เมือง T เหอเฉินมองแชทกลุ่มแล้วยิ้ม
นกยามอรุณ: เท่าที่ฉันรู้ ยักษ์ใหญ่ผู้รับผิดชอบ ‘การเดินทาง’ ทั้งสาม ทั้งทางน้ำ บกและอากาศก็อยู่ที่เมืองหลวง เชื่อหรือไม่ ตอนที่คุณนั่งอยู่เครื่องบินส่วนตัว ยังไม่บินข้ามชายแดน ก็จะถูกคนทำร้าย
ช่วงนี้เหอเฉินพัวพันกับเรื่องเหล่านี้ และพบชุดข้อมูลลูกน้องทางน้ำ บกและอากาศของยักษ์ใหญ่ผู้นี้
ข่าว กิจกรรมในช่วงปีนี้ล้วนแต่อยู่ในเมืองหลวง
เธอกล้าคอนเฟิร์มเลยว่ายักษ์ใหญ่ท่านนี้เป็นคนเมืองหลวง ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
ซ่อนตัวลึกลับเหมือนหมาป่าเดียวดายในครอบครัวของพวกเขา
จระเข้ยักษ์ยังรู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือ ฉันคิดว่าสักวันจะเชิญลูกพี่ใหญ่มาที่ชายแดน
เหอเฉินมองตอบแล้วหัวเราะเบาๆ เครือข่ายของจระเข้ยักษ์กับผู้คนนี่สุดยอดชะมัด เธอวางโทรศัพท์ลง
“พี่เหอ พวกเราเลิกงานแล้วเหรอ” เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ มองเธอ
เหอเฉินพยักหน้า สะพายกระเป๋า “ใช่ ยังมีรายงานล่าสุดอีกฉบับ พวกคุณไปอีกรอบ ฉันมีธุระบางอย่างต้องกลับเมือง”
เธอหยิบเอากุญแจรถ แล้วออกไป
เธอออกไปได้ไม่นาน
ชายร่างสูงขายาวก็ออกมาจากประตู กลุ่มนักข่าวรีบเข้าไปห้อมล้อมเขา “ประธานฉวี…”
ดวงตาสีเข้มของฉวีจือเซียวกวาดมองกลุ่มผู้คน ไม่เห็นร่องรอยบุคคลคุ้นเคยอยู่ในกลุ่มคน เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ให้สัมภาษณ์การพัฒนากับนักข่าวเสร็จ ฉวีจือเซียวนั่งลงที่ในรถของตัวเอง
“ประธานฉวี มีโทรศัพท์…” เลขาที่อยู่ข้างคนขับหยิบโทรศัพท์
ฉวีจือเซียวขมวดคิ้ว “ไม่รับ”
เลขากดเสียงต่ำ “จากคุณโอวหยาง”
ฉวีจือเซียวหยุดลง เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์มา เปลี่ยนท่าทีสงบลง
**
วันต่อมา
ในตอนเช้านายท่านเฉิงมาที่ถิงหลาน นั่งที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้า ทานข้าวกับฉินหร่านและคนอื่นๆ สีหน้าท่าทางการแสดงออกดูดีมาก
เฉิงเจวี้ยนขึ้นมาจากข้างล่างหลังจากวิ่งตอนเช้าเสร็จ
“คุณฉิน” เฉิงมู่งับขนมปัง ถามฉินหร่าน “ทำไมคุณไม่ได้ซ้อมทุกวัน ยังเก่งได้ขนาดนี้”
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นฉินหร่านวิ่งตอนเช้า
ฉินหร่านหยิบนมที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา น้ำเสียงสบายๆ “ใครจะไปรู้”
เฉิงมู่ “…”
หลังจากเฉิงเจวี้ยนอาบน้ำเสร็จ ฉินหร่านกินข้าวเสร็จแล้ว ก็พิงพนักเก้าอี้เล่นโทรศัพท์อย่างเกียจคร้าน
สามวันแล้วเกมในโทรศัพท์ของฉินหลิงยังไม่ผ่าน ฉินหร่านกำลังบันทึกหน้าจอของเขา
ใช้โทรศัพท์ใหม่ของเธอ
บางมาก
เฉิงเจวี้ยนลากเก้าอี้ข้างเธอมานั่งลง มองดูโทรทัศน์ของเธอ แล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบขนมปังมาชิ้นหนึ่งอย่างเกียจคร้าน โทรศัพท์ที่วางอยู่อีกด้านดังขึ้น เขาไปรับมัน
ฟังจบประโยค เขาเหลือบมองฉินหร่าน “จากอาจารย์เว่ย ถามว่าเธออยากไปศึกษาต่อรึเปล่า”
“ศึกษาต่ออะไร” ฉินหร่านไม่เงยหน้า ยังคงบันทึกหน้าจอ
นายท่านเฉิงนั่งอยู่อีกฝั่ง เขากินเสร็จแล้ว กำลังดื่มชา ได้ยินเสียงของเฉิงเจวี้ยน เขาก็เงี่ยหูฟังด้วย
“สมาคมไวโอลินรัฐ M” เฉิงเจวี้ยนพูด
“ไม่ไป” ฉินหร่านรู้เรื่องนี้ เธอคาดไว้ว่าน่าจะได้ที่หนึ่ง ยังคงไม่เงยหน้า “ให้โควต้าวังจือเฟิง”
เฉิงเจวี้ยนพูดแทนให้อาจารย์เว่ยอย่างสุภาพ
เขาวางโทรศัพท์
นายท่านเฉิงตอนที่ได้ยินว่ารัฐ M มือที่ถือถ้วยชาอยู่ชะงักลง เขาไม่ได้มองเฉิงเจวี้ยน เพียงมองไปที่ฉินหร่าน “หร่านหร่าน ทำไมไม่ไปรัฐ M อันที่จริงรัฐ M พัฒนาได้ดี ถ้าเธออยู่ที่สมาคมรัฐ M แน่นอนต้องได้เข้ามหา’ลัย M…”
พ่อบ้านเฉิงที่อยู่ด้านหลังพยักหน้า เหมือนไก่จิกข้าว
เฉิงมู่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพ่อบ้านเฉิงเหลือบมองพ่อบ้านเฉิง
พ่อบ้านเฉิงกัดฟัน เอาอีกแล้ว!
ฉินหร่านดำเนินการสำเร็จ บันทึกหน้าจอเสร็จ จากนั้นรวมไฟล์วิดีโอส่งให้ฉินหลิง
แล้วจึงค่อยมองที่นายท่านเฉิง รู้สึกได้ว่าเขานั่งตัวตรง “รัฐ M เล็กไป”
ตอนแรกนายท่านเฉิงยังต้องการจะอธิบายเกี่ยวกับการไปรัฐ M ที่กำลังพัฒนาว่ามีผลดีต่อเธอให้กับเธอ กระทั่งได้ยินประโยคนี้ เขาฉุกคิดว่าตัวเองได้ยินผิด “เธอพูดอะไร”
“รัฐ M ขนาดไม่ใหญ่เท่าเมืองอวิ๋น” ฉินหร่านอธิบายต่อ
รัฐ M เป็นศูนย์กลางการพัฒนาทางการเงินของกองกำลังระหว่างประเทศ มีกองกำลังหลักราวๆ จำนวนหนึ่งประจำการอยู่ มีความคึกคักวุ่นวาย เนื่องจากไม่นับว่าอยู่ฝ่ายใด ดังนั้นพื้นที่จึงขยายไม่ใหญ่ แต่ที่ ‘ไม่ใหญ่’ ในที่นี้ก็เทียบกับเมืองธรรมดาไม่ได้ และระดับความเจริญรุ่งเรืองก็สูง…
จนถึงตอนนี้ นายท่านยังไม่เคยได้ยินใครใช้คำว่า ‘เล็ก’ มาอธิบายถึงรัฐ M…
เขามองฉินหร่านอย่างตกอยู่ในภวังค์ “จริง…ไม่ใหญ่จริงๆ…”
พ่อบ้านเฉิงเหลือบมองฉินหร่าน จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนฉินหร่านอารมณ์เหมือนนายน้อยทั้งสามคน หนักแน่น ใครบ้างจะกล้าพูดว่ารัฐ M เล็ก
กินข้าวเสร็จ นายท่านเฉิงตามหลังเฉิงเจวี้ยน พาฉินหร่านไปเดินห้างสรรพสินค้า ช่วยเธอซื้อของจำเป็นตอนเปิดเรียน
มหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ นักศึกษาปีหนึ่งเทอมแรก ทุกคนต้องอยู่ในหอพัก
ก่อนหน้านี้สัมภาระของเฉิงเวินหรูกับเฉิงเจวี้ยนล้วนแต่เป็นพ่อบ้านเฉิงจัดเตรียมให้ เป็นครั้งแรกที่นายท่านเฉิงทำเรื่องแบบนี้ มาที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ด้วยตัวเอง
ท่าทางแบบนั้นของเฉิงเจวี้ยนก็ไม่เหมือนคนที่จะมาเดินห้างสรรพสินค้า
ส่วนฉินหร่าน…
ห้างสรรพสินค้าคนเยอะ เธอค่อนข้างอยากไปซื้อเสื้อผ้าที่ข้างทางเหมือนเหอเฉิน
ท้ายที่สุดพ่อบ้านเฉิงก็ยังเป็นคนจัดการ แก้ไขสถานการณ์ที่น่าอับอาย ซื้อของมาหนึ่งชุดเสร็จสรรพ พ่อบ้านเฉิงให้คนขับรถตระกูลเฉิงกลับไปที่คอนโดถิงหลาน กลุ่มพวกฉินหร่านและเฉิงเจวี้ยนไปกินข้าวที่ร้านอาหารชั้นบน
ทานอาหารกลางวันเสร็จ ฉินหร่านเตรียมไปหาฉังหนิงที่ 129
“หาเพื่อน?” นายท่านเฉิงพูดขึ้นอย่างห่วงใย “ที่ไหน ไปคนเดียวปลอดภัยไหม”
ฉินหร่านพูดที่อยู่โดยรวม
นายท่านเฉิงพยักหน้า “ถ้างั้นให้คนขับรถไปส่งเธอ”
รอฉินหร่านออกไป นายท่านเฉิงก็หรี่ตา เขาอาศัยอยู่เมืองหลวงมากี่สิบปีแล้ว รู้ถึงสถานการณ์ของเมืองหลวงดี ทางที่ฉินหร่านพูดไม่ใช่เส้นทางผิดกฎหมายหรอกเหรอ
แทบไม่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมอิทธิพลใดๆ
“หร่านหร่านไปคนเดียวได้ใช่ไหม” นายท่านเฉิงเหลือบมองเฉิงเจวี้ยน จู่ๆ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ทำไมไม่ไปกับเธอ”
อยู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว เป็นครั้งแรกนายท่านตระกูลเฉิงโกรธเคืองลูกชายของเขา
เฉิงเจวี้ยน “…”
เฉิงมู่นั่งดื่มน้ำเงียบๆ อยู่อีกฝั่ง เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่ถอนหายใจใส่เฉิงเจวี้ยนในใจ สถานะทางครอบครัวน่าเป็นห่วง
**
เมืองหลวง เส้นทางผิดกฎหมาย
ฉินหร่านลงจากรถ ให้คนขับรถตระกูลเฉิงกลับไป
เธอกดหมวกปีกแหลมลง และสวมใส่หน้ากากปิดปาก ทั้งส่งข้อความหาฉังหนิง พลางเดินไปทางฐานของหน่วย 129
ในวีแชท วังจือเฟิงส่งอีโมติคอน ‘คุกเข่า’ มาพอดี
ฉังหนิงจ้องที่โทรศัพท์รอข้อความของฉินหร่าน เห็นฉินหร่านส่งวีแชทเข้ามา เขารีบยืนขึ้นจากเก้าอี้ ทั้งโทรศัพท์หาฉินหร่าน พลางเดินออกไปด้านนอก
“ผู้อำนวยการฉัง?” คนที่อยู่ด้านล่างเห็นท่าทีที่ดูเที่ยงตรง ไม่แยแสของผู้อำนวยการฉังเป็นครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างแปลกใจ
ฉังหนิงหันไปพยักหน้าทางพวกเขา แล้วออกจากประตูกระจก ยืนมองออกไปอยู่ที่ประตู
ไม่นาน ก็เห็นร่างที่สวมทีเชิ้ตสีขาว อีกฝ่ายกดหมวกปีกแหลมลงต่ำและสวมใส่หน้ากากปิดปาก เห็นหน้าไม่ชัด แต่อารมณ์ท่าทางยังไงก็ปิดบังไว้ไม่มิด
ไม่ได้มีท่าทีเย็นชาต่อกลุ่มคนมากนัก แต่ก็มีด้านที่ดูเกียจคร้าน ต่างจากที่ฉังหนิงคิดเอาไว้ไม่มากนัก เขาโบกมือ “ทางนี้”
เขาพาฉินหร่านขึ้นชั้นบน เปิดประตูให้เธอและช่วยกดประตูลิฟต์ให้เธอ
เหล่านี้สร้างความประหลาดใจแก่พนักงานทั่วไปที่อยู่ชั้นหนึ่ง
รอประตูลิฟต์ปิดลง พนักงานทั่วไปที่ชั้นหนึ่งมองหน้ากัน “เมื่อกี้นั่นใช่ผู้อำนวยการฉังรึเปล่า”
พนักงานทั่วไปอย่างพวกเขาไม่ได้พบกับฉังหนิงและคนอื่นๆ แค่เห็นรูปของเขาในเว็บไซต์ภายในของ 129
“ใช่แล้ว นั่นเขา” โอวหยางเวยละสายตากลับ หายใจเข้าลึก
“ใช่ผู้อำนวยการฉังจริงด้วย!” กลุ่มคนใหม่ตื่นเต้นมาก “ถ้างั้นผู้หญิงที่อยู่ข้างเขาเป็นใคร รู้สึกว่าผู้อำนวยการฉังสุภาพกับเธอมาก”
โอวหยางเวยมีศักดิ์ค่อนข้างสูงเมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มพนักงานธรรมดาเหล่านี้ ทุกคนต่างมองมาที่เธอโดยไม่รู้ตัว
“น่าจะเป็นสมาชิกหลัก…นกยามอรุณมั้ง ไม่คิดว่าเธอจะสาวขนาดนี้” โอวหยางเวยวางโทรศัพท์ หัวเราะออกมา
คนอื่นๆ พยักหน้า “น่าจะใช่เธอ”
สมาชิกหลักของ 129 หมาป่าเดียวดายกับจระเข้ยักษ์ลึกลับสุด ทุกคนต่างรู้ว่าจระเข้ยักษ์เป็นผู้ชาย หมาป่าเดียวดายแม้กระทั่งเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงต่างไม่มีใครรู้
มีเพียงข่าวของนกยามอรุณที่มากกว่าหน่อย
กลุ่มคนใหม่กำลังพูดคุยกันอย่างดุเดือด แต่โอวหยางเวยกลับส่งสายตาไปมองที่ลิฟต์ที่กำลังขึ้นไปยังข้างบนอีกครั้ง …
**
ด้านบน ฉินหร่านเข้ามาในสำนักงานดึงหน้ากากปิดปากออก และใช้มือถอดหมวกปีกแหลมลงวางไว้อีกด้าน
กวาดตามองไปรอบๆสำนักงาน ท้ายสุดไปหยุดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์บนโต๊ะสำนักงาน “ฉันขอใช้คอมพิวเตอร์ของคุณหน่อย”
แม้ว่าจะเห็นวิดีโอของฉินหร่านมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าจริงๆ ของฉินหร่าน ฉังหนิงก็ยังรู้สึกประทับใจมาก
เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูสักพัก โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ก้มหน้าดู ฉังหนิงจึงปิดเครื่อง แล้วมองไปที่ฉินหร่าน “คุณใช้ได้ตามสบาย ฉันจะลงไปรับใครบางคน”
ฉินหร่านรู้ว่าน่าจะเป็นเพียงไม่กี่คน เหอเฉินไม่จำเป็นต้องลงไปรับ เธอลากเก้าอี้ออกมานั่งตามใจ เงยหน้า ท่าทางสงสัย
“ใคร”
ฉังหนิงยิ้มอย่างมีลับลมคมใน ไม่ได้บอกฉินหร่านไปตรงๆ “รอเขาขึ้นมาเธอก็จะรู้เอง”
เขาพูดจบ ก็เปิดประตูออกไป ก่อนปิดประตูลง