“จริงสิ” เมื่อได้ยินพ่อบ้านฉินพูดประโยคนี้ ฉินซิวเฉินก็ดีดนิ้ว เขาเงยหน้ามองผู้จัดการ “นายไปเอาเอกสารที่อยู่ในห้องหนังสือมาให้ฉันหน่อย”
ผู้จัดการรู้ว่าฉินซิวเฉินหมายถึงเอกสารอะไร เขาจึงไปหยิบเอาเอกสารของฉินอวี่ที่ฉินซิวเฉินพิมพ์เมื่อเช้ามาให้พ่อบ้านฉิน
จนกระทั่งพ่อบ้านฉินออกไป ผู้จัดการถึงได้มองมาทางฉินซิวเฉิน
ฉินซิวเฉินลูบหว่างคิ้ว “มีอะไร พูดมา”
“หลานสาวนายมีความคิดจะเข้าวงการไหม?” ผู้จัดการเดินมาหาฉินซิวเฉิน “นายดูหน้าตาเธอสิ อย่างกับเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ สตูดิโอนายกำลังเปิดรับคนใหม่เข้ามาพอดี จะมีอะไรดีไปกว่าการเอาหลานสาวนายมาไว้ใต้เปลือกตา?”
หลานสาวที่ผู้จัดการพูดถึงแน่นอนว่าเป็นฉินหร่าน
“ด้วยสถานะของนายในวงการบันเทิง รวมถึงทรัพยากรที่อยู่ในมือ เธอไม่จำเป็นต้องถูกลากไปงานปาร์ตี้อีนุงตุงนังพวกนั้น หากมีนายเป็นเกราะกำบัง นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกนายชายหนึ่งหญิงหนึ่งจะต้องกวาดเรียบวงการบันเทิงภายในประเทศแน่…”
ผู้จัดการพูดในขณะที่จินตนาการไปถึงภาพฉากดังกล่าว หน้าแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้นพลางยื่นมือตบโต๊ะ
ฉินซิวเฉินเคาะนิ้วกับโซฟาพลางเหลือบมองผู้จัดการ “ดูสถานการณ์ไปก่อน ถ้านายสามารถเกลี้ยกล่อมให้เธอเข้าวงการบันเทิงได้ อะไรก็ดีทั้งนั้น”
เขาคิดแค่ว่า…ฉินหร่านไม่เหมือนคนที่จะเข้าวงการบันเทิง
ด้วยรูปร่างหน้าตาของเธอ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีแมวมองเข้าหาเธอ
อีกอย่าง…
ฉินซิวเฉินนึกถึงรถที่เห็นเมื่อคืน…
ผู้จัดการทำหน้าดีอกดีใจ เขาลุกพรวด “งั้นนายเอาช่องทางติดต่อเธอมาให้ฉัน!”
ฉินซิวเฉินมีแค่เบอร์โทรฉินหร่าน แต่ไม่ได้ให้ผู้จัดการ พูดเพียงว่า “นายไปเอาที่เสี่ยวหลิง”
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา กดไปที่เบอร์ฉินหร่านที่เก็บไว้ในโทรศัพท์ มองอยู่นานสองนานก็เปิดวีแชท เปิดดูที่การเพิ่มเพื่อนในสมุดบันทึก ไม่นานก็เห็นไอดีฉินหร่าน พอเขากดเข้าไปดูก็เห็นภาพโปรไฟล์สีขาวล้วน ไม่มีอะไรเลย เขากรอกข้อความยืนยันเพียงสามคำ——
(ฉินซิวเฉิน)
**
ขณะนี้พ่อบ้านฉินได้กลับไปยังคฤหาสน์ประจำตระกูลฉินเรียบร้อยแล้ว
กำลังอ่านข้อมูลอยู่ในห้องตัวเอง
อาเหวินมาเคาะประตูอยู่ด้านนอก
พ่อบ้านฉินวางแว่นตาอ่านหนังสือลง พูดเสียงทุ้ม “เข้ามา”
“พ่อบ้านฉิน” อาเหวินเดินไปข้างๆ พ่อบ้านฉิน เมื่อเห็นเอกสารที่วางบนโต๊ะเขา สายตาก็เป็นประกายเคร่งขรึม เสียงแทบจะแตกซ่าน “เอกสาร129? คุณมีมันได้ยังไง?”
หน้าเอกสารที่ฉินซิวเฉินพิมพ์ออกมามีรูป129อยู่ที่มุมล่างขวา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ129
อาเหวินอยู่ตระกูลฉินมานานแล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้อิทธิพลอำนาจในเมืองหลวง?
ปีที่แล้วตระกูลฉินยังไม่ได้แตกแยกกันรุนแรงแบบนี้ สายตระกูลนี้มีโปรแกรมเมอร์มากกว่าสิบคน หนึ่งปีที่ผ่านมานายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินได้ทำลายตระกูลฉินจนย่อยยับ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากโอวหยางเวยที่เป็นคนของ129พบข้อมูลภายในหลายเรื่องเกี่ยวกับตระกูลฉิน นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินเองก็เป็นคนไม่เลือกวิธี ตระกูลฉินจึงพังพินาศไปตามยถากรรม
129เป็นกลุ่มอิทธิพลที่กำลังเติบโตขึ้น ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ต่างคิดอยากจะยึดครอง
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ แค่จิ้งจอกหรือจระเข้ยักษ์ก็ทำให้อิทธิพลอำนาจทั้งหมดถึงกับชะงัก ไม่กล้าย่างกรายเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว
“คุณชายหกเป็นคนเอาเอกสารให้ฉันมา ของฉินอวี่” พ่อบ้านวางเอกสาร
อาเหวินเห็นพ่อบ้านมีสีหน้าแปลกไปจึงเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ข้อมูลมีปัญหาอะไรหรือครับ?”
พ่อบ้านฉินแสยะยิ้ม “ตาสูงแต่มือไม่ถึง เธอเป็นฝ่ายที่ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับนายน้อยสอง ในเมื่อเธอตัดความสัมพันธ์ไปแล้วก็ปล่อยเธอไป ไม่ต้องยุ่งกับเธอ”
อาเหวินพยักหน้าพลางมองเอกสารที่วางข้างมือพ่อบ้านฉิน จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่เขามาหาพ่อบ้านฉิน “ผมดูกล้องวงจรปิดห้องนายน้อยสองแล้ว”
“เป็นยังไงบ้าง?” พ่อบ้านฉินเอามือยันโต๊ะลุกขึ้น
“คุณไปดูก็รู้เอง” อาเหวินไม่รู้จะพูดอะไร สีหน้าเขาดูแปลกๆ
พ่อบ้านฉินวางธุระในมือลง เดินตามอาเหวินไปดูที่อาไห่
อาไห่กำลังจัดการวิดีโออยู่
เมื่อเห็นพ่อบ้านฉินมาแล้ว อาไห่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเปิดบันทึกวิดีโอกล้องวงจรปิดช่วงหนึ่งโดยตรง ทั้งหมดเป็นเวลาสองนาที
พ่อบ้านฉินดูเสร็จก็สังเกตเห็นคนบางส่วนที่ไปๆ มาๆ ในนั้น
“คนไหน?” เขามองไปทางอาไห่
อาไห่เงียบไปสักพัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ยื่นมือชี้ไปที่เวลาบนวิดีโอกล้องวงจรปิด “คุณลองดูอีกที”
เหนือวิดีโอกล้องวงจรปิดคือเวลาที่แสดง
พ่อบ้านฉินดูอย่างละเอียดจนพบปัญหาในท้ายที่สุด ในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์เวลาสิบเอ็ดโมงถูกข้ามไปสองนาที ตอนเย็นสองทุ่มก็ถูกข้ามไปสองนาทีเช่นกัน
“ตอนที่ผมเอากลับมา วิดีโอมีระยะเวลาทั้งหมด 36 ชั่วโมง แต่จู่ๆ ก็เพิ่งหายไปสี่นาทีเมื่อกี้นี้เอง” อาไห่มองไปในคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้ายากที่จะคาดเดา “พ่อบ้านฉิน มีคนแฮ็กคอมพิวเตอร์ผมต่อหน้าต่อตาและยังลบวิดีโอไปด้วย ผมยังจับตัวไม่ได้”
แม้อาไห่จะไม่ใช่นักแฮ็กเกอร์มืออาชีพ แต่ก็เป็นโปรแกรมเมอร์อาวุโสของบริษัทตระกูลฉิน ถึงฝีมือแฮ็กเกอร์จะไม่สามารถเทียบได้กับระดับปรมาจารย์ แต่ก็ถือว่าเก่งกว่าคนทั่วไปมาก คอมพิวเตอร์ของเขาล้วนเป็นไฟร์วอลล์ที่เขาสร้างเองทั้งหมด
มีคนดัดแปลงข้อมูลในไฟร์วอลล์ของเขาและฉวยโอกาสลบวิดีโอ ทำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ…
“พ่อบ้านฉิน อีกฝ่ายน่าจะเป็นนักแฮ็กเกอร์ที่เก่งมากคนหนึ่ง” อาไห่เงยหน้า ฮึกเหิมตามคาด “ถ้าเขาช่วยพวกเราได้…”
พ่อบ้านฉินนั่งตรงข้ามเขา “แต่ว่า…นายน้อยสองไปรู้จักคนแบบนี้ได้ยังไง?”
พ่อบ้านฉินคิดไม่ออก ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกฉินฮั่นชิว แต่แค่ว่าสภาพแวดล้อมของฉินฮั่นชิวไม่เหมือนจะรู้จักนักแฮ็กเกอร์เหล่านี้ได้ ทันใดนั้นพ่อบ้านฉินก็พบว่ามีปริศนามากมาย เขาจึงปวดหัวนิดๆ
**
วันต่อมา
ปากทางเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง
เมื่อฉินอวี่หอบกองหนังสือออกมาหลังเลิกเรียน เธอก็เห็นสวีเหยากวงยืนอยู่ที่หน้าปากทาง
เธอผงะไปสักพัก
ตั้งแต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยมาจนถึงตอนนี้ เธอก็ไม่เคยพบสวีเหยากวงอีกเลย สวีเหยากวงก็ไม่เคยมาหาเธอ ทั้งสองจึงแทบไม่ได้ติดต่อกัน
หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง ฉินอวี่ก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของสวีเหยากวง เธอถึงเพิ่งมารู้ทีหลังว่าสวีเหยากวงไม่ได้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเมืองหลวง
เธอหอบหนังสือยืนนิ่งคิดอยู่สักพักก่อนจะเดินไปตรงหน้าสวีเหยากวง “คุณชายสวี นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ถ้าเป็นหนึ่งเดือนก่อน ฉินอวี่คงไม่ทำตัวสนิทสนมกับสวีเหยากวงแบบนี้ แต่ตอนนี้…
เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
สวีเหยากวงสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงพลางกำลังมองไปที่กลุ่มคน พอได้ยินเสียงฉินอวี่ เขาก็ผงะจากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “รอเฉียวเซิง”
“จริงสิ นายได้โควตามหา’ลัยไหนเหรอ?” ฉินอวี่พยักหน้า
“ไม่ได้โควตามหา’ลัยที่ไหนหรอก” สวีเหยากวงเห็นเฉียวเซิงแล้วจึงรีบโบกมือ เขาพูดเรียบๆ ด้วยเสียงชัดแจ๋วว่า “คุณปู่ไม่ให้ฉันเรียนต่อ”
“ไม่เรียนมหา’ลัย?” สีหน้าฉินอวี่แตกระแหงเล็กน้อย เธอเงยหน้ามองสวีเหยากวงพลางยิ้มแบบฝืนๆ “คุณชายสวี นายโกหกฉันหรือเปล่าเนี่ย?”
เขาไม่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วทำอะไร?
“ไม่ได้เรียนจริงๆ ” เฉียวเซิงเดินมาแต่ไกล สวีเหยากวงเหลือบมองฉินอวี่ “พวกเราจะออกไปทานข้าว เธอไปด้วยกันไหม?”
ฉินอวี่กลัวเฉียวเซิงอยู่หน่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากเกิดเรื่องของฉินหร่าน เธอส่ายหน้า “ไม่ล่ะ”
สวีเหยากวงไม่พูดอะไรมาก สายตายังคงเฉยชา ไม่ได้พบกันไม่กี่เดือนเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก
หลังจากเขาเดินไป เพื่อนนักศึกษาในสาขาเดียวกันกับฉินอวี่ก็เดินมาพอดี ถามว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร “หล่อจังเลย เทียบได้กับเดือนมหาลัยซ่งเลยนะเนี่ย ไม่ใช่นักศึกษามหาลัยเราเหรอ?”
“ไม่ใช่นักศึกษามหาลัยเราหรอก” ฉินอวี่ยิ้ม หลังจากเหตุการณ์นั้น เธอบอกที่ปรึกษาว่าเปลี่ยนหอพักแล้ว “เขาทำคะแนนสอบเข้ามหาลัยแค่วิชาวัฒนธรรมได้ถึง732คะแนนเลยนะ เป็นอันดับสองของประเทศ”
รอบๆ มีเสียงโห่ร้องด้วยความตกตะลึง แต่ฉินอวี่กลับมองแผ่นหลังสวีเหยากวงพลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
เธอไม่รู้ว่าเฉียวเซิงจะเอาเรื่องในอินเทอร์เน็ตไปเล่าให้สวีเหยากวงฟังหรือไม่…
**
หอพักฉินหร่าน
วันนี้เธอเปลี่ยนกระถางดอกไม้ หนานฮุ่ยเหยาจำได้ภายในแวบเดียว
ทว่าตอนนี้ฉินหร่านกำลังสวมหูฟังเขียนเพลงที่เธอไม่ค่อยเข้าใจ หลังจากหนานฮุ่ยเหยาเขียนวิชาที่ศาสตราจารย์มอบหมายให้เธอทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเปิดคอมพิวเตอร์ ถามเพื่อนร่วมชั้นปีว่ามีใครจะเล่นเกมกับเธอบ้าง
ไม่นานหลังจากนั้นเหลิ่งเพ่ยซานที่ไม่ค่อยกลับหอพักก็กลับมาจากข้างนอก
เธอวางถุงต่างๆ ไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็มองไปทางหนานฮุ่ยเหยากับหยางอี๋ “พวกเธอรู้ไหมว่าภาควิชาฟิสิกส์ของพวกเธอจะมีการบรรยายพรุ่งนี้?”
หนานฮุ่ยเหยาวางมือที่กำลังกดคีย์บอร์ด ตาเป็นประกาย “นี่เธอกำลังหมายถึงที่เป็นของเดือนมหาลัยซ่งใช่ไหม? ฉันรู้อยู่แล้ว” จากนั้นก็ถอนหายใจ “แต่ว่าฉันแย่งตั๋วมาไม่ได้”
ถึงห้องบรรยายของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงจะใหญ่มาก แต่ภาควิชาฟิสิกส์ก็ไม่ที่นั่งให้พอ
ถ้าเป็นคนอื่นก็ถือว่าแล้วไป แต่นี่เป็นถึงซ่งลี่ว์ถิงเทพเจ้ามังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง อย่าว่าแต่ภาควิชาฟิสิกส์เลย เพราะแม้แต่คนจากภาควิชาภาษาอังกฤษก็ยังแย่งตั๋วกันอย่างบ้าคลั่ง
สุดท้ายที่ควรจะเป็นของน้องใหม่ภาควิชาฟิสิกส์ก็กลายเป็นกลุ่มน้องใหม่ที่แย่งตั๋วมาไม่ได้
ทั้งนักศึกษาปีสอง ปีสาม ปีสี่ และนักศึกษาสาขาอื่น สุดท้ายน้องใหม่ภาควิชาฟิสิกส์กลับกลายเป็นน้องใหม่ที่น่าสงสารที่สุด
ตั๋วก็มีเพียงน้อยนิดบางตา
หนานฮุ่ยเหยาเห็นวงล้อมที่น่าสยดสยองพวกนั้นแล้ว
“ที่ฉันมีตั๋วด้วยนะ รุ่นพี่คนหนึ่งให้มา พวกเธอจะไปดูไหม?” เหลิ่งเพ่ยซานหยิบตั๋วออกจากกระเป๋าส่งให้หนานฮุ่ยเหยาสองใบ
หนานฮุ่ยเหยารับมาด้วยตาเป็นประกาย “เธอได้มาหมดนี่เลยเหรอ ? !”
“เพราะรุ่นพี่คนนั้นรู้จักรุ่นพี่ซ่งพอดีน่ะ” เหลิ่งเพ่ยซานยิ้มบางๆ
“ที่แท้เธอก็รู้จักซ่งลี่ว์ถิง?” หนานฮุ่ยเหยาเตะเท้า “เคยเจอเขาไหม?”
เหลิ่งเพ่ยซานนั่งเก้าอี้พลางยื่นตั๋วให้หนานฮุ่ยเหยา จากนั้นก็เหลือบมองฉินหร่าน อีกฝ่ายยังคงสวมหูฟังราวกับไม่ได้ยิน “เคยเจอครั้งนึง คราวหน้าถ้ามีโอกาสฉันจะพาพวกเธอไปเจอบ้าง”
โทรศัพท์ฉินหร่านกำลังเล่นเพลง หูฟังถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษจึงไม่ได้ยินเสียงภายนอก
เวลานี้มีสายเข้า
เธอมองเสร็จแต่ไม่รับสาย แค่ตัดสายแล้วลุกขึ้น
หนานฮุ่ยเหยามองเธอ “เดี๋ยวก่อน หร่านหร่าน เธอจะไปกินข้าวเหรอ ไปด้วยกันนะ!”
เธอหยิบบัตรตามไป
ฉินหร่านเหลือบมองเธอพลางถือโทรศัพท์ “ไปกินข้าว แต่ยังมีเพื่อนไปอีกสองสามคน”
“ใครน่ะ?”