ในเวยป๋อมีการล้อเลียนเสียดสี และยังมีการลงรูปเข้าไปอีก ซึ่งเป็นรูปที่มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋ทำขึ้นเพื่อเปรียบเทียบ ในนั้นยังมีการวิเคราะห์อย่างเชี่ยวชาญมากอยู่ด้วย
เวยป๋อหน้านี้ถูกแฟนคลับของฉินอวี่ซื้อความนิยมให้มากยิ่งขึ้น แค่โดยปกติแล้ว ฉินอวี่ก็เป็นบล็อกเกอร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มีความคิดเห็นถึงหนึ่งหมื่นแล้ว
การเคลื่อนไหวที่ใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าฝั่งเจ้าหน้าที่สมาคมเมืองหลวงรับรู้แล้ว
“ฉันเห็นแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีการลอกเลียนแบบจริงๆ…” คนในฝ่ายรับผิดชอบบล็อกอย่างเป็นทางการของสมาคมเมืองหลวงมองหน้ากันไปมา ต่างก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้คัดลอกกันแน่ “ตอนนี้ต้องทำยังไง”
“ฉันจำได้ว่าปีก่อนเหมือนอาจารย์เว่ยเคยพูดว่าฉินอวี่ลอกเลียนแบบ ดังนั้นจึงไม่รับเธอเป็นศิษย์รึเปล่า” อีกคนหนึ่งจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์เว่ยและลูกศิษย์ของเขา ผู้ดูแลบล็อกเหล่านี้เป็นเพียงพนักงานธรรมดา เรื่องนี้มีอิทธิพลค่อนข้างมาก พวกเขาจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำเพียงแค่ติดต่อหาอาจารย์เว่ย
**
ที่สมาคมเมืองหลวง คนอิจฉาฉินหร่านมีอยู่มาก
โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายกลายเป็นศิษย์หลักของอาจารย์เว่ย ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
คนที่ได้ทีขี่แพะไล่ต่างมีอยู่ไม่น้อย
ไม่นานก็ได้ยินไปถึงหูของไต้หราน
ครั้งก่อนหลังจากนิทรรศการงานแข่งขัน สถานะของไต้หรานในสมาคมไวโอลินเสื่อมลง ช่วงสองวันนี้อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดี จนกระทั่งข่าวที่น่าตกใจของคืนนี้ถูกแพร่ออกมา
“อาจารย์ไต้ เรื่องนี้บังเอิญเกินไปจริงๆ…” คนข้างๆ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนพูดเสียงต่ำ “แต่ฉินอวี่เผยแพร่ไปก่อนฉินหร่านหนึ่งปี นี่ก็เป็นเรื่องจริง”
ไต้หรานยิ้มขำ สายตาเยือกเย็น “ถ้าหากฉินหร่านสามารถแต่งเพลงนี้ได้เมื่อปีที่แล้ว ทำไมถึงได้เพิ่งมาเล่นที่สมาคมในวันนี้กัน”
คนของไต้หรานต่างพยักหน้าให้กับคำพูดของไต้หราน
เพลงที่โดดเด่นเช่นนี้ คนที่ทำออกมาโดยปกติแล้วแทบจะอยากทำให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบังมาตั้งหนึ่งปีค่อยเผยแพร่ออกมาอย่างไม่รีบร้อน
เห็นได้ชัดว่าไต้หรานเองก็คิดเช่นนี้ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ความน่าเชื่อถือของอาจารย์เว่ยต้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก แน่นอนว่ามีผลต่อตำแหน่งของเขาด้วย
เขาโทรศัพท์หาฉินอวี่ทันที
เรื่องนี้ค้างคามาหลายชั่วโมงแล้ว ฉินอวี่ยังคงจดจ่ออย่างอยู่ไม่สุข
ตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอแทบจะกระโดดขึ้น แต่ยังคงควบคุมตัวเองไว้ได้ ไปรับสายที่ตรงระเบียง “ฮัลโหล อาจารย์”
“เรื่องในเวยป๋อเธอรู้แล้วใช่ไหม ไม่ต้องกลัวไป เธอเพียงแค่บอกอาจารย์ เนื้อเพลงใช่ที่เธอทำขึ้นเมื่อปีที่แล้วรึเปล่า มีหลักฐานอะไรไหม” น้ำเสียงของไต้หรานเรียบนิ่ง
ชัดเจนว่าเขาเชื่อในเธอ ประโยคนี้ทำให้ฉินอวี่ที่อยู่ไม่สุขได้รับกำลังใจขึ้นมาบ้าง
เธอสูดหายใจเข้า มองดูนักเรียนที่เดินลงไปด้านล่าง พูดขึ้นอย่างชัดเจน “ฉันเอง ฉันยังมีต้นฉบับอยู่”
ต้นฉบับที่เห็นได้ชัดว่ามันเก่า
เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด
**
ตระกูลเว่ย
อาจารย์เว่ยเพิ่งกลับมาถึง ช่วงนี้วังจือเฟิงต้องไปที่รัฐ M อาจารย์เว่ยช่วยเหลือด้านดำเนินการขั้นตอนในช่วงสองวันนี้ จนเพิ่งได้กลับมาเมื่อเก้าโมงสิบนาที
“วันนี้นายน้อยซุนมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง” กลับถึงบ้าน อาจารย์เว่ยถอดเสื้อคลุม รับถ้วยชาที่อาไห่ยื่นให้มา
“วันนี้ดีเลย เตรียมการที่จะดำเนินธุรกิจขนาดเล็กไว้แล้ว” อาไห่มีท่าทีผ่อนคลายลงมากตอนที่พูดถึงเว่ยจื่อหัง
จู่ๆ ในช่วงปิดเทอมเว่ยจื่อหังก็กลับตัวใหม่ อยากกลับมารับการอบรมจากคนในตระกูล
เพิกเฉยมาตลอดจนถึงตอนนี้ โดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นอาไห่ที่คอยอยู่เคียงข้างเขา
ด้วยเหตุนี้ สองเดือนนี้อาไห่จึงไม่ได้อยู่ข้างกายอาจารย์เว่ย
อาจารย์เว่ยพยักหน้าเล็กน้อย นั่งลงทานข้าวที่โต๊ะอาหาร เป็นเวลานี้ที่โทรศัพท์จากสมาคมเมืองหลวงโทรมา
อาไห่ไปรับสายที่ตรงโซฟา ในตอนแรกยิ้มและมีท่าทีอ่อนโยน
อาจารย์เว่ยกดนวดขมับ จากนั้นเอื้อมมือหยิบถ้วยซุปแล้วดื่มช้าๆ รู้สึกว่าท่าทีของอาไห่ผิดปกติ เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วหรี่ตา “เกิดอะไรขึ้น”
เขาวางถ้วยลง
“นายท่าน เกิดเรื่องแล้วจริงๆ…” อาไห่ขมวดคิ้ว นำเรื่องราวในเวยป๋อบอกเล่าอย่างง่ายๆ ให้อาจารย์เว่ย
อาจารย์เว่ยฟังจบก็เผลอปล่อยตะเกียบในมือลง เสียงกระทบดัง แกร๊ก
เขาขอให้คนเปิดเวยป๋อหน้านั้นของแฟนคลับฉินอวี่ขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นความคิดเห็นของผู้คนที่ด้านล่าง
[นี่น่ะเหรอนักเรียนระดับสูงของสมาคมเมืองหลวง ฉันคนหนึ่งจะเขียนจดหมายเลือด สั่งให้สมาคมเมืองหลวงปลดเธอออก!]
[จดหมายเลือดคนที่สอง!]
[สมาคมเมืองหลวงบ้าไปแล้วเหรอ ถึงได้รับคนแบบนี้มา ช่างเป็นความอัปยศของอุตสาหกรรมไวโอลินเสียจริง น่าเสียใจต่อคุณฉินอวี่]
[เพราะว่าเธอเป็นศิษย์ของอาจารย์เว่ย เธอถึงได้ลอกเลียนแบบมาได้ซื่อๆ ไร้ซึ่งความกลัวงั้นเหรอ]
[ได้ยินมาว่าเป็นศิษย์ของ @อาจารย์เว่ย ด้วยนี่ อาจารย์เว่ย คุณออกมาพูดอะไรหน่อยสิ]
[…]
เรื่องราวที่ค้างคาในตอนค่ำ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
อาจารย์เว่ยโกรธเสียจนกินข้าวไม่ลงแล้ว โน้ตเพลงนั่นเป็นของใคร ทำไมเขาจะไม่รู้
“นายท่าน พวกเราไปหาคุณฉินหร่านไหม” อาไห่พูดเสียงเบา “ให้เธอนำต้นฉบับเผยแพร่ลงไปก็ได้แล้ว”
“เธอมีต้นฉบับที่ไหนล่ะ” อาจารย์เว่ยกดเข้าที่ขมับ แต่ไหนแต่ไรฉินหร่านไม่เคยรู้คุณค่าของต้นฉบับ และเธอยังประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายมาก นี่คือข้อด้อยทางกายภาพของเธอ “ต้นฉบับเหล่านั้นเธอน่าจะโยนทิ้งขว้างไปหมดแล้ว ยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ ก็ทิ้งมันไปแล้ว”
เพราะว่า…
เธอเองน่าจะคิดไม่ถึงว่าของที่ตัวเองมองว่าเป็นขยะนั้น จะเป็นสมบัติล้ำค่าต่อคนอื่น
อาไห่ชะงักไป เขาคิดไม่ถึงมาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ สีหน้าของเขาตอนนี้ก็จริงจังขึ้น “ต้นฉบับของเธอ… ไม่ใช่ว่าถูกฉินอวี่เก็บไปหรอกเหรอ”
เรื่องแบบนี้ ในโลกของศิลปะให้ค่าความสำคัญกับหลักฐานมากที่สุด
ใครที่เปิดตัวก่อน คุณต้องเอาหลักฐานมาแสดง
ฉินหร่านที่ไม่มีทั้งหลักฐาน ทั้งยังไม่มีวิดีโอ ส่วนฉินอวี่อาจจะเก็บต้นฉบับเอาไว้ ที่สำคัญที่สุดคือ…วิดีโอที่เธอเล่นไวโอลินมาหนึ่งปียังคงอยู่ นี่เป็นหลักฐานที่ตรงที่สุด ทางฝั่งฉินหร่านมีเพียงวิดีโอช่วงไม่กี่วันมานี้ ง่ายต่อการที่จะถูกโจมตีจากในอินเทอร์เน็ต
เมื่อหนึ่งปีก่อนอาจารย์เว่ยรู้ว่าเนื้อเพลงของฉินอวี่คือของใคร แต่ในตอนนั้นเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานสำคัญใดมาได้ เพียงแค่พูดถึงนิดหน่อย ในตอนนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ท้ายที่สุดคนในอินเทอร์เน็ตอาจจะพูดว่าเขากดขี่บังคับให้ฉินอวี่ยอมรับการลอกเลียนแบบ
ตอนนี้ความคิดเห็นของสาธารณชนบนอินเทอร์เน็ตมีแรงกดดันหนักมาก คนส่วนมากมีแนวโน้มไปทางด้านผู้อ่อนแอโดยไม่รู้ตัว
แทบไม่ต่างไปจากสถานการณ์ตอนนี้
มีมุมมองส่วนใหญ่ของชาวอินเทอร์เน็ตที่แปลกมาก หมายถึงถ้าคุณอ่อนแอและคุณมีเหตุผล บัญชีโฆษณาใดๆ ล้วนเป็นตัวขับเคลื่อนความคิดเห็นของสาธารณชนให้เชื่อในสิ่งที่คิด ในทางของอาจารย์เว่ยไม่กล้าที่จะมองข้ามไป มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของฉินหร่าน
ขณะที่เขาเดินขึ้นไปชั้นบน ก็ก้มหน้าโทรศัพท์หาเฉิงเจวี้ยน
ส่วนฉินหร่าน…อารมณ์รุนแรงอย่างเธอ อาจารย์เว่ยไม่กล้าพูดคุยด้วย
เกรงว่าเธอจะหยิบเอามีดตรงไปหาฉินอวี่น่ะสิ…
ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น
ผ่านไปหนึ่งคืน ฝั่งของอาจารย์เว่ยไม่มีการเคลื่อนไหว ทางฝั่งฉินหร่านเองก็ไม่มีการเคลื่อนไหว
ฉินอวี่ลุกขึ้นจากเตียง จิตใจผ่อนคลายลงมากขึ้น
เธอรู้จักคนอย่างฉินหร่านเป็นอย่างดี นานขนาดนี้ยังไม่พูดอะไรสักคำ แสดงให้เห็นว่าตัวเธอน่าจะไม่มีหลักฐานอยู่!
ในใจของฉินอวี่ดัง ตึกตัก ตึกตัก เต้นรัวเร็วขึ้นมา
เธอเฝ้ามองตัวเองทั้งคืน ความคิดเห็นในเวยป๋อเพิ่มขึ้นนับพันกว่า ล้วนเป็นการปลอบโยนเธอ ไม่มีใครสักคนที่คิดว่าอาจเป็นเธอที่คัดลอกฉินหร่าน
แฟนคลับเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแสนคน และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สมาคมเมืองหลวงต้องการคนที่มีประวัติการลอกเลียนแบบเช่นนี้อยู่เหรอ
ถ้าไม่มีฉินหร่าน มีเหรอที่เธอจะไม่เป็นที่หนึ่ง
ฉินอวี่เปิดตัวแก้ไขเวยป๋อ โพสต์ลงเวยป๋อ เพื่อแสดงว่าปีที่แล้วที่โรงเรียนเธอแต่งเพลงนี้ขึ้นมา หลายคนในโรงเรียนสามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ เธอยังคงวนเวียนอยู่กับคนในชั้นเรียนหลายคน
ช่วงเวลานั้นเธอฝึกซ้อมไวโอลินอยู่ที่อาคารศิลปะของโรงเรียนเหิงชวนจริงๆ เรื่องนี้คนที่รู้มีอยู่ไม่น้อย
วันนี้เป็นวันลงทะเบียนเรียนวันที่สอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่มหาวิทยาลัย ฉินอวี่จึงตัดสินใจกลับไปบ้านตระกูลเฉิน เปิดกระเป๋าเดินทางของตัวเองออกมา หยิบโน้ตไวโอลินแผ่นนั้นออกมาถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงบนเวยป๋อ…
[ฉันใช้เวลาหนึ่งเดือนในการเขียนสิ่งนี้ออกมา]
**
ถิงหลาน
ฉินหร่านยังอยู่ในห้อง ไม่ได้เปิดผ้าม่าน เธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นิ้วขาวเย็นเยียบละเลงแป้นพิมพ์
โค้ดปรากฏขึ้นทีละแถว
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เธอกดลงที่ปุ่ม ‘enter’ รหัสที่ถูกแปลงค่าก็เปลี่ยนเป็นที่อยู่ IP ที่ดูคุ้นเคย ฉินหร่านหรี่ตา
แต่เธอไม่ได้สนใจ เธอเพียงสวมหูฟัง พูดประโยคหนึ่งกับฉังหนิง “แก้ไขแล้ว ปล่อยจระเข้ยักษ์ไปได้”
ฝั่งฉังหนิงตอบกลับคำเดียว “ได้”
วางสายโทรศัพท์ ติดต่อหาจระเข้ยักษ์ทันที
ฉินหร่านไม่ได้ปิดคอมพิวเตอร์ เพียงถือถ้วยชาลงไปด้านล่าง
ด้านล่าง เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ท่าทีเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์กับใคร เมื่อเห็นเธอลงมา ก็รีบวางสายโทรศัพท์
“ไปกินข้าว” เขาชี้ไปที่โต๊ะกินข้าว จากนั้นนั่งลงอีกฝั่ง มือพลิกโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจ ท่าทีเย็นชาอย่างน่าประหลาด
สายตาของเขาไม่ได้ปิดบัง
ฉินหร่านกินข้าวไปคำหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะพูดก่อน “มีอะไรจะขอร้องฉัน?”
“ใครขอ…” เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอ พูดเพียงครึ่งเดียวก็กลับคำ จากน้ำเสียงที่ไม่เหมือนคนกำลังขอร้องให้คนช่วยก็เปลี่ยนไป “ไม่ใช่ ที่จริงมีเรื่องจะขอร้องเธอ ได้ยินมาว่าเธอมีบันทึกการเติบโตในวันเกิด ขอฉันยืมดูได้ไหม”