เมื่อหนานฮุ่ยเหยาที่กำลังเดินตามฉินหร่านลงไปข้างล่างได้ยินว่าเธอจะไปเจอเพื่อนจึงเดินช้าลง
เธอสนิทกับฉินหร่านแต่ไม่รู้จักเพื่อนของฉินหร่านเลย จึงรู้สึกเขินๆ ที่จะไปด้วย
“งั้น…ฉันแยกไปเองดีกว่า” หนานฮุ่ยเหยาอ้าปาก
ฉินหร่านเลิกคิ้ว “มีเพื่อนที่โรงเรียนสองคน ไปเถอะ อยู่ที่โรงอาหาร”
“เพื่อนเธอพวกเขามากันกี่คน?” หนานฮุ่ยเหยาเดินตามหลังฉินหร่าน
“สามคน” ฉินหร่านหยุดที่ตู้ขายของอัตโนมัติที่ชั้นหนึ่งของโรงอาหารแปด เธอหยอดเหรียญเข้าไปแล้วหยิบโค้กออกมาสองกระป๋อง
ที่แท้ทั้งสามก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้?
หนานฮุ่ยเหยาไม่รู้จะมองฉินหร่านด้วยสีหน้าแบบไหน หรือนี่จะเป็นตำนานกาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์?
ฉินหร่านโยนโค้กให้หนานฮุ่ยเหยาหนึ่งกระป๋อง อีกมือหนึ่งถือโทรศัพท์ เธอไม่ได้เอาโทรศัพท์ยัดใส่ในกระเป๋า แต่เปิดด้วยมือเดียวพลางจิบโค้ก
หนานฮุ่ยเหยาถือโค้กเดินตามฉินหร่านขึ้นไปถึงชั้นสาม
ชั้นหนึ่งและชั้นสองของโรงอาหารแปดเป็นข้าวกล่อง ชั้นสามเป็นอาหารตามสั่งซึ่งมีราคาแพงกว่าชั้นหนึ่งและชั้นสองมาก
ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนปกติในช่วงบ่าย ชั้นสามจึงมีคนไม่เยอะมาก หันมองไปรอบๆ ก็มีเพียงไม่กี่โต๊ะ ดูบางตา
หนานฮุ่ยเหยามองไปรอบๆ “เพื่อนเธอล่ะ?”
ฉินหร่านแกว่งกระป๋องโค้กที่เธอดื่มเสร็จอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ยกคางไปทางโต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด “นั่น”
หนานฮุ่ยเหยาสายตาสั้นแต่ไม่ได้สั้นมาก เธอจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีสองร่างอยู่ตรงนั้น
มาถึงโต๊ะภายในสองนาที
“เจ๊หร่าน เธอสายอีกแล้วนะ” เว่ยจื่อหังคีบบุหรี่ไว้ในปากยังไม่กล้าจุด เขากอดอกเอนหลังพิงเก้าอี้
บนตัวเขาไม่มีกลิ่นอายของอาจารย์เว่ยอยู่เลย ในความหล่อเหลามีแต่ความเสเพลแฝงอยู่ในนั้น
พานหมิงเย่ว์ที่นั่งตรงข้ามเขาเป็นความแตกต่างกันสุดขั้ว
“หวัดดี” เมื่อเห็นหนานฮุ่ยเหยาเดินตามหลังฉินหร่านมา เว่ยจื่อหังก็วางมือบนโต๊ะ “ฉันเว่ยจื่อหัง เรียนอยู่มหาลัยฝั่งตรงข้าม”
ฉินหร่านนั่งบนเก้าอี้เหล็ก “รูมเมท หนานฮุ่ยเหยา”
ทั้งสามต่างแนะนำตัวซึ่งกันและกัน
หนานฮุ่ยเหยากลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เธอนั่งข้างฉินหร่านและถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพื่อนฉินหร่านแต่ละคนอัธยาศัยดีเกินไปแล้ว
สามารถคบฉินหร่านที่นิสัยเสียแบบนี้ได้ก็สามารถอยู่กับพวกเว่ยจื่อหังได้ พานหมิงเย่ว์พูดน้อย ส่วนมากจะเป็นเว่ยจื่อหังกับหนานฮุ่ยเหยาที่คุยกัน
ฉินหร่านนั่งดื่มโค้กอยู่ข้างๆ
“หร่านหร่านบอกว่าพวกเธอมีกันสามคน…” หนายฮุ่ยเหยามองไปรอบๆ ก็จำได้ว่าฉินหร่านบอกว่ามีแค่สามคน
“พี่ใหญ่ซ่งไปสั่งอาหารน่ะ เขาคุ้นเคยกับม.เมืองหลวงกว่าพวกเรา” เว่ยจื่อหังวางบุหรี่ โบกมือไปด้านหลังหนานฮุ่ยเหยา “มาแล้ว”
หนานฮุ่ยเหยาหันกลับไปโดยไม่รู้ตัว
เว่ยจื่อหังเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัยA เขาไม่ได้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยนี้ หนานฮุ่ยเหยาเองก็เป็นน้องใหม่จึงรู้อะไรไม่มากนัก
พานหมิงเย่ว์ก็มักจะอยู่ที่ห้องสมุด หอพัก หรือห้องเรียน เธอไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับโลกอันกว้างใหญ่ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเท่าโรงเรียนมัธยมเหิงชวนขนาดนั้น แค่มีชื่อเสียงในภาควิชาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ซ่งลี่ว์ถิงต่างออกไป ความนิยมของเขาสามารถเห็นได้จากการแย่งตั๋ววันนี้ได้
เขาเป็นคนแรกของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงที่สามารถเข้าห้องปฏิบัติการได้ตั้งแต่เทอมแรก ตอนนี้บอร์ดในมหาวิทยาลัยยังติดเรื่องราวอันรุ่งโรจน์ของเขาอยู่เลย
หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยมาได้หลายวัน ในที่สุดหนานฮุ่ยเหยาก็ถึงได้รู้ว่าห้องปฏิบัติการเทียบเท่าได้กับอะไร——
การที่นักศึกษามหาวิทยาลัยเมืองหลวงจะเข้าห้องปฏิบัติการได้ก็เหมือนกับนักเรียนมัธยมปลายทั่วไปที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ ความยากไม่ต่างกันมาก
นอกจากสอบปลายภาคให้ผ่านเกณฑ์แล้ว ยังมีการประเมินอื่นๆ อีก
หนานฮุ่ยเหยาถึงกับทอดถอนใจเมื่อเห็นหัวข้อการประเมินที่เคยรั่วไหลที่แปะในบอร์ด ที่แท้แล้วห้องปฏิบัติการก็ไม่ใช่สถานที่ที่คนทั่วไปจะเข้าไปได้จริงๆ
และซ่งลี่ว์ถิงนั้น…
ซ่งลี่ว์ถิงไม่ใช่แค่เทพทั่วไปสำหรับหนานฮุ่ยเหยาหรือนักศึกษาทั่วทั้งมหาวิทยาลัยเมืองหลวง แต่ยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุคในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงที่ยังได้รับความนิยมมากกว่ารายชื่อดาวเดือนมหาวิทยาลัยกว่าร้อยรายชื่ออย่างปฏิเสธไม่ได้
ซ่งลี่ว์ถิงโด่งดังในหมู่รุ่นพี่รุ่นน้องเพราะข่าวที่เขาได้เข้าห้องปฏิบัติการปีนี้ โด่งดังภายในชั่วข้ามคืน ในภาคเรียนแรกของปีหนึ่งยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเขามากนอกจากนักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์
ดังนั้นเมื่อเธอเห็นซ่งลี่ว์ถิงถือถาดเดินมา หนานฮุ่ยเหยาจึงนั่งบนม้านั่งด้วยอาการเพ้อเล็กน้อย
“ฉันซ่งลี่ว์ถิง ปีสองภาควิชาฟิสิกส์” ซ่งลี่ว์ถิงนั่งข้างเว่ยจื่อหัง หยิบถ้วยตะเกียบในถาดออกมา พูดอย่างหน้าตาเฉย
เขายื่นถาดให้เว่ยจื่อหังเพื่อให้เขาหยิบอาหารในถาดลงมา
หนานฮุ่ยเหยาตอบเสียงแข็ง หยิบตะเกียบด้วยท่าทางแข็งทื่อ จากนั้นเปิดกระป๋องโค้กอย่างเกร็งๆ
ฉินหร่านที่นั่งข้างๆ ตอบแทนหนานฮุ่ยเหยา “เธอน่าจะเป็นแฟนคลับนายน่ะ เมื่อกี้เห็นถือตั๋วของนายอยู่สองใบที่หอ คงดีใจจนบ้าไปแล้ว”
ซ่งลี่ว์ถิงหัวเราะ “ตั๋วด้านนอกเป็นตั๋วยืนหลังเวทีหมดแหละ”
เว่ยจื่อหังเสิร์ฟอาหารทีละจาน
“ฉันจะคุยกับเธอเรื่องสอบกลางภาค” ซ่งลี่ว์ถิงมองหน้าฉินหร่าน พูดชัดแจ๋ว
ฉินหร่านไม่ค่อยสนใจ “อะไร?”
“อย่ามายั่วหน่อยเลยน่า” ซ่งลี่ว์ถิงหยิบตะเกียบอย่างสงบเสงี่ยมพลางเหลือบมองเธอ “ฉันหมายถึงโค้ดเชอร์ล็อก โฮล์มส์”
“สอบปลายภาคก็เหมือนกัน”
หลังจากนิ่งไปสักพัก ซ่งลี่ว์ถิงก็พูดขึ้นมาว่า “หรืออาจจะรอไม่ถึงปลายภาค”
“ถ้านายไม่บอก ฉันก็คงไม่ทำ ฉันตกลงกับคณบดีเจียงแล้วว่าจะตั้งใจสอบ” ฉินหร่านเอื้อมมือไปสะบัดผมที่ตกตรงริมตาอย่างไม่รีบร้อน “แต่ว่าสอบกลางภาค…สำคัญมากเหรอ?”
ฉินหร่านไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบห้องปฏิบัติการมากนัก เธอทุ่มความสนใจไปกับหนังสือเรียนวิศวกรรมนิวเคลียร์มาโดยตลอด
“สำคัญสิ การคัดเลือกผู้สมัครภาควิชาฟิสิกส์เพื่อเข้าร่วมการประเมินของห้องปฏิบัติการนั้นขึ้นอยู่กับคะแนนภาควิชา ตอนนี้ห้องปฏิบัติการแบ่งกลุ่มกันจริงจังมาก ก่อนการจัดสรรทรัพยากรครั้งต่อไป อธิการบดีโจวอาจจะส่งเธอเข้าห้องปฏิบัติการล่วงหน้าก็ได้ เขาน่าจะช่วยสมัครการประเมินปีนี้ให้เธอแล้ว” ซ่งลี่ว์ถิงมองตรงไปทางแสงแดดที่พุ่งออกนอกหน้าต่าง
เขาแค่ใช้ความคิดเล็กน้อยก็สามารถเดาความคิดของอธิการบดีโจวได้
ฉินหร่านใช้มือเท้าคาง “ยังไงล่ะ?”
“ห้องปฏิบัติการมีสามห้องหลัก ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวง ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์อยู่ที่ทางเชื่อมของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงและมหาวิทยาลัยA และห้องปฏิบัติการไอทีอยู่ในมหาวิทยาลัยA” ซ่งลี่ว์ถิงหันกลับมา “ห้องปฏิบัติการไม่ได้มีแค่คนของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเท่านั้น ยังมีคนของมหาวิทยาลัยAอีกด้วย ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าอิทธิพลอำนาจอื่นๆ ของเมืองเซี่ยงไฮ้ถูกมหาวิทยาลัยเมืองหลวงและมหาวิทยาลัยAหลอมรวมกันแล้ว มหาวิทยาลัยดังทั้งสองแห่งแข่งขันเพื่อให้ได้จำนวนคนในสถาบันวิจัย ถ้าเขาลงสมัครไปแล้ว การคัดเลือกรอบแรกก็คือการสอบกลางภาคของเธอ”
ฉินหร่านพยักหน้า มือหมุนตะเกียบ “ฉันเข้าใจแล้ว”
คำพูดที่ซ่งลี่ว์ถิงพูดมา เธอไม่รู้โดยสิ้นเชิง ฉินหร่านแค่ให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาบอกว่า“สำคัญ”มาก ดังนั้นเธอจึงให้ความสำคัญกับการสอบกลางภาคมากกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
พวกเขาที่ไม่ได้เจอกันนานกินข้าวเสร็จก็นั่งคุยกันยาวๆ จนถึงเวลาเลิกเรียนห้าโมงครึ่ง เมื่อคนเริ่มทยอยเข้ามาก็แยกย้ายกันไป
ฉินหร่านพาหนานฮุ่ยเหยากลับหอ หนานฮุ่ยเหยาเงียบมาตลอดทาง
ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เธอเป็นไรไป?” หยางอี๋ถามเมื่อมาถึงหอพัก
หนานฮุ่ยเหยามองตั๋วบรรยายของซ่งลี่ว์ถิงที่วางอยู่บนโต๊ะสองใบนั้น เงยหน้าขึ้น “อ๊ะ เปล่า ฉันกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ”
**
ทางด้านนี้ ซ่งลี่ว์ถิงกลับไปถึงห้องปฏิบัติการแล้ว
ชายวัยกลางคนในชุดทดลองเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ “ว่าไง เธอตกลงเป็นลูกศิษย์ฉันหรือยัง?”
ซ่งลี่ว์ถิงสวมชุดทดลองอย่างเอื่อยเฉื่อย ติดกระดุมพลางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถามแล้ว”
“ไม่ยอม”
ชายวัยกลางคนลูบศีรษะตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่จริงมั้ง? ทำไมไม่ยอมเป็นลูกศิษย์ฉันล่ะ? เป็นไปไม่ได้….”
หงเทาเดินไปหยิบอุปกรณ์ทดลองอย่างเงียบๆ ดวงตาดำคล้ำเหลือบมองศาสตราจารย์ด้วยความง่วงนอนและเห็นอกเห็นใจ…
ไม่รู้หรือว่าน้องสาวทั้งสองของซ่งลี่ว์ถิงพูดถึงไม่ได้? เขาก็แค่เรียกน้องสาวแค่สองทีเอง แต่กลับไม่ได้หลับตามาถึงสามวันแล้ว
หลังจากซ่งลี่ว์ถิงสวมเสื้อคลุมเสร็จก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “รุ่นพี่ ยังมีตั๋วอยู่ไหม?”
หงเทาตกตะลึง “มีแน่นอน ตั๋วที่นั่งวีไอพี รุ่นน้อง นายมีอะไรจะสั่งเหรอ?”
“เอาให้น้องสาวผมสักสองสามใบ ฉินหร่านน่ะ”
หงเทาตาเป็นประกาย “ฉันจะเอาไปให้ถึงมือรุ่นน้องฉินแน่นอน!”
**
ห้องปฏิบัติการชั้นใต้ดินชั้นที่สอง
ผู้รับผิดชอบกำลังตรวจสอบรายชื่อผู้สมัครของปีนี้
ในแต่ละปีจะมีการประเมินประจำห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ปีละสองครั้ง ซึ่งจะเป็นปลายเดือนมีนาคมกับต้นเดือนธันวาคม
การประเมินแต่ละครั้งจะต้องลงทะเบียนล่วงหน้า รายชื่อผู้สมัครของต้นเดือนธันวาคมหมดเขตส่งถึงวันนี้ ผู้รับผิดชอบเพิ่งได้รับรายชื่อที่ส่งโดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
“นักศึกษาใหม่ปีหนึ่ง?” ผู้รับผิดชอบเห็นชื่อฉินหร่านก็ผงะโดยไม่รู้ตัว
เมื่อได้ยินเสียงของผู้รับผิดชอบ ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ ก็หันมามอง “คงไม่ได้พิมพ์ผิดหรอกมั้ง? ฉันจะลองถามศาสตราจารย์มหาลัยเมืองหลวงดู”
สามนาทีต่อมา ผู้ช่วยก็กลับมาพร้อมกับถือโทรศัพท์
ผู้รับผิดชอบดันแว่นตา ถามว่า “ว่ายังไง?”
“อธิการบดีโจวตอบกลับมาด้วยตัวเอง เขาบอกว่ารายชื่อไม่ผิด” ผู้ช่วยวางโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าพลางตอบกลับผู้รับผิดชอบ
ผู้รับผิดชอบห้องปฏิบัติการไม่ได้คลางแคลงใจอีกต่อไป เขาพิมพ์คำว่า “ฉินหร่าน” ลงในรายชื่อโดยตรงพลางครุ่นคิด “ปีนี้โจวซานดูมั่นใจมาก คาดว่าจะเป็นโชว์ที่ดี”
มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน นั่นคือลงสมัครด้วยชื่อนักศึกษาใหม่อย่างเช่นซ่งลี่ว์ถิงที่แสดงความเฉลียวฉลาดออกมาให้เห็นในห้องปฏิบัติการ ตอนนั้นห้องปฏิบัติการยังต่อสายติดต่อกันอยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอธิการบดีมหาวิทยาลัยเมืองหลวงไม่ได้ลงชื่อผิด แต่ถึงกระนั้น กว่าซ่งลี่ว์ถิงจะได้ลงสมัครก็เป็นช่วงปลายเดือนมีนาคมแล้ว…
ปีนี้จนถึงเดือนธันวาคม เวลาที่นักศึกษาใหม่จะเข้าเรียนครบทุกวิชายังน้อยกว่าซ่งลี่ว์ตั้งครึ่งหนึ่ง ปีนี้มหาวิทยาลัยเมืองหลวงจะทำอะไรอีก?