้าวอิ่งลุกขึ้นยืน เก็บไม้เก็บมือยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
นายท่านเฉิงมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “อืม” สีหน้าเรียบเฉย
ใบหน้าเขาเคร่งขรึม รูปลักษณ์เช่นนี้ชวนให้คนรู้สึกกลัว
ลู่จ้าวอิ่งไม่กล้าพูดแม้เพียงคำเดียว
ฉินหร่านหันความสนใจออกจากคอมพิวเตอร์ เธอไม่รู้จักนายท่านใหญ่แห่งตระกูลเฉิง เพียงแต่พอรู้ว่าน่าจะเป็นคนที่เฉิงเจวี้ยนไปรับมา
เธอจึงลุกขึ้น แล้วมองไปที่เฉิงเจวี้ยนด้านข้างทีหนึ่ง
เฉิงเจวี้ยนเอาแก้วน้ำวางข้างมือเธอ แล้วพูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ “ขอแนะนำหน่อย นี่คือพ่อของฉัน”
จากนั้นก็เดินไปข้างตัวนายท่านใหญ่ แล้วยื่นแก้วให้กับเขา “เข้ามาสิครับ อย่ายืนขวางประตู บังทางพ่อบ้านเขา ”
นายท่านเฉิงไม่ขยับตัว
เขากับฉินหร่าน ต่างคนต่างถือแก้วชาในมือคนละแก้ว มองหน้ากันและกัน
ทางสองฝ่ายทักทายกันอย่างทื่อๆ
“กินอะไรก่อนเถอะ” เฉิงเจวี้ยนให้คนยกถ้วยซุปข้นออกมา จากนั้นก็มองไปยังนายท่านเฉิง “ยาบำรุงตอนเช้าครับ”
นายท่านเฉิงจึงนั่งลงที่หน้าโต๊ะอาหารแล้วลงมือกิน
แต่สายตากลับจับจ้องไปที่เฉิงเจวี้ยนและฉินหร่าน
หลังจากเฉิงเจวี้ยนยกยาไปให้นายท่านเฉิง ก็มองไปยังฉินหร่าน แล้วถามเธอเบาๆ ว่าเช้านี้กินอะไร
“เอ่อ” ฉินหร่านตอบเสียงเงียบ “คุณอย่าเพิ่งคุยกับฉัน”
เฉิงเจวี้ยนเงียบ
ฉินหร่านวางมือหลังท้ายทอย “ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณ”
เฉิงเจวี้ยน “…”
เขาเอามือกดหว่างคิ้ว
เสียงทั้งสองคนคุยกันถึงแม้ว่าจะเบาเป็นอย่างมาก แต่มือที่ถือช้อนของนายท่านเฉิงที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารกลับหยุดขึ้นมากะทันหัน
เขามองทั้งสองคน หนึ่งทีอย่างเงียบๆ
สักครู่ใหญ่หลังจากนั้น เขาจึงกินยาหมด แล้วรับผ้าเช็ดปากลายตารางมาจากพ่อบ้าน เช็ดที่มุมปากและกลางฝ่ามือ แล้วจึงพูดอย่างน่าเกรงขามว่า “เอาละ ไม่ต้องมองฉันแล้ว พ่อบ้าน พาฉันขึ้นไปดูห้องที่ชั้นบนที”
พ่อบ้านเฉิงพาเขาขึ้นชั้นบนไป
หลังจากทั้งสองเดินขึ้นชั้นบนไป ลู่จ้าวอิ่งก็ปาดเหงื่อ แล้วพยายามรวบรวมความกล้ามองไปที่เฉิงเจวี้ยน แล้วเอ่ยปากขึ้นเบาๆ “คุณชายเจวี้ยน นายท่านเฉิงมาได้อย่างไรกัน”
เฉิงเจวี้ยนมองไปที่ฉินหร่านหนึ่งที อีกฝ่ายหนึ่งยังคงเอามือไว้ที่ท้ายทอย เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย “มาชมทิวทัศน์”
**
ที่ชั้นบน เมื่อปิดประตูห้องลง นายท่านเฉิงก็หยิบโทรศัพท์มือถือออก ผ่อนคลายสีหน้า “เจ้าราชามารร้ายนั่น ในที่สุดก็เจอคู่ปรับแล้วงั้นสิ”
พ่อบ้านตระกูลเฉิงทันทีที่เห็นสีหน้าของเขา ก็รู้ได้ทันทีว่านายท่านใหญ่รู้สึกพอใจอย่างมากต่อคุณหนูฉินหร่าน
เขายิ้ม “คงจะไม่ใช่หรอก”
คุณหนูฉินเอาตามตรงวางมาดเสียยิ่งกว่าคุณชายสามเสียอีก
ทั้งสองคนนี้ หากมาที่เมืองหลวง คงจะสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว
นายท่านเฉิงกลับไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขาก้มหน้าลง แล้วกดโทรออกหมายเลขที่โทรออกบ่อยในช่วงนี้
โทรครั้งแรกไม่ติด
นายท่านเฉิงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจแต่โทรออกไปอีกเป็นครั้งที่สอง
คราวนี้เสียงในโทรศัพท์ดังอยู่ไม่กี่สิบวิก็ถูกรับสายอย่างหงุดหงิด อีกฝั่งหนึ่งเสียงดังจอแจ “นายท่านเฉิง คุณโทรศัพท์มาหาฉันอีกทำไมกัน หรือว่าโทรมาเรื่องเด็กในบ้านพวกคุณอีกแล้ว”
“แน่นอน ฉันไม่รู้ว่าเธอจะชอบสาขาคอมพิวเตอร์หรือเปล่า ถึงตอนนั้นอาจจะต้องเปลี่ยนสาขา” นายท่านเฉิงตอบด้วยน้ำเสียงอันแสนจะนิ่งเฉย
คนที่อยู่อีกด้านของสายคืออธิการบดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงคุณโจวซาน
เมื่อฟังจบ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเมืองหลวงที่อยู่อีกฝั่งก็โกรธจนหัวเราะออกมา “คุณเฉิง คุณอย่าให้มันหนักข้อนักนะ คุณคิดว่าการเข้าอยู่ในรายชื่อของพวกเรามันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”
นายท่านเฉิงเดินไปข้างหน้าต่าง “พวกเราตกลงกันได้ ปีนี้ทรัพยากรสาขาวิชาต่างๆ ก็มาจากการจัดสรรของตระกูลเฉิงของพวกเรา”
ทั้งสองคนต่อรองกันไปมา
ฝ่ายโจวซานนิ่งไปชั่วครู่ ไม่ได้ปฏิเสธกลับโดยทันที “เอาละ เรื่องนี้พวกเราอีกสองวันค่อยคุยกัน พวกเราทางนี้ยังมีเรื่องด่วนที่ต้องทำอยู่เรื่องหนึ่งนะ!”
“เรื่องอะไรกัน นี่ทำคุณไม่สนใจแม้แต่ทรัพยากรของสาขาวิชาต่างๆ เลยเชียวหรือ” นายท่านเฉิงหรี่ตาเล็กน้อย
“ในปีนี้เกิดวิปริตทั้งประเทศ” โจวซานดูเหมือนจะร้อนรน น้ำเสียงที่พูดดูเร่งรีบ “ข้อมูลหาได้ยากมาก ตอนแรกผมก็เก็บไว้จำนวนหนึ่ง สุดท้ายก็เก็บไว้ไม่มิด เมื่อกี้กระทรวงศึกษาธิการแจ้งมาว่าเจอข้อมูลแล้ว ผมต้องรีบโทรศัพท์หาพวกเขา จะยอมให้มหาวิทยาลัย A ชิงไปก่อนไม่ได้เป็นอันขาด!”
นายท่านเฉิงหรี่ตาหนึ่งที “เทียบกับปีที่แล้วใครนะ…ซ่งอะไรนั่น คนนี้ยังสุดยอดกว่าอีกหรือ”
“เรื่องนี้ผมไม่คุยกับคุณ ไว้อีกสองสามวันพวกเราค่อยคุยกัน ช้ากว่านี้คงถูกคนอื่นชิงไปก่อน!” โจวซานพูดขึ้น แล้ววางสายอย่างรีบร้อน
นายท่านเฉิงวางโทรศัพท์มือถือลง แล้วมองไปที่หน้าจอที่หรี่ลง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย
ท่าทีที่ร้อนรนของโจวซานไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ
พ่อบ้านเฉิงยืนอยู่ข้างกายนายท่านเฉิง ย่อมต้องได้ยินคำพูดของโจวซาน
เขาชำเลืองมองอย่างแปลกใจ “ที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีใครปรากฏตัวหรือครับ”
นายท่านเฉิงใช้นิ้วเคาะที่โทรศัพท์มือถือแล้วส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ สภาพการณ์ตอนนี้ของเมืองหลวงดูซับซ้อนวุ่นวาย มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ หลายแห่งกำลังแข่งขันกัน ตระกูลใหญ่หลายบ้านมีทายาทเกิดมาไม่น้อย มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ หลายแห่งถูกตระกูลเหล่านั้นครอบครอง ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้มหาวิทยาลัยต่างๆ จึงจับมือกันออกข้อสอบ นับได้ว่าเป็นการหาวิธีรักษาคนอัจฉริยะของพวกเขาไว้…ตอนนี้ทำให้โจวซานร้อนตัวได้ แถมยังทำให้เขาต้องดิ้นถึงขนาดนี้ นับว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเหมือนเมื่อสิบปีก่อนที่…”
พูดได้เพียงครึ่งเดียว นายท่านเฉิงก็ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเขานึกถึงอะไรขึ้นมา จึงไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่ถอนหายใจเบาๆ
แต่พ่อบ้านนึกเชื่อมโยงถึงคนหนึ่งขึ้นมา สีหน้าดูตกใจอยู่เล็กน้อย
“เรื่องนี้พวกเราไม่ต้องพูด พวกอิทธิพลใหญ่แข่งขันกัน เป็นเรื่องของตระกูลสวี” นายท่านเฉิงคิดถึงเรื่องโรงเรียนของฉินหร่านขึ้นมา ก็พูดขึ้นพลางเดินออกไปด้านนอก “เด็กสาวคนนั้นเธอ…ยังไม่ได้ดูผลคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้หรือ”
ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของพ่อบ้านเฉิงก็เปลี่ยนเป็นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาเปิดประตูห้องให้นายท่านเฉิงออกไป กดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “วันนี้อย่าเพิ่งพูดนะครับ เรื่องของคุณหนูฉินเดี๋ยวผมจะคุยกับท่านทีหลัง”
เห็นพ่อบ้านตระกูลเฉิงท่าทีระมัดระวังเช่นนี้ นายท่านเฉิงก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ “ได้ อย่างนั้นไว้ถึงเวลาค่อยคุยแล้วกัน”
นายท่านเฉิงขึ้นไปชั้นบน เพื่อต่อรองกับโจวซานเรื่องสาขาวิชาที่ฉินหร่านจะเข้าเรียน
เมื่อคุยโทรศัพท์จบ เขาก็ลงมา
ที่ชั้นล่าง เฉิงเจวี้ยนกับฉินหร่านและลู่จ้าวอิ่งสามคนยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยม
“ท่านเฉิง” เมื่อเห็นตัว ลู่จ้าวอิ่งก็รีบลุกขึ้นมา
นายท่านเฉิงยกมือโบกไปมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันแค่ลงมาเดินเล่น”
พอดีจังหวะเดียวกันนั้นเองโทรศัพท์ที่โซฟาก็ดังขึ้น
นายท่านเฉิงมองไปทางพวกฉินหร่าน แล้วยื่นมือไปยกหูโทรศัพท์ที่โซฟาขึ้น
เสียงในสายดูอ่อนโยน และมีมารยาทอย่างมาก…
“ขอโทษครับ ใช่บ้านของนักเรียนฉินหร่านหรือเปล่า คือว่าอย่างนี้นะ โรงเรียนของพวกเราอยากจะเชิญคุณฉิน สำหรับการต้อนรับโดยพิเศษ…”
นายท่านเฉิงเลิกคิ้ว เขาเอ่ยปากขึ้นอย่างงุนงงสงสัย “โจว…โจวซานหรือ”