ขณะที่พูด เขาก็หยิบขวดใบเล็กสองขวดออกมา
ตั้งแต่ได้รับการฝึกพิเศษจากฉินหร่าน ในทุกเดือนฉินหร่านก็จะขอจากหลินซือหรานเพิ่มอีกขวด
ต่อมา เมื่อไม่ต้องผ่านมือของฉินหร่านแล้ว หลินซือหรานจึงได้ส่งมาให้เฉิงมู่โดยตรง
เฉิงมู่ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงของดอกไม้จีนอย่างจริงจัง
แต่เมื่อเห็นว่าทั้งฉินหร่านและหลินซือหรานต่างก็ไม่ได้ใส่ใจ ฉินหร่านวางมันไว้บนลิ้นชัก ยิ่งไปกว่านั้น หลินซือหรานนำมันไปใส่ไว้ในถุงขยะเลยด้วยซ้ำ เห็นว่าครั้งหนึ่งวางไว้ในห้องเรียนและถูกคนเก็บขยะเอาไป
เฉิงมู่ก็เลยพลอยคิดว่ามันไม่มีอยู่จริงไปด้วยเสียอย่างนั้น
อีกอย่าง ที่ฉินหร่านให้เขา ด้านบนของขอบปลายดอกมีสีแดงอยู่จางๆ ค่อนข้างแตกต่างไปจากในงานประมูล
หลังจากเฉิงมู่นำเอาขวดทั้งสองออกมา ก็พบว่านายท่านเฉิงและเฉิงเวินหรู รวมถึงพ่อบ้านเฉิงจ้องมองมาที่เขาอย่างงุนงง จนเขาถึงกับต้องหยุด “มี มีอะไรรึเปล่า”
“คุณหนูฉินให้สิ่งนี้กับคุณเหรอ” พ่อบ้านเฉิงมองดูขวดทั้งสองใบในมือเฉิงมู่
ปีที่แล้วพ่อบ้านเฉิงไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านของตระกูลเฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องของดอกไม้จีน แต่เขาก็ได้เข้าร่วมงานประมูลที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จึงเข้าใจได้ว่า…ขวดใบนี้มีราคาขายประมูลได้มากถึงยี่สิบล้าน
เฉิงมู่พูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ทำไมคุณฉินจะให้ฉันไม่ได้ ที่ลิ้นชักของเธอยังมีลิ้นชักอีกอันอยู่”
พ่อบ้านเฉิง “…”
…คำตอบช่างน่าโมโห
เฉิงเวินหรูไม่พูดต่ออีก ก็เพราะว่าเธอเคยเห็นลิ้นชักของฉินหร่าน
บทสนทนาต่อจากนั้นเป็นไปได้ไม่ราบรื่นนัก เพราะคำพูดหนึ่งของเฉิงมู่ “ก็แค่ลิ้นชัก” นายท่านเฉิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้ว
เขาเพียงแค่เหลือบมองเฉิงเจวี้ยน เฉิงเจวี้ยนพิงโซฟาและเลิกคิ้วขึ้นอย่างเกียจคร้าน “อย่ามองผม เพื่อนของเธอนู่น”
โทนเสียงก็เชื่องช้าตามด้วย
“ใช่แล้ว พี่” เฉิงเจวี้ยนนึกอะไรขึ้นมา “พรุ่งนี้มีงานเลี้ยง”
เฉิงเวินหรูตอบสนอง มองที่เฉิงเจวี้ยน “เธอเหรอ”
เธอไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ เฉิงเจวี้ยนดูไม่เหมือนคนชอบงานสังสรรค์ โดยปกติเฉิงเจวี้ยนจะไม่ไปเข้าร่วม เว้นแต่งานเลี้ยงบางงาน
ตอนนี้กลับมาชวนเธอเนี่ยนะ
“ไม่ใช่ฉัน” เฉิงเจวี้ยนยิ้ม “พรุ่งนี้ฉันจะให้เฉิงมู่ส่งคำเชิญให้”
พรุ่งนี้คือวันที่อาจารย์เว่ยจัดเตรียมเวลาสำหรับเชิญผู้คนมา มีคนมากมายในเมืองหลวง ส่วนมากต่างก็ได้รับคำเชิญจากอาจารย์เว่ย เฉิงเจวี้ยนเองก็นับว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา
แน่นอนว่า อาจารย์เว่ยที่เป็นผู้จัดงานเลี้ยงก็เป็นไปได้ที่จะอยู่ร่วมในหมู่ผู้คนนี้ด้วย ข่าวลือถูกปล่อยออกไป เหล่าผู้คนในแวดวงต่างก็พยายามหาทางอย่างถึงที่สุดเพื่อให้ได้รับการ์ดเชิญสักใบ
เฉิงเจวี้ยนอนุญาตให้แค่เฉิงเวินหรูไป เขาไม่ได้เชิญชวนนายท่านเฉิง เพราะถึงอย่างไร การที่นายท่านเฉิงเข้าไปอยู่ในเมืองแสดงให้เห็นว่ามันไม่ปกติ เพราะในวันธรรมดาเขาจะไม่ติดต่อกับสมาคมไวโอลิน ถ้าอยู่ดีๆ ไปที่นั่น ผู้คนในวงการคงแตกตื่นกันแน่
เฉิงเวินหรูเหลือบมองเฉิงเจวี้ยน ไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
ฉินหร่านกำลังฝึกไวโอลินอยู่ข้างบน แม้ว่าในใจของทั้งสามคนจะยังมีความสงสัยอยู่ แต่ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก เพียงแค่ปล่อยมันไว้ที่ถิงหลาน
เฉิงมู่พาพวกเขาไปส่งที่ชั้นล่างและกลับมาที่ชั้นบน มองไปที่เฉิงเจวี้ยนอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
…ไม่ใช่แค่ดอกไม้ปลอมดอกเดียวสินะ พวกเขาอาจจะสื่อถึง…ที่ใหญ่กว่านั้น
**
ที่ด้านบน
เธอยังคงกรอกใบของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงให้หลินซือหราน คะแนนวิชาความชำนาญวัฒนธรรมของหลินซือหราน ไม่ได้มีผลต่อคะแนนพิเศษใดๆ
เข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงไม่ใช่ปัญหา เว้นแต่วิชาเอก ที่เธอยังคงถามตั้งคำถามกับหลินซือหราน
“เลือกเอกอะไร” ฉินหร่านเอนพิงเก้าอี้ ขาวางพาดบนโต๊ะ
เธอกดโทรศัพท์หาหลินซือหราน
หลินซือหรานปรึกษากับพ่อแม่ของเธออยู่สักพัก ต่อมาเธอเลือกด้านการเงิน ฉินหร่านยังได้ยินคุณพ่อหลินพูดพึมพำว่า ‘การจัดสวน’
หลังคุยโทรศัพท์เสร็จ ฉินหร่านก็เลื่อนเมาส์ไปอยู่ที่เอกสาขาการเงินของหลินซือหราน
หลังจากกรอกเสร็จ โทรศัพท์ของฉินหร่านก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เธอชำเลืองดู เป็นสายในพิ้นที่ของเมืองหลวง ผ่านไปสักพักเสียงก็ตัดไป จากนั้นก็มีข้อความฉบับหนึ่งส่งมา
[สวัสดี ฉันคือไต้หราน]
ไต้หราน ฉินหร่านหรี่ตา เขาเป็นอาจารย์ของฉินอวี่นี่ เธอเหลือบมองแต่ไม่ตอบ เปิดใช้งานโหมดเงียบเสียง แล้วจึงฝึกไวโอลินต่อ
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หลินซือหรานเล่นเกมจบไปหนึ่งรอบ
เสียงในเกมของเพื่อนๆดังขึ้น “แล้วพรุ่งฉันจะไปกรอกให้เธอที่โรงเรียน”
หลินซือหรานตอบ “ไม่ต้องแล้ว หร่านหร่านช่วยกรอกให้ฉันแล้ว”
พูดจบประโยค หลินซือหรานรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ เหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้บอกหมายเลขสอบ รหัสประจำตัวนักเรียนและรหัสประจำตัวประชาชนให้กับฉินหร่านเลย
ฉินหร่านช่วยเธอกรอกใบสมัครสอบได้ยังไงกัน
**
ในขณะเดียวกัน
ที่บ้านตระกูลเสิ่นในเมืองหลวง
ฉินอวี่ออกมารับโทรศัพท์ข้างนอก
นายท่านเสิ่นมองหลินหว่าน ลดเสียงลงต่ำ “ถ้าอย่างนั้นฉินหร่านก็เป็นจอหงวนของเมืองจริงๆ น่ะสิ”
หลินหว่านดูมีท่าทางสับสนพยักหน้า
นายท่านเสิ่นผู้ไม่รู้เรื่องที่ฉินหร่านเข้าไปพัวพันกับครอบครัวหลิน เพียงแค่ยิ้ม “ถ้ามีเวลาเชิญเธอมาทานข้าวที่บ้านสิ”
ในทุกปีจะมีจอหงวนของเมือง แม้ไม่ใช่ว่าจอหงวนของเมืองทุกคนจะดีเลิศเป็นพิเศษ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันมากนัก ยังไงก็ถือว่าได้เปรียบ
ฟังที่นายท่านเสิ่นพูดมา หลินหว่านที่ถือตะเกียบอยู่ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากก้มศีรษะลงและยิ้ม
ไม่กล้าอธิบายกับครอบครัวเสิ่น ความขัดแย้งระหว่างเธอกับฉินหร่านนั้นลึกเกินกว่าจะแก้ไขได้
ขณะทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ฉินอวี่ที่อยู่ข้างนอกก็เข้ามา
ทั้งในมือยังมีการ์ดเชิญปิดทองอยู่ด้วย
คนตระกูลเสิ่นและหลินหว่านต่างก็เห็นมัน
“มีโทรศัพท์จากอาจารย์ของหนู” ฉินอวี่วางการ์ดเชิญไว้ที่โต๊ะแล้วยิ้ม
“อาจารย์ไต้?” ได้ยินชื่อไต้หราน น้ำเสียงของนายท่านเสิ่นเบาลง “ขอให้เธอไปที่สมาคมเหรอ”
สถานที่ในเมืองหลวงนั้นลึกล้ำ หากไม่ระมัดระวังอาจเป็นอันตรายได้ อย่างเช่นตระกูลเมิ่ง ที่แม้แต่ถูกคนแบบไหนปองร้ายก็ยังไม่รู้ ท้ายสุดก็ไม่มีอยู่แล้ว
เป็นเพราะคนในแวดวงของอาจารย์ไต้ ตระกูลเสิ่นจึงค่อยๆ ตั้งต้นรากฐานจากวงนอกพีระมิดขึ้นมาได้
ฉินอวี่หยิบตะเกียบขึ้นมา พูดขึ้นเสียงเบา “พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงของอาจารย์เว่ย อาจารย์ของฉันให้การ์ดเชิญกับฉัน พี่สาวกับท่านก็ไปด้วยกันกับฉันพรุ่งนี้สิ”
“งานเลี้ยงของอาจารย์เว่ย?” นายท่านเสิ่นได้ยินประโยคนี้ ก็ลุกขึ้นยืนตบโต๊ะอย่างอดไม่ได้ “อวี่เอ๋อร์ ทำไมเธอไม่บอกให้เร็วกว่านี้ แล้วให้ฉันเตรียมเสื้อผ้ากับสไตลิสต์ให้เธอ”
นายท่านเสิ่นพูดจบแล้วมองไปที่หลินหว่าน พูดน้ำเสียงนุ่มนวล “เธอพาอวี่เอ๋อร์ไปจองชุดเดรสหรูและมองหาสไตลิสต์ให้ด้วย”
คนที่ติดต่อกับฉินอวี่โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นคนของไต้หราน ซึ่งไม่รู้เกี่ยวกับการกระจายอิทธิพลในเมืองหลวง ส่วนมากแล้วจึงเป็นคนจากที่ไต้หรานพูดถึง ‘เพียงแค่ไม่กี่ตระกูล’ เท่านั้น
เมืองหลวงอันลึกล้ำ ที่ฉินอวี่เข้าถึงตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่ตอนต้นเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ว่าลึกลงไปกว่านั้นจะมีคนแบบไหนอยู่อีก
แต่เมื่อเห็นว่านายท่านเสิ่นให้ความใส่ใจในงานเลี้ยงนี้มากเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่าตอนปกติที่ไต้หรานจัดงานเลี้ยงแล้ว
ฉินอวี่ก็เกิดตระหนักขึ้นมาได้ว่า…อาจารย์เว่ยอาจเป็นบุคคลที่พิเศษกว่าที่เธอคิดไว้
เธอแทบจะอดใจไม่ไหว ซัมเมอร์นี้ เธอจะต้องสอบเข้าระดับหกได้แน่นอน และจะต้องเป็นอันดับหนึ่งในหมู่นักเรียนใหม่!
รวมถึง…ใบเบิกทางไปรัฐ M
วันต่อมา
ห้าโมงเย็น
เลขาหลี่ผลักประตูเข้ามาจากด้านนอก ดันแว่นตาที่อยู่สันจมูกขึ้น “คุณหนูใหญ่ครับ คืนนี้ตอนหนึ่งทุ่มคุณมีงานเลี้ยงใช่รึเปล่า?”
เฉิงเวินหรูวางปากกาในมือลง ตอบว่า “อืม” จากนั้นยกมือขึ้นไปนวดกดขมับ
เลขาหลี่พยักหน้า “สไตลิสต์จะมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมง พวกเราจึงจะออกเดินทางจากบริษัท”
การเตรียมการของเขาเหมาะสมอยู่เสมอ เฉิงเวินหรูไม่ได้ค้านอะไร หยิบเอาการ์ดเชิญในมือขึ้นมาเปิดอ่านดู เมื่อเห็นชื่อที่เขียนบนการ์ดเชิญ เธอหรี่ตาเล็กน้อย “เว่ยหลิน?”
“ท่านคืออาจารย์เว่ย จากสมาคมไวโอลิน” เลขาหลี่ที่อ่านการ์ดเชิญแล้วอธิบาย
“ฉันรู้ เป็นคนที่เก่งกาจและลึกลับคนหนึ่ง” เฉิงเวินหรูปิดการ์ดเชิญ เธอยืนขึ้นและครุ่นคิด
เธอแค่สงสัยว่าเฉิงเจวี้ยนได้การ์ดเชิญจากอาจารย์เว่ยได้อย่างไร
เฉิงเจวี้ยนดูแล้วไม่น่าจะใช่คนที่มีความสามารถทางดนตรี ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับอาจารย์เว่ย แต่เคยได้ยินว่าที่ตระกูลสวีมีคนที่สนใจไวโอลินมากและติดต่อมาเรื่องไวโอลินอยู่
**
ในตอนเย็น
หลินหว่านแต่งตัวให้ฉินอวี่
เมื่อพวกเขามาถึง ที่ลานจอดรถของโรงแรมมีรถจอดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เหมือนกับตอนที่ฉินอวี่เห็นเมื่อปีที่แล้ว มีทั้งรถป้ายทะเบียนหายากและรถหรูหราพื้นที่กว้างขวาง
อีกทั้งมีการปูพรมแดงที่ประตูทางเข้าโรงแรม และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ทั้งสองข้าง
ฉินอวี่หลังตรง ทั้งสองคนเดินตามไต้หรานยื่นการ์ดเชิญให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จากนั้นจึงเดินเข้ามา
ปีที่แล้ว เธอและหลินหว่านถูกหยุดไว้โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่ และบอกว่าเธอไม่สามารถผ่านเข้าประตูไปได้
ปีนี้ เธอสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงระดับนี้ได้
งานเลี้ยงยิ่งใหญ่อลังการ เพียงแค่ก้าวเข้ามาหลินหว่านและฉินอวี่ต่างก็สัมผัสได้ ทั้งสองคนเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง นั่นก็คืองานเลี้ยงต้อนรับศิษย์ของไต้หราน
แต่เทียบกับตอนนี้แล้ว แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ที่ข้างประตูยังมีโปสเตอร์ต้อนรับศิษย์อาจารย์เว่ยติดไว้อีกด้วย
“อาจารย์เว่ยรับศิษย์แล้วหรอ?” หลินหว่านมองดูอยู่พักหนึ่งอย่างไม่ค่อยเชื่อ “ตอนแรกเขาดูถูกเธอไปแล้ว ยังจะรับใครเข้าได้อีก?”
ตระกูลเสิ่นรู้ดีว่า ตอนนี้ฉินอวี่เป็นที่หนึ่ง
ไม่ช้า หลินหว่านก็มองเห็นตัวอักษรที่อยู่ตรงกลาง
ศิษย์ของอาจารย์เว่ย ‘ฉินหร่าน’