เลขาหลี่สตาร์ทรถ มุ่งไปยังจุดหมายปลายทาง
“คุณหนูใหญ่ครับ ยังไงคุณก็ควบคุมอารมณ์ร้อนของคุณไว้ด้วยนะครับ” เลขาหลี่จอดรถขณะไฟแดง พลางมองผ่านกระจกหลังแวบหนึ่ง “ไม่ว่าคุณหนูฉินจะพูดตรงไหนไม่ถูกต้อง คุณก็ไม่ต้องพูดอะไรนะครับ”
เฉิงเวินหรูค่อนข้างเป็นคนตรงไปตรงมา ให้ความรู้สึกเหมือนคุณหนูใหญ่ขี้หงุดหงิด เลขาหลี่กังวลกับการเจอหน้ากันครั้งนี้เล็กน้อย
เขากับคนในเมืองหลวงไม่เหมือนกัน คนที่นี่ล้วนคิดว่าแม้บริษัทของเฉิงเวินหรูจะร่วมก่อตั้งกับเฉิงเจวี้ยน แต่เฉิงเจวี้ยนไม่มีอำนาจอะไรแม้แต่น้อย เอาแต่เกาะพี่สาวและบ้านสกุลเฉิง
ทว่าเลขาหลี่ติดตามทั้งสองคนตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ ย่อมรู้ดีว่า ช่วงที่บริษัทเริ่มก่อตั้ง คนที่วางแผนเกือบทั้งหมดคือเฉิงเจวี้ยน!
แน่นอนว่าเฉิงเวินหรูไม่มีเจตนารับมันมาทั้งหมด ดังนั้นทุกสิ้นปีจะส่งเงินจำนวนหนึ่งเข้าบัตรของเขา
เลขาหลี่ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างพี่น้อง
เมื่อได้ยินเลขาหลี่พูดเช่นนี้ เฉิงเวินหรูจึงโบกมืออย่างไม่สนใจ “นายไม่ต้องเตือนหรอก”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ในที่สุดเฉิงเจวี้ยนก็ส่งตำแหน่งมาให้
เลขาหลี่โยนกุญแจรถให้ยามรักษาการณ์ ให้เขาเอารถเข้าไปจอด ก่อนเดินตามเฉิงเวินหรูขึ้นไปด้านบน
**
ฉินหร่านก็พึ่งถึงห้องรับรองได้ไม่นาน
เวลานี้เธอยืนพักขาอยู่บริเวณกำแพงทางเดิน กำลังส่งตำแหน่งให้หลินซือหราน หลินซือหรานเดินทางมาถึงในตัวเมืองนานแล้ว อีกสักพักคงมาถึง
วันนี้เธอยังคงสวมเสื้อยืดสีขาว แต่ด้านนอกมีเสื้อเชิ้ตลายสก็อตขาวดำอยู่อีกชั้น ในมือหมุนหมวกแก๊ปอย่างสบายใจ
ขณะที่หูทั้งสองข้างใส่หูฟัง มุมปากกัดก้านอมยิ้มอยู่
ในหูฟังเป็นเสียงของเหอเฉิน “จะไม่มาที่สโมสรจริงๆ เหรอ?”
“ผ่านช่วงนี้ไปก่อน” ฉินหร่านเล่นหมวกแก๊ปอย่างไม่สนใจ “ช่วงนี้แมทธิวคงไม่ได้รับลูกค้าใช่ไหม?”
เธอกำลังพูดถึงเรื่องที่แมทธิวตามหาหมาป่าเดียวดายเพื่อตรวจสอบQ
“ดูเหมือนว่าแมทธิวจะถูกปัญหารุมเร้านะ ช่วงนี้สภาพในรัฐ M ก็กำลังวุ่นวาย จะมีเวลาไหนรับลูกค้า” เหอเฉิงที่อยู่ปลายสายกำลังเปิดกระป๋องน้ำอัดลม ก่อนดื่มอึกหนึ่ง “เเล้วก็ เธออยู่ที่เมืองหลวงก็ระวังตัวให้ดีๆ เรื่องยายของเธอมันผิดปกติ”
“รู้แล้ว” ฉินหรานหยิบหมวกแก๊ปสวมไว้บนหัว ก่อนปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดสุดท้าย หัวเราะอย่างเลื่อนลอย “พ่อของนายกำลังรออยู่นะ”
เธอพูดจบพลางเงยหน้าก็เห็นผู้ชายและผู้หญิงสองคน
ฉินหร่านดึงหูฟังเก็บลงกระเป๋า เดินเลี้ยวลงด้านข้าง จากนั้นตรงไปยังห้องน้ำสุดทาง
ชายหญิงที่กำลังเดินเข้ามาคือเฉิงเวินหรูและเลขาหลี่
ขณะที่ทั้งสองฝั่งเดินผ่านเฉียดกันไป
ก็ไม่มีใครเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน เฉิงเวินหรูเห็นเพียงหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง
ฉินหร่านเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว เฉิงเวินหรูก็หยุดเท้าลง พลางยิ้ม “เด็กสาวคนนี้เท่จริง ๆ…นายว่าเธอจะเป็น…” “หยุดก่อนครับ” เลขาหลี่มองเฉิงเวินหรูปราดหนึ่ง “คุณอย่าคิดเลยว่าคุณหนูฉินจะเป็นคนแบบนั้น”
เฉิงเวินหรูรู้สึกว่าความคิดแบบนี้คงไม่ดีต่อน้องสะใภ้ในอนาคตจริงๆ จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงรู้สึกเสียดายเท่านั้น ความจริงถ้าเกิดน้องสะใภ้อนาคตเป็นแบบนั้นจริงๆ คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
**
ทั้งสองหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องรับรองพิเศษ เฉิงเวินหรูไม่ได้เคาะประตูในทันที
แต่ยกมือจัดการทรงผมของตัวเอง ทั้งดูการแต่งตัวของตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้ตอนเช้าเธอมีเจรจากับนักธุรกิจจึงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสูท เธอใส่ชายเสื้อเชิ้ตเข้าในกางเกง และรวบผมขึ้น ลักษณะเหมือนหญิงแกร่งที่มากด้วยประสบการณ์และความรู้
“เลขาหลี่ ฉันแต่งตัวดูเหมือนอยู่บ้านไหม?” เธอพับแขนเสื้อตัวเอง พลางหันข้างเล็กน้อย
เลขาหลี่ดึงมุมปาก “คุณหนูใหญ่ครับ คุณก็ดูสวยที่สุดเป็นปกติอยู่แล้วครับ”
เฉิงเวินหรูพยักหน้า ก่อนเคาะประตูสามที
ไม่ถึงวินาที เฉิ่งมู่ก็เปิดประตูห้อง ในมือของเขาถือกาน้ำชาอันหนึ่ง “คุณหนูใหญ่”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเปิดทางให้เฉิงเวินหรูเดินเข้าไปผู้ติดตามทั้งห้าของบ้านสกุลเฉิงล้วนจงรักภักดีต่อเฉิงเจวี้ยน โดยเฉพาะเฉิงจินและเฉิงมู่ เฉิงมู่นับว่าเป็นหนึ่งในผู้ติดตามทั้งห้าที่มีมารยาทค่อนข้างดีคนหนึ่ง
เฉิงเวินหรูก็ไม่ได้คิดมากกับท่าทีของเฉิงมู่
เธอเดินเข้าไป ขณะมองไปยังโต๊ะอาหารอย่างเงียบๆ
เฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ด้านข้างของเขามีที่ว่างอีกที่หนึ่ง เฉิงมู่นำแก้วชาวางบนที่นั่งด้านข้างของเขา ผู้หญิงคนนั้นน่าจะยังไม่มา
ท่าทางตึงเครียดของเธอเบาลงตำแหน่งที่เธอนั่งสามารถมองเห็นทิศทางของประตู จากนั้นคิ้วอันประณีตก็เลิกขึ้น “เธอล่ะ? นายอย่ามาหลอกฉันนะ”
เฉิงเจวี้ยนที่นั่งพิงเก้าอี้ ตอบอย่างเนิบนาบว่า “ไปห้องน้ำ”
เฉิงเวินหรูพยักหน้า พลางหาเรื่องคุยแก้เขินกับเฉิงเจวี้ยน
พูดคุยไม่กี่คำ ประตูห้องก็เปิดออก
ลำตัวของเฉิงเวินหรูตั้งตรงในทันใด ขณะมองนอกประตูอย่างใจจดใจจ่อ
ก็รู้สึกคุ้นตากับรูปร่างของผู้ที่เดินเข้ามามาก กระดุมตัวสุดท้ายที่ขอบเสื้อเชิ้ตขาวดำลายสก็อตถูกเธอแกะออก พลางคลุมอย่างลวกๆ คิ้วและดวงตาตกเล็กน้อย หน้าแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและดื้อรั้น
เพียงมองด้านข้างก็ดูสวยแล้ว เมื่อมองทั้งหน้ายิ่งให้ความรู้สึกเหมือนภาพถ่าย
ก่อนเจอฉินหร่าน เฉิงเวินหรูจินตนาการว่าแท้จริงแล้วฉินหร่านเป็นคนเช่นไร เพราะเลขาหลี่เคยเตือนแล้ว เฉิงเวินหรูรู้สึกว่าต่อให้น้องสะใภ้หน้าตาแย่นิดหน่อย เธอก็รับได้ ยังไงซะก่อนหน้านี้พ่อบ้านเฉิงก็เคยบอกใบ้แล้ว
ในเมืองหลวงมีคำบอกกล่าวเอาไว้ว่า รูปโฉมของผู้สืบทอดสกุลเฉิงไม่อาจหาผู้ใดมาเปรียบเทียบได้ เฉิงเวินหรูก็เห็นด้วยอย่างมาก แต่พอได้เห็นฉินหร่าน เฉิงเวินหรูรู้สึกว่าประโยคนี้ถึงเวลาเปลี่ยนได้แล้ว…
เฉิงมู่ขยับเก้าอี้ให้ฉินหร่านอย่างช่ำชอง จากนั้นมองฉินหร่าน ก่อนถามว่า “คุณหนูฉินครับ นักเรียนหลินถึงรึยังครับ?”
น้ำเสียงและการกระทำของเขามีมารยาทยิ่ง
เนื่องจากคำพูดของฉินหร่าน ทำให้เฉิงเวินหรูและเลขาหลี่ที่กำลังอึ้งอยู่ดึงสติกลับมาได้
เมื่อรู้สึกตัว ทั้งสองมองเฉิงมู่อย่างไม่คิดไม่ฝัน
นึกถึงเฉิงมู่ผู้ที่พูดจาขวานผ่าซากกับเฉิงเวินหรูคนนั้น
ฉินหร่านโบกมือให้เฉิงมู่อย่างไม่คิดมาก พลางสั่งการตามความเคยชิน “น่าจะใกล้ถึงแล้วนะ นายลงไปรับพวกเขาเลย”
“ครับ” เฉิงมู่พยักหน้า จากนั้นกล่าวคำทักทายกับเฉิงเวินหรู ก่อนเปิดประตูลงไป
“คนนี้พี่ฉันเอง” เฉิงเจวี้ยนมองเฉิงเวินหรูที่นิ่งอยู่นาน พลางหัวเราะเบาๆ ก่อนเท้าโต๊ะเงยหน้าชี้ไปยังเฉิงเวินหรูที่อยู่อีกฝั่งเพื่อแนะนำให้รู้จัก
เพราะอยู่ในแวดวงธุรกิจมานาน จึงตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว หน้าตาของเธอแฝงไปด้วยความองอาจ เมื่อพูดกับฉินหร่านจึงใช้น้ำเสียงไพเราะมากกว่าเดิม “หรานหร่านใช่ไหมจ๊ะ วันนี้ขอโทษด้วยที่เสียมารยาท อย่าถือสาฉันเลยนะ”
ทั้งสองคนเจอหน้ากันครั้งแรก คนหนึ่งเป็นสตรีชั้นนำทรงอิทธิพล อีกคนเป็นหัวโจกของหมู่บ้าน เป็นหัวหน้าแก๊งของโรงเรียน เห็นได้ชัดเลยว่าสถานะของคนทั้งสองเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายจึงรู้สึกเข้ากันได้ดี
ไม่มีความรู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย
**
พวกเขาไม่ทันได้คุยกัน เฉิงมู่ก็พาครอบครัวของหลินซือหรานเข้ามา
บ้านสกุลหลินขับรถตู้กันมา ทั้งรถและกระเป๋าเดินทางอยู่ด้านล่าง คุณพ่อหลินและคุณแม่หลินเดินนำหน้า หลินซือหรานอยู่ท้ายสุดในมือหิ้วถุงพลาสติกสีขาวใบเล็กถุงหนึ่ง
คุณพ่อหลินเคยเจอกับเฉิงเจวี้ยนก่อนหน้านี้ที่ประชุมผู้ปกครองของหลินซือหราน ทั้งสองยังจำอีกฝ่ายได้
เขาสวมกางเกงสีดำขอบกางเกงม้วนขึ้น ทั้งชายเสื้อเชิ้ตก็ม้วนขึ้น ในมือถือหมวกฟางใบหนึ่ง หน้าตาดูใสซื่อ มองดูแวบแรกก็เหมือนคนปลูกดอกไม้ธรรมดา
เฉิงมู่เทน้ำให้ฉินหร่านอีกครั้ง จากนั้นยืนอยู่ข้างเฉิงเวินหรู พลางกดเสียงต่ำ “คนของบ้านสกุลหลินเป็นนักปลูกดอกไม้ครับ ลูกสาวของพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของคุณหนูฉิน”
เฉิงเวินหรูพยักหน้าเงียบๆ เป็นอันเข้าใจ
ทุกคนรับประทานอาหารร่วมกันอย่างคึกคัก เฉิงเจวี้ยนถือตะเกียบ พูดคุยกับคุณพ่อหลินที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ช่วงนี้ธุรกิจเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ไม่ค่อยดีเลย ถูกสัตว์เลี้ยงกัดเกือบหมด” คุณพ่อหลินส่ายหัว พูดถึงเรื่องนี้ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา
“งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ” เฉิงเจวี้ยนตกตะลึง จากนั้นหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เฉิงมู่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งนั้น “…” เพื่อคุณหนูฉิน นายท่านเจวี้ยนอยากพูดอะไรก็พูดออกมาได้หมด
ขณะที่คุณพ่อหลินและเขาชนแก้วกัน
อีกฝั่งหนึ่ง เดิมเฉิงเวินหรูคิดว่าคุณแม่หลินเป็นคนไม่พูด แต่เมื่อคุยกันกลับพบว่าถูกคอยิ่ง ระดับความรู้ที่คุณแม่หลินมีไม่เหมือนกับนักปลูกดอกไม้ทั่วไป กลับกันราวกับมาจากตระกูลผู้ดี
พวกเขาพึ่งได้เจอหน้ากัน ก็สนทนากันอย่างออกรสออกชาติ
เมื่อกินข้าวเสร็จ เฉิงเวินหรูจึงหยิบของออกมาจากกล่องห่อ ก่อนส่งให้ฉินหร่านเป็นของขวัญที่ได้เจอกันครั้งแรก
เป็นสร้อยคอเพชรของคอเล็กชันปีนี้
ยิ่งมองไกลๆ ยิ่งดูสวยงามหรูหรา
เมื่อเห็นเฉิงเวินหรูหยิบของขวัญออกมา คุณพ่อหลินก็นึกถึงของขวัญที่จะให้ฉินหร่าน เขามองหลินซือหราน
หลินซือหรานรู้สึกไม่มั่นใจ จึงไม่ได้รีบยื่นให้ทันที
ก่อนหน้านี้ที่เจออาจารย์เว่ยครั้งหนึ่ง ตอนนั้นมีถุงพลาสติกของกู้ซีฉือ หลินซือหรานกับเฟิงงเชิ่นเร่อจึงหยิบถุงตัวเองออกมา ครั้งนี้ไม่มีถุงพลาสติกของกู้ซีฉือ แต่เมื่อดูกล่องของขวัญของเฉิงเวินหรูที่ห่อให้ฉินหร่านอย่างสวยงาม
หลินซือหรานจึงก้มหน้าด้วยความละอาย
คุณพ่อหลินกำลังจะไปแล้ว เขาเร่งหลินซือหราน “รีบเอาของขวัญให้หรานหร่าน พวกเราต้องรีบไปที่รถแล้ว มี่มี่รอพวกเราอยู่ในรถนะ”
“คุณอาหลินครับ ทำไมไม่พามี่มี่ขึ้นมาด้วยละครับ” เฉิงมู่นึกถึงแมวที่น่าสงสารตัวนั้น
คุณพ่อหลินหัวเราะ “มี่มี่ไม่เหมาะกับร้านอาหารหรอก”
เมื่อคุณพ่อหลินพูดจบ ก็เห็นว่าหลินซือหรานยังไม่เอาของขวัญออกมาอีก จึงพูดอย่างรีบร้อน “หลินซือหราน เร็วหน่อยลูก”
ครั้งนี้หลินซือหรานค่อยๆ หยิบของขวัญออกมา พลางก้มหัว ส่งถุงพลาสติกในมือให้ฉินหร่านอย่างกล้าหาญ
“หรานหร่าน นี่เป็นของขวัญจบการศึกษาที่พ่อกับแม่ฉันมอบให้เธอ!”