โจวอิ่งชี้ไปที่หน้าจอกระดาษคำตอบบนคอมพิวเตอร์ พูดขึ้นท่าทางเรียบเฉย
เขาเพิ่งอ่านเอกสารข้อสอบ รู้ว่าโจทย์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ครึ่งหนึ่งต้องเขียนโปรแกรมขึ้นโดยอาจารย์ผู้ออกสอบ
ฉินหร่าน…ทำได้หมด
นี่เพิ่งปีหนึ่ง จริงๆ ยังไม่ได้เข้าเรียนด้วยซ้ำ…
ทั้งยังคัดลอกเอาโปรแกรมการสอบของระบบทางการศึกษามาใส่ในคอมพิวเตอร์ของคณบดีเจียงอย่างเงียบๆ ด้วย
ถ้ากลุ่มคนฝ่ายคอมพิวเตอร์รู้เรื่องนี้ล่ะก็…
สถาบันของพวกเขาคงอยู่ไม่สุขแล้วจริงๆ! นอกจากต้องกันคนจากแผนกคณิตศาสตร์ยังต้องป้องกันจากแผนกคอมพิวเตอร์ด้วย!
ฟังคำพูดของโจวอิ่ง
คณบดีเจียง “…” ฉันล่ะ
เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ปล่อยวาง แล้วลบหน้าจอเอกสารข้อสอบของฉินหร่านออกอย่างเย็นชา
ส่วนคะแนนสอบของเอกสารข้อสอบแผ่นนี้…
บุคคลที่สามารถแฮ็กระบบทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ ยังต้องแก้ไขเอกสารของเธออีกเหรอ
โจวอิ่งนำเอกสารสามแผ่นเก็บไว้สีหน้าเรียบเฉย
**
ทางฝั่งนี้ ฉินหร่านและเฉิงเจวี้ยนกับคนอื่นๆ ออกจากโรงเรียน
ตอนบ่าย ถึงเวลากินข้าวพอดี
ทั้งกลุ่มเตรียมไปกินข้าวก่อน
เฉิงมู่จองโรงแรมไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งกลุ่มนั่งอยู่ในเลานจ์
เฉิงมู่เอาร่มกันแดดแขวนไว้ด้านข้าง
ฉินหลิงถือโทรศัพท์ มองตามมือเฉิงมู่จนกระทั่งเขาวางร่มกันแดดลง
“เธออยากได้อะไรไหม” เฉิงมู่รู้สึกได้ถึงสายตาของฉินหลิง ถามขึ้น
ฉินหลิงละสายตากลับ ส่ายหัวอย่างเย็นชา
“ครั้งนี้คุณอามาอยู่อาศัยที่เมืองหลวงยาวๆ เลยสินะ” เฉิงเจวี้ยนรินชาถ้วยหนึ่งให้ฉินฮั่นชิว หรี่ตาลง พูดอย่างสุภาพมาก
ฉินฮั่นชิวประทับใจชายหนุ่มคนนี้มาก เขาไม่แม้แต่ปฏิบัติเหมือนเขาเป็นคนนอก ครุ่นคิดสักพักจึงพูดขึ้น “น่าจะใช่…หาคนในครอบครัวเจอแล้ว”
“ครอบครัวของคุณอา?” เฉิงเจวี้ยนเงยหน้า
“ตอนฉันเป็นเด็กถูกลักพาตัวไปที่เมืองหนิงไห่” ฉินฮั่นชิวไม่ได้ปกปิดเฉิงเจวี้ยน หยิบถ้วยชา พึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยพูด “สองเดือนก่อน มีคนหาเมืองหนิงไห่เจอ”
ฉินฮั่นชิวรู้เรื่องของคนอื่นไม่มาก คนพวกนั้นแค่ให้เขาไปที่เมืองหลวงก่อน เขาเหลือบมองฉินหร่าน มุมปากขมุบขมิบเล็กน้อยแล้วจึงพูดเสียงเบา “หร่านหร่าน เธอตกลงหรือไม่…”
“ไม่” ฉินหร่านเท้าคางมือหนึ่ง มือหนึ่งพลิกโทรศัพท์ ไม่รอให้ฉินฮั่นชิวพูดจบประโยค ก็ตอบปฏิเสธไป
ฉินฮั่นชิวรู้ผลลัพธ์นี้อยู่แล้ว
ตอนเด็กฉินหร่านไม่ได้ใกล้ชิดกับเขา ซ้ำคนที่เขาสนใจยังเป็นฉินอวี่ แต่ตอนนี้…
ในใจของฉินฮั่นชิวถอนหายใจออกมา ไม่ได้พูดอะไรอีก
“คุณอา ตอนนี้พวกคุณอาศัยอยู่ที่ไหน” เฉิงเจวี้ยนรู้สึกได้ว่าความฉินหร่านมีท่าทีค่อนข้างเย็นชาต่อฉินฮั่นชิว แต่เธอมีท่าทีต่อน้องชายตัวแสบนั่นค่อนข้างดี
ฉินฮั่นชิวได้สติกลับมา “ไม่รู้ ต้องรอฉินซูให้คนติดต่อฉัน”
เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า เอนหลังพิงเก้าอี้ วางมือบนที่วางแขนมองดูฉินหร่านแล้วยิ้ม “รอคุณยืนยันที่อยู่แล้วส่งวีแชทมาให้ผม”
ก่อนหน้านี้เขาและฉินฮั่นชิวเพิ่มวีแชทกันแล้ว
ฉินฮั่นชิวหยิบตะเกียบ “เข้าใจแล้ว”
ฉินฮั่นชิวอยู่กับเฉิงเจวี้ยนเป็นธรรมชาติมากกว่า มื้อนี้ทั้งสองคนยังดื่มเหล้าด้วยกันนิดหน่อย พูดคุยกันมากมาย ส่วนมากเป็นฉินฮั่นชิวพูดมา เฉิงเจวี้ยนก็เงียบ
ครั้งนี้ฉินหร่านมีบทเรียนจากครั้งที่แล้ว ไม่ให้สองคนดื่มมาก
กินข้าวเสร็จ คนนั้นที่ฉินฮั่นชิวเอ่ยถึง ‘ฉินซู’ ยังไม่ติดต่อเขา
ฉินหร่านมือเคาะโต๊ะ รออย่างหมดความอดทน เธอเอียงศีรษะถามฉินหลิง “ฉินซูคนนั้นของพวกคุณเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รู้” ฉินหลิงก้มหน้าเล่นมินิเกมในโทรศัพท์ ฉินหร่านถาม เขาจึงเงยหน้าขึ้น
ฉินหร่านยังอยากพูดอะไร
โทรศัพท์ในกระเป๋าของฉินฮั่นชิวดังขึ้นในที่สุด ในที่สุด ‘ฉินซู’ ที่เขาเอ่ยถึงก็โทรศัพท์เขา
ฉินซูในสายถามที่อยู่เขา ฉินฮั่นชิวไม่รู้ที่อยู่ของโรงแรมนี้ มองไปที่เฉิงเจวี้ยนโดยไม่ตั้งใจ เฉิงเจวี้ยนพูดชื่อหนึ่งไป
รอวางสายไป ฉินฮั่นชิวจึงลุกขึ้น พูดกับเฉิงเจวี้ยน “ไม่ต้องรอกับฉันแล้ว ฉินซูจะมาเร็วๆ นี้”
เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่าน อีกฝ่ายที่รออย่างหมดความอดทน ก้มหน้าลงแกะอมยิ้มออกช้าๆ
ทั้งกลุ่มลงมาด้านล่าง
ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท แต่เสาไฟถนนค่อยๆ เปิดขึ้น
ฉินฮั่นชิวยืนอยู่ใต้เสาไฟ โบกมือให้ฉินหร่านและคนอื่นๆ “พวกคุณไปก่อนเลย ข้างถนนยุงเยอะ”
“โอเค ระวังตัวด้วยนะคุณอา” เฉิงเจวี้ยนบอกลาฉินฮั่นชิวอย่างสุภาพ “พวกเรากลับก่อนแล้ว”
เมื่อมั่นใจว่าฉินซูคนนั้นของฉินฮั่นชิวจะมารับเขาถึงที่โรงแรม ทั้งเฉิงเจวี้ยนและฉินหร่านก็ไม่ได้รอต่อ จึงขอตัวก่อนแล้ว
ฉินฮั่นชิวยืนอยู่ใต้เสาไฟ ก้มหน้ามองฉินหลิง
ฉินหลิงยังคงเล่นเกม
เขาเม้มปากพูดขึ้น “เสี่ยวหลิงถ้าหลังจากนี้เธอมีตังค์ ต้องไม่ลืมพี่ชายของเธอ”
ฉินหลิงยังคงเล่นเกม ไม่เงยหน้า “อื้ม”
“ฉันรู้ว่าตอนเธอเป็นเด็กชอบโดดเรียนไปที่โรงเรียนพี่สาว” ฉินฮั่นชิวเอื้อมมือไปตบๆ ที่หัวฉินหลิง ถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก
ฉินหลิงวางมือลงชั่วขณะ
ตอนที่เขายังเด็กมาก เขาได้ยินคนรอบข้างบอกว่าเขาเหมือนพี่สาวคนนั้นมาก ดังนั้นเขาเลยมักจะโดดเรียนไปที่โรงเรียนมัธยมหนิงไห่หาพี่สาวที่คนอื่นเอ่ยถึงของเขา…
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน รถคันหนึ่งจอดลงข้างพวกเขาอย่างช้าๆ
“ใช่พวกเขาไหม?” ที่ข้างคนขับ ชายชราผมสีเทาประปรายหรี่ตาสองข้างมองพวกฉินฮั่นชิว พูดน้ำเสียงเย็นชามาก
ชายวัยกลางคนนั่งที่คนขับพยักหน้า
ชายชราละสายตากลับด้วยความผิดหวัง “ไม่มีวี่แววของนายท่าน ให้พวกเขาขึ้นรถเถอะ ค่อยกลับไปบ้านเก่า ขับไปชุมชนอวิ๋นจิ่น…”
ชายวัยกลางคนพูดขึ้น “ได้ยินว่านายท่านคนที่สองมีลูกสาวสองคน…”
“ไม่ต้องแล้ว” ชายชราโบกมือ น้ำเสียงยังคงราบเรียบและไม่ได้แสดงท่าทีอะไร “ไม่จำเป็น”
ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงเปิดประตูรถไปหาพวกฉินฮั่นชิว
**
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี่ก็กลับถึงบ้านตระกูลเสิ่น
วันนี้เธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใจหายคิดอะไรไม่ออก
นายท่านเฉิงและคนอื่นๆ ต่างรอฉินอวี่มาทานข้าว เมื่อเห็นเธอ ที่หน้าก็ยิ้มไม่หยุด ถามน้ำเสียงอ่อนโยน “อวี่เอ๋อร์ นิทรรศการงานแข่งขันวันนี้เป็นไงบ้าง”
“ก็ดี” ฉินอวี่กำตะเกียบแน่น หลับตาลง ไม่ให้หลินหว่านและคนอื่นเห็นสีหน้าที่แสดงออกผ่านดวงตา
“ฉันรู้อยู่แล้ว” หลินหว่านได้ยินแล้วยิ้มเล็กน้อย “อวี่เอ๋อร์เป็นนักไวโอลินระดับหกเพียงคนเดียว แน่นอนรอบนี้เธอต้องเป็นที่หนึ่ง”
ฉินอวี่จับตะเกียบแน่นขึ้น
เธอพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อเป็นตัวแทนของรัฐ M ในรอบนี้ ก็เพื่อให้คุณเอินเก๋อประทับใจ ถึงกับเปลี่ยนแผ่นหมายเลขโดยไม่สนใจความประทับใจที่อาจารย์เว่ยมีให้เธอ ตอนแรกคิดว่าตัวเองสอบถึงระดับหกของสมาคม จะทำให้ฉินหร่านยืนอยู่ใต้เท้า ในการแสดงครั้งนี้ยืนหนึ่งอย่างอัศจรรย์…
ใครจะไปนึก จู่ๆ ฉินหร่านก็ขึ้นมาระดับเจ็ดได้โดยไม่มีสัญญาณอะไร!
ที่สนามนิทรรศการงานแข่งขันเธอแพ้อย่างราบคาบ ท้ายสุดผลการตัดสินใกล้เคียงกับวังจือเฟิง!
ระดับเจ็ด สามารถสมัครเป็นอาจารย์ฝึกหัดในสมาคมได้แล้ว…ระดับหกไประดับเจ็ดเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ถึงฉินอวี่จะมั่นใจแค่ไหน ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถสอบระดับหกไประดับเจ็ดได้ภายในหนึ่งปี…
ช่องว่างนี้ไม่สามารถเติมเต็มได้ด้วยเวลา…
คิดถึงคำที่ครั้งหนึ่งตัวเองเคยพูดไว้กับฉินหร่าน ฉินอวี่ไม่รู้ต้องใช้คำไหนมาอธิบายความรู้สึกตัวเองตอนนี้
หลินหว่านดูไม่ออกว่าฉินอวี่มีท่าทางผิดปกติ เธอยังยิ้ม “อวี่เอ๋อร์ เวยป๋อเธอลงวิดีโอไปรึยัง เกือบครึ่งเดือนแล้วที่เธอไม่ได้ลงวิดีโอ แฟนคลับของเธอเรียกร้องกันหมดแล้ว”
“ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวขึ้นไปจะรีบโพสต์” ฉินอวี่พยักหน้า เธอไม่มีอารมณ์กินข้าว จึงกินเพียงไม่กี่คำแล้วลุกขึ้น “ฉันขึ้นไปซ้อมไวโอลินแล้ว”
ด้านบน หลังจากฉินอวี่กลับมาถึงห้องของตัวเอง ก็ไล่ดูคลังภาพของตัวเองไปมา
เลือกเอาวิดีโออันหนึ่งโพสต์ลงบนเวยป๋อ
ผ่านไปสักพัก ข่าวต่างๆ ทยอยแสดงขึ้นมา
ฉินอวี่คลิกที่หน้าต่างความคิดเห็น ก็พบการถูกใจความคิดเห็นยอดนิยม…
มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋: [อ๊ะๆๆๆ บล็อกเกอร์อมตะ! นึกไม่ถึงว่าจะประสานเสียงได้!]
ในอีกด้านของเว่ยป๋อ มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋คลิกดูวิดีโอของฉินอวี่หลายรอบ จึงวางโทรศัพท์ลงอย่างอาลัยอาวรณ์
ไม่นาน คู่ขาของเธอก็ส่งโพสต์เว่ยป๋ออีกอันให้เธอ…
[เธอดูสิ ผู้หญิงที่อยู่ในรายการค้นหายอดนิยมคนนี้เก่งกว่าบล็อกเกอร์คนนั้นที่เธอติดตามรึเปล่า]
มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋คลิกเปิดลิงก์เวยป๋อตามไปอย่างสงสัย ซึ่งเป็นวิดีโอการเล่นไวโอลินเช่นกัน เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงในคลิป
แต่ความรวดเร็วในตอนเริ่มเข้าถึงเธอ ตามด้วยเทคนิคการสั่นทยอยเข้ามา คนฟังต่างพอใจมาก เพียงแต่…
ฟังได้ครึ่งเดียว มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋ปิดคลิป มองคำอธิบายบนเว่ยป๋อ: ต้นฉบับ
เธอหรี่ตา
และฝากข้อความด้วยความโกรธ…
มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋: ถามหน่อยสิบล็อกเกอร์ ทำไมต้นฉบับดนตรีของคนนี้คล้ายกันกับวิดีโอตอนแรกของ @ฉินอวี่