ฉินหร่าน “…”
เธอก็แค่ถามอย่างไม่คิดอะไรประโยคหนึ่ง
เดิมลู่จ้าวอิ่งที่เดินอยู่ด้านข้างกำลังคิดถึงเรื่องเหวินอิน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็มองเวลาในโทรศัพท์มือถือ จากนั้นหันมาถามด้านข้าง “ฉินเสี่ยวหราน ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว ได้เวลากินข้าวเที่ยงพอดี งั้นพวกเราไปกินข้าวกันเลยไหม?”
เขาแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติไม่ต่างอะไรกับตอนปกติ
เฉิงเจวี้ยนสอดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าขณะเดินตามหลังฉินหร่าน พลางยกคิ้วให้ลู่จ้าวอิ่ง เป็นครั้งแรกที่ส่งสัญญาณทางสายตาให้เขา
ลู่จ้าวอิ่งแทบตกใจแทบหลั่งน้ำตา นี่เป็นครั้งแรกที่นายท่านเจวี้ยนมองเขาราวกับไม่ต่างอะไรกับคนโง่
ฉินหร่านมองลู่จ้าวอิ่งแวบหนึ่ง ก่อนยื่นมือกดปีกหมวกลง พูดเสียงใสว่า “ฉันง่วงนิดหน่อยน่ะ”
เฉิงเจวี้ยนยิ้ม “งั้นก็กลับไปพักผ่อนก่อน”
**
ศูนย์การเงินเมืองหลวง
“คุณหนูใหญ่ครับ” ในห้องทำงานหนึ่ง เลขานุการในแว่นดำเดินเข้ามา ขณะนำเอกสารกองหนึ่งส่งให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน “นี่เป็นแผนสำหรับวันนี้ครับ”
หญิงสาวสวมกระโปรงสีดำ ก้มหน้าต่ำ ดูมีประติญาณไหวพริบและมากด้วยประสบการณ์ ขณะที่ด้านหน้ามีคอมพิวเตอร์วางอยู่ หน้าจอคอมพิวเตอร์มีกราฟวิเคราะห์สีแดงเขียวสลับซับซ้อนอยู่คู่หนึ่ง
เธอรับเอกสารจากเลขา ก่อนเงยหน้า หน้าตาที่ประณีตงดงามมีความยิ่งยโสซ่อนอยู่ “บ่ายนี้มีแผนไปไหนไหม?”
ไม่มีใครคาดเดาอายุที่แท้จริงของเธอได้ ทว่าเมื่อมองดูแล้วกลับรู้สึกถึงพลังของคนอายุสามสิบกว่าได้
คุณหนูใหญ่แห่งสกุลเฉิง เฉิงเวินหรู ปีนี้อายุสามสิบห้า สถานะโสด
“บ่ายโมงมีคุยสัญญากับหัวหน้าหลี่ครับ บ่ายสองโมงครึ่งบริษัทมีประชุมประจำเดือนขนาดเล็ก…” เลขานุการดันแว่น ก่อนตอบอย่างรวดเร็ว
“น้องชายฉันว่ายังไงบ้าง?” เฉิงเวินหรูยกมือมองนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสิบเอ็ดโมงสี่สิบนาที
เลขาส่ายหน้า
เฉิงเวินหรูเลิกคิ้วพลางหัวเราะเป็นอันเข้าใจ
เธอหยิบปากกาที่อยู่ในกล่อง เซ็นเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนเอนตัวพิงเก้าอี้พลางกอดอก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเปิดปากพูด “ช่วงนี้ช่วยฉันดูของขวัญที่เด็กสาวเขาชอบกันหน่อยนะ”
ทักษะและความเชี่ยวชาญของเลขานุการหลี่สามารถอยู่ในสายตาของสตรีทรงอิทธิพลได้ เขาเป็นเลขาชั้นนำของโลก ทั้งยังเป็นผู้ช่วยที่นายท่านเฉิงจัดเตรียมให้เฉิงเวินหรูเป็นพิเศษ
เขาจัดเตรียมเรื่องนี้ไว้ในกำหนดการ ก่อนพูดต่อไปว่า “ผมเตรียมงานประมูลในอีกสามวันหลังจากนี้ให้คุณเรียบร้อยแล้วนะครับ”
เฉิงเวินหรูใช้มือกดขมับของตัวเองอย่างอ่อนเพลียเล็กน้อย “ครั้งนี้มีดอกไม้จีนไหม?”
ร่างกายของนายท่านเฉิงไม่ค่อยดี ต้องมีดอกไม้จีนติดตัวตลอดถึงช่วยบรรเทาได้ ส่วนดอกไม้จีนนั้น…ไม่มีใครรู้ว่าของพิเศษพันธุ์นี้มีที่มาอย่างไร
คนส่วนใหญ่สามารถพบเห็นได้แต่ไม่อาจครอบครอง ทุกครั้งที่ไปงานประมูลราวกับอยู่ในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยลมเหม็นและฝนเลือด
“มีครับ แต่ว่างานประมูลครั้งนี้มีขวดเดียวเท่านั้น”
“ขวดเดียว?” นิ้วมือของเฉิงเวินหรูเคาะลงบนโต๊ะ นี่เป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว
เฉิงเวินหรูต้องเข้างานประมูลหนึ่งครั้งในทุกเดือน และทุกเดือนจะมีดอกไม้จีนรวมทั้งหมดสิบกระป๋อง เมืองหลวงมีผู้คนเยอะแยะมากมาย รวมทั้งห้องทดลองระดับสูงต่างวิจัยเรื่องดอกไม้จีนกันมาก ทุกครั้งในงานประมูล ทั้งสิบขวดนี้มีเพียงสี่ขวดที่ถูกคนเดิมประเมินไป หนึ่งในนั้นคือเฉิงเวินหรู
ที่เหลือหกขวดคือผู้ที่มีอำนาจคนอื่นแย่งไป
ทว่าตอนนี้เหลือเพียงขวดเดียวเท่านั้น…
ทุกคนล้วนต้องการดอกไม้จีนขวดนี้ ถึงเวลานั้นต้องเกิดศึกแย่งชิงแน่นอน
“ทำไมถึงเหลือขวดเดียวได้?”
เลขาหลี่ส่ายหัว ตอบอย่างไม่มั่นใจ “น่าจะเพราะเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่าครับ? เห็นศูนย์วิจัยฝั่งนั้นพูดกันว่าต้นไม้พันธุ์นี้ดูแลยากมาก”
ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว การคาดเดานี้น่าจะเป็นจริง
“แล้วหาที่มาของดอกไม้จีนไม่เจอเลยเหรอ?” เฉิงเวินหรูรู้ดีว่าต้องหาตัวคนขายเท่านั้น ถึงสามารถระบุแหล่งที่มาได้
ทว่าไม่มีข่าวคราวใดจากฝั่งงานประมูลเลย เพื่อป้องกันความขัดแย้ง จึงไม่รู้ว่าทางฝั่งงานประมูลเองจงใจปิดบังชื่อแซ่ของผู้ซื้อและผู้ขายไว้หมด ทำให้เฉิงเวินหรูไม่สามารถค้นหาได้แม้แต่น้อย
เลขาหลี่พยักหน้า “ก่อนหน้านี้นายท่านเองก็ไปหาคุณหนูโอวหยางเพื่อสอบถามเรื่องนี้ครับ”
ทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่หน่วยสืบสวน129 เปิดรับเจ้าหน้าที่ระดับทั่วไปจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง เพราะน้อยมากที่หน่วยสืบสวน129จะเปิดรับคนรุ่นใหม่ โดยปกติจะรับสมัครเพียงเจ้าหน้าที่ระดับทั่วไป หากอยากเลื่อนขั้นในตำแหน่งสูงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ระดับทั่วไปก็สามารถเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในหน่วยสืบสวน129ได้ ทั้งมีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ภายใน
ทุกคนต่างรู้ว่าเครือข่ายของหน่วยสืบสวน129ครอบคลุมเกือบทั่วโลก
ในเมืองหลวงไม่มีบ้านตระกูลไหนหรือผู้มีอำนาจคนใดไม่อยากเป็นพันธมิตรกับหน่วยสืบสวน129
แม้โอวหยางเวยเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับทั่วไป ทว่าเป็นคนของภายใน เธอมีสิทธิพิเศษมากกว่าคนทั่วไป
ครั้งที่เธอเข้าร่วมหน่วยสืบ129ได้สำเร็จ สถานภาพของสกุลโอวหยางที่อยู่ในเมืองหลวงก็สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เฉิงเหวินหรูพยักหน้า “ช่วยฉันนัดกับโอวหยางเวยหน่อย ฉันจะคุยกับเธอ”
“ผมได้ทำการนัดหมายแล้วครับ แต่ว่าคุณหนูโอวหยางทางฝั่งนั้นนัดได้ยากมาก” ตอนนี้โอวหยางเวยเป็นที่ต้องการในเมืองหลวงเป็นพิเศษ เธอเข้าใจในจุดนี้ ไม่ใช่อยากนัดก็สามารถนัดได้ตามใจชอบ “ผมได้ยินมาว่า…คุณชายใหญ่ก็นัดกับโอวหยางเวยไว้ครับ”
“เขาเนี่ยนะ?” เฉิงเวินหรูพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก
เธอโบกมือให้เลขาออกไป ก่อนส่งข้อความหาเฉิงเจวี้ยน ถามว่าเขาจะมากินข้าวกี่โมง
**
ในเวลาเดียวกัน
ย่านคอนโดถิงหลาน
ฉินหร่านเดินขึ้นด้านบนไม่ได้ซ้อมไวโอลิน วันนี้เธอต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
เนื่องจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เหยียนซีจึงไม่ได้ติดต่อกับเธอมาสองเดือนเต็ม
แม้ว่าทุกครั้งที่เธอบอกว่าตัวเองจะสอบเข้ามหาลัย แต่เหยียนซีดูไม่ค่อยเชื่อนัก
วันนี้ได้เข้าสมาคมไวโอลิน ส่วนพรุ่งนี้เข้าเรียนที่สมาคมไวโอลินอย่างเป็นทางการ ฉินหร่านไม่มีเวลามากนัก บทประพันธ์ทั้งสองเพลงที่ต้องเตรียมส่งวันนี้ได้จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เธอเรียบเรียนเพลงหลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ ทว่าตอนนั้นมือใช้งานไม่สะดวก จึงมีเพียงแบบร่างคร่าวๆ ในหัว ก่อนที่ผลคะแนนสอบออก เธอก็คิดเอาไว้เรียบร้อยส่วนหนึ่ง
ตอนนี้ทำเสร็จเกือบทั้งหมด วันพรุ่งนี้น่าจะจัดการส่วนที่เหลือแล้วเสร็จได้
ด้านล่าง
เฉิงมู่เดินไปยังขอบหน้าต่างที่วางกระถางต้นไม้สองต้นไว้ ในมือถือกระบอกรดน้ำรดน้ำทีละนิด ก่อนวางกระบอกลง
หยิบโทรศัพท์เปิดหน้าฟีดกลุ่มเพื่อน
มีสถานะของหลินซือหรานที่เพิ่งโพสต์ว่า
[ดูเหมือนมี่มี่จะกัดใบหญ้าจนหมดต้น ตอนนี้พ่อลงโทษมันให้อดเนื้อปลาสามวัน] จากนั้นมีรูปภาพแต่งที่ขึ้นว่ายินดีในความโชคร้ายของคนอื่นรูปหนึ่ง
เฉิงมู่รู้ว่าหลินซือหรานก็คือบล็อกเกอร์คนนั้นที่ติดตามเวยป๋อของฉินหร่าน
ครั้งที่แล้วหลินซือหรานก็โพสต์รูปมี่มี่ถูกลงโทษโดยการหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อสำนึกผิดลงเวยป๋อ
เฉิงมู่ยังคงถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ทำไมสกุลหลินต้องทรมานแมวขนาดนี้ด้วย?
แค่ต้นหญ้าไม่กี่ต้นเองไม่ใช่หรอ?
เขาส่งวีแชทหาหลินซือหรานประโยคหนึ่งว่า
[ยังไงก็เป็นแค่แมว อย่าคาดหวังอะไรกับมันมากนักเลย]
อีกฝั่งตอบมาคำหนึ่ง “…”
เฉิงจินเดินออกมาจากลิฟต์บ้านเฉิงมู่ เมื่อเห็นเฉิงมู่กำลังพึมพำอะไรอยู่นั้น ก็เลิกคิ้วอย่างสงสัย “บ่นอะไรอยู่น่ะ? นายท่านเจวี้ยนล่ะ?”
เฉิงมู่เล่าเรื่องความโหดร้ายของสกุลหลินให้เฉิงจินรอบหนึ่งก่อนตอบคำถามเฉิงจินว่า “นายท่านเจวี้ยนอยู่ห้องหนังสือด้านบน
“ห้องนายด้านล่างมีกล่องดำอยู่กล่องนึง จัดการกับของของตัวเองให้ดีละ” เฉิงจินไม่สนใจปัญหาว่าอะไรคือแมวไม่แมว และอะไรคือหญ้า เมื่อรู้คำตอบแล้วจึงไปหาเฉิงเจวี้ยนด้านบน
เฉิงมู่คิดถึงเรื่องกล่องสีดำ
กล่องดำกล่องนั้นวางอยู่กับของชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เฉิงมู่เดินลงไปหยิบกล่องดำขึ้นมา จากนั้นจัดการเปิดทีละอย่าง ด้านในส่วนใหญ่เป็นของที่พวกเขาทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ คนห้องเก้าไว้วานให้เขานำของขวัญจบการศึกษามาให้ฉินหร่าน
มีของอยู่เยอะมาก ทันใดนั้นเฉิงมู่เห็นขวดแก้วขวดหนึ่งกลิ้งตกอยู่บริเวณมุมกล่อง เป็นของขวัญจบการศึกษาที่หลินซือหรานมอบให้ฉินหร่าน
เนื่องจากก่อนหน้านี้มีเรื่อง “ก้อนหิน” ของกู้ซีฉือ เฉิงมู่จึงสังเกตขวดเล็กขวดน้อยเป็นพิเศษ ครั้งนี้ด้านบนไม่มีรหัสติดอยู่ด้านบน แม้แต่ฝาเปิดขวดก็ไม่มี
เขาอดใจไม่ไหวอยากถามสาวน้อยคนนั้นว่าเอาหญ้าใส่เข้าไปยังไง?
**
วันนี้ ฉินหร่านเข้าเรียนที่สมาคมไวโอลิน
หกโมงเช้าลุกจากเตียง หกโมงครึ่งออกเดินทาง เฉิงเจวี้ยนพึ่งกลับจากการวิ่งชั้นล่างในยามเช้า ก่อนพาเธอไปส่งที่สมาคมไวโอลิน
“อาจารย์เว่ยได้กำหนดงานไหว้ครูไว้แล้ว” อาจารย์เว่ยได้คุยกับเฉิงเจวี้ยนโดยตรง เมื่อวานตอนเย็นเพิ่งได้คำนวณตามปฏิทินโบราณเสร็จ
ฉินหร่านกำลังแชทกับหลินซือหราน พลางตอบ “อืม” อย่างไม่คิดอะไรมาก มือของเธอยันอยู่บนกระจกรถ พลางเท้าคาง “ขอให้ไม่ใช่พิธีใหญ่โตอะไรก็รับได้หมดแหละ”
สี่สิบนาทีต่อมา เมื่อเดินทางถึงสมาคมไวโอลิน
ฉินหร่านลงจากรถ พร้อมใส่หมวกแก๊ป มืออีกข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างโบกมือลารถด้านหลัง แต่หัวไม่ได้หันไปด้วย
เฉิงเจวี้ยนยืนพิงรถมองดูจากด้านหลังอยู่สักพักก่อนเปิดประตูขึ้นรถ
เนื่องจากวันนี้มีนักเรียนใหม่ ทางสมาคมไวโอลินจึงติดป้ายเตือนนักเรียนใหม่ที่ชี้ไปยังอาคารฝึกซ้อมทั้งหมดห้าชั้น
ณ ปากทางเข้าประตูใหญ่ มีอาจารย์ท่านหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูเพื่อรอรับนักเรียนใหม่ทั้งหมด ฉินหร่านมาก่อนเวลาสิบนาที ด้านหลังของเธอมีเถียนเซียวเซียวที่เพิ่งมาถึงหมาดๆ อาจารย์ท่านนั้นเห็นว่านักเรียนมาครบแล้ว จึงเริ่มพูดว่า “ผมเป็นอาจารย์ประจำชั้นหนึ่ง มีแซ่สวี ทุกคนที่สามารถเข้าร่วมสมาคมไวโอลินได้ ล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ แต่ว่าสมาคมไวโอลินไม่เคยขาดแคลนนักเรียนที่มีพรสวรรค์ ทุกคนน่าจะเคยได้ยินกฎเกณฑ์ของสมาคมไวโอลินมาบ้าง สมาคมไวโอลินมีหลักสูตรเฉพาะทางที่เอาไว้แบ่งมาตรฐานระดับการทดสอบ ตั้งแต่ชั้นแรกจนถึงชั้นที่ห้า คือห้องฝึกซ้อมระดับสามถึงระดับเก้า ทุกชั้นจะมีอาจารย์ที่ปรึกษาและวิดีโอฝึกสอนของแต่ละชั้น พวกเราสามารถอ้างอิงจากระดับทั้งหมดที่สอดคล้องกันตามประกาศระดับของการทดสอบการแข่งขันเมื่อวานนี้ได้ แต่ตอนนี้ทุกคนไปที่ห้อง101ก่อน”
เมื่อฉินหร่านได้ยินดังนั้น ก็ก้มหน้ามองคู่มือที่อยู่ในมือของตัวเอง
ระดับสามอยู่ชั้นหนึ่ง
ระดับสี่ถึงห้าอยู่ชั้นสอง
ระดับหกถึงเจ็ดอยู่ชั้นสาม
ระดับแปดอยู่ชั้นสี่
ระดับเก้าอยู่ชั้นห้า