เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 339 เฉิงจิน ฉันขายเสื้อ

ครั้นเมื่อผู้อาวุโสสวีตอนอยู่ที่อวิ๋นเฉิงเคยยกเรื่องผู้สืบทอดมาพูดแล้ว ทว่าครั้งนั้นเฉิงเจวี้ยนไม่ได้คิดอะไร

แค่รู้สึกว่าคนที่ปฏิเสธคนของผู้อาวุโสสวีคงบ้าเกินทน

ตลอดจนระยะหลังเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เมื่อมือของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ ท่าทีของผู้อาวุโสสวีก็ดูร้อนรนอย่างมาก ทำให้ในใจของเขาเกิดความสงสัย บวกกับหลังจากที่คะแนนสอบรวมของฉินหร่านออก เขาก็มั่นใจมาโดยตลอด

นิ้วมือของเฉิงเจวี้ยนเคาะอยู่บนโทรศัพท์ช้าๆ

เฉิงจินได้ติดต่อกับบุคคลระดับสูงทุกคนแล้ว เนื่องจากฉินหร่านใช้ห้องหนังสืออยู่ด้านบน เขาจึงไปกล้าเข้าไป ก่อนยกคอมเดินลงมาใช้ของห้องตัวเอง

ขณะที่วางคอมลงบนโต๊ะ บนหน้าจอคอมก็ปรากฏภาพของคนไม่กี่คนนั่งล้อมบนโต๊ะกลมใหญ่

ท่าทีจริงจังของพวกเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดดันว่า “คุณเฉิงจิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่องค์กรหรือครับ?”

เพราะน้อยครั้งมากที่เกิดการประชุมด่วน

“ย้ายสำนักงานใหญ่” เฉิงจินเปิดหน้าเอกสารกองหนึ่งบนโต๊ะ ขณะพลิกหน้าอยู่นั้น

ชายกลางคนผู้หนึ่งที่ใส่แว่นกรอบทองบนวิดีโอก็พูดขึ้น “ย้ายไปไหนครับ?”

“เมืองหลวง” เฉิงจินช้อนสายตาขึ้น พลางถ่ายทอดตัวเลือกฐานที่ตั้งในเมืองหลวง

“เมืองหลวง?” ทุกคนในวิดีโอต่างมองหน้ากัน “ผมได้ยินมาว่าอวิ๋นกวงกรุ๊ปก็ย้ายไปที่เมืองหลวงหนิครับ…”

ทำไมถึงคิดอยากย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่เมืองหลวงกะทันหัน เมืองหลวงมีอะไรน่าดึงดูดให้พวกหัวหน้าใหญ่ย้ายไปกันนักหนา?

ถึงกับขั้นเปิดประชุมกลุ่มใหญ่?

เฉิงจินวางสายวิดีโอคอล พลางมองเฉิงมู่ที่ถือพลั่วอยู่ ก่อนค่อยๆ เปิดประตูห้องหนังสือ

“นายระวังหน่อย นี่เป็นพรมที่ฉันเอากลับมาจากรัฐ M เลยนะ” เฉิงจินชี้พลั่วเปื้อนดินที่อยู่ในมือของเฉิงมู่

เฉิงมู่ก้มมองพลั่วในมือของตัวเอง ก่อนสอดเข้ากระเป๋าไป “จะทำอะไรครับ?”

“ขายเสื้อผ้า” เฉิงจินเข้าสู่ระบบซอฟต์แวร์สาธารณะ เมื่อได้รับเอกสารฉบับหนึ่ง เข้าคลิกเข้าไปเลือกสถานที่ พลางตอบปัดอีกฝ่าย

เฉิงมู่: “……ห้ะ?”

**

เช้ารุ่งขึ้น วันจันทร์ช่วงเช้าตรู่ เฉิงเจวี้ยนพาฉินหร่านไปส่งที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย มือข้างหนึ่งของฉินหร่านถือหนังสือและสมุดเลกเชอร์ อีกข้างถือหมวกแก๊ป พลางโบกมือโดยไม่ได้หันกลับไปมอง

เฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับรถเอนหลังพิงพนักอย่างเกียจคร้าน ขณะที่รูม่านตามืดสนิทมองเธออยู่เงียบๆ โทรศัพท์ที่วางอยู่บนหน้ารถดังขึ้น แต่เขาไม่รีบรับในทันที

เมื่อแผ่นหลังของฉินหร่านหายไปแล้ว เขาจึงเอื้อมมือรับโทรศัพท์ช้าๆ ก่อนพบว่าคนที่โทรมาคือเฉิงเวินหรู

เขารับสายพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ว่ามา”

เฉิงเวินหรูคุ้นเคยกับท่าทีของเขาแล้ว ตอนนี้เธอยังอยู่ที่บ้านเดิมของสกุลเฉิง พลางมองนายท่านเฉิงและเฉิงเหราฮั่นแวบหนึ่ง ก่อนลุกถือโทรศัพท์ออกไปนอกห้องก็เห็นนกน้อยของนายท่านเฉิงบริเวณระเบียงยาว “ยังจำที่พักที่อยู่หน้าสำนักงานใหญ่ของพี่ได้ไหม?”

“ทำไมเหรอ?” เฉิงเจวี้ยนสตาร์ทรถ มือซ้ายจับพวงมาลัย มือขวาถือโทรศัพท์

เขามองพวงมาลัยรถ ขนตายาวตกเล็กน้อย พลางคิดอยู่สักพักก่อนคลายมือ

“มีคนอยากซื้อ” มือข้างหนึ่งของเฉิงเวินหรูสอดอยู่ในกระเป๋าด้านใน

เรื่องแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบศูนย์การเงินย่อมเป็นผู้แจ้งให้สกุลเฉิงคนแรก

ที่อยู่บริษัทของเธอตั้งอยู่ในอาคารขนาดใหญ่ใจกลางศูนย์การเงิน ทว่าใช้แค่ชั้นหนึ่งเท่านั้น แต่พื้นที่ของทุกชั้นเพียงพอต่อการเปิดบริษัทขนาดกลางหนึ่งแห่ง

เพราะฉะนั้นร้อยทั้งร้อยพื้นที่ขนาดของอาคารใหญ่อีกฝั่งตกเป็นของเธอ นี่เป็นเหตุผลที่เฉิงเวินหรูไม่คาดคิด

เธอทำธุรกิจภายในประเทศอยู่หลายปี ไม่คิดว่าใครจะรวยล้นฟ้าสามารถซื้ออาคารใหญ่หลังนั้นได้

มือของเฉิงเจวี้ยนเคาะอยู่บนพวงมาลัย แววตาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียง “อืม”อย่างไร้อารมณ์ “ถ้าไม่มีเรื่องอะไร วางละนะ”

ตอนนี้เฉิงเวินหรูไม่กล้าพอที่จะต่อปากต่อคำกับเขา พลางได้ยินเสียงสัญญาณตัดสายดังขึ้น

เธอก้มมองโทรศัพท์ มุมปากพลันโค้งลง จากนั้นถือโทรศัพท์เดินกลับห้องรับแขกไป

เฉิงเหราฮั่นกำลังเสิร์ฟชา เมื่อเห็นเฉิงเวินหรูถือโทรศัพท์เดินเข้ามา จึงมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงถากถางและเสียดสีว่า “ฉันว่าแล้ว เธอพูดเรื่องไร้สาระกับเขาแล้วจะได้ความอะไร?”

**

ในเวลาเดียวกัน

ฉินหร่านถือหนังสือเดินเข้าห้องเรียนวิศวกรรมนิวเคลียร์

ตอนนี้เพิ่งเจ็ดโมงกว่านิดหน่อย ทางเดินไม่ค่อยมีคน ฉินหร่านเพิ่งเดินถึงชั้นสองก็เห็นหนานฮุ่ยเหยาหยุดรอคนอยู่ระเบียงทางเดิน

หนานฮุ่ยเหยามีท่าทีง่วงนอนเล็กน้อย พลางหาวอย่างขี้เกียจ

เมื่อเห็นว่ามีคนเดินขึ้นมาจากบันได เธอก็ยืดตัวขึ้น: “หร่านหร่าน!”

“กำลังหาฉันอยู่เหรอ?” ฉินหร่านถือกุญแจเปิดประตูห้องบรรยายอย่างไม่รีบร้อน พลางหาที่นั่งเงียบๆ ใกล้ประตู ก่อนโยนหนังสือดัง “ปัง” ลงบนโต๊ะ แล้วเงยคางชี้ให้หนานฮุ่ยเหยานั่งด้านหน้า “พูดมาเถอะ มีอะไรเหรอ?”

ฉินหร่านจัดท่านั่งพิงกำแพงมองต่ำเล็กน้อย

“หร่านหร่าน เธอกับเหลิ่งเพ่ยซานทะเลาะกันเหรอ?” หนานฮุ่ยเหยาลุกขึ้นมานั่งโต๊ะข้างเธอ ก่อนโพล่งถามออกไป

ฉินหร่านเปิดหนังสือเล่มใหม่ ดวงตาของเธอหรี่ลงพลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่หนิ ฉันไม่ได้ตบเธอซะหน่อย”

หนานฮุ่ยเหยาเกือบสำลักน้ำลายตายแล้ว เธอมองฉินหร่านอย่างสงบนิ่ง: “……ฉันรู้แล้ว”

ไม่ได้ตบเธอเหรอ นี่มันเป็นการแสดงออกแบบไหนกัน?

“เธอมาหาฉันเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ?” ฉินหร่านเงยหน้ามอง

หนานฮุ่ยเหยานั่งตัวตรง “ไม่ใช่ หัวหน้าให้ฉันมาถามเธอว่าวันเสาร์ช่วงเย็นเธอมีเวลาว่างไหม ห้องอื่นฝึกทหารกันเสร็จแล้วก็ไปสังสรรค์กัน แต่พวกเราห้องหนึ่งยังไม่เคยไปสังสรรค์ด้วยกันเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหร่านละสายตา เธอตอบอย่างขอไปทีว่า “ถึงเวลานั้นก็ส่งเวลากับสถานที่ให้ฉันก็ได้”

“ได้” หนานฮุ่ยเหยารู้สึกตกใจอย่างแรง เธอยันมือลงโต๊ะแล้วยืนขึ้น “เดี๋ยวฉันจะไปบอกหัวหน้า งั้นไปกินข้าวเช้าก่อนนะ บ๊ายบาย!”

เมื่อเธอเดินไปถึงประตูหลัง ก็โบกมือให้ฉินหร่าน

เมื่อหนานฮุ่ยเหยากินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปอาคารคณิตศาสตร์ พลันเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น เป็นข้อความจากสมาพันธ์นักศึกษาว่ามีประชุมที่อาคารอเนกประสงค์ช่วงกลางวัน

ช่วงกลางวัน

หลังหนานฮุ่ยเหยาเลิกเรียนแล้วไม่ได้ออกไปกินข้าวทันที แต่รีบตรงไปอาคารอเนกประสงค์

สมาพันธ์นักศึกษามหาลัยถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับเช่นเดียวกัน โดยแผนกของพวกเขามีอำนาจสูงสุด

หนานฮุ่นเหยาและเหลิ่งเพ่ยซานเดินเข้าห้องสำนักงานพร้อมกัน

เมื่อเริ่มประชุม หนานฮุ่ยเหยากับผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะหลังสุด ส่วนเหลิ่งเพ่ยซานนั่งอยู่ข้างหัวหน้าฝ่ายห้องสำนักงาน ทุกคนในห้องต่างรู้ดีว่า เหลิ่งเพ่ยซานรู้จักกับกลุ่มของประธานระดับสูง เธอคือเด็กใหม่มาแรงของสภานักศึกษา

เมื่อจบการประชุม หัวหน้าฝ่ายต่างๆ ไม่กี่คนก็ออกไปกินข้าว

เหลิ่งเพ่ยซานมองกลุ่มที่เหลือในห้อง พลันเม้มปากส่งยิ้ม “เย็นนี้มีใครอยากมาเล่นเกมด้วยกันไหมคะ?”

“ผมครับ!”

“คุณผู้หญิงเหลิ่งครับ ผมเล่นด้วยครับ!”

“……”

บรรยากาศในห้องทำงานคึกคักเป็นพิเศษ หนานฮุ่ยเหยาถือหนังสือเรียนของตัวเองเดินกลับห้องพักไป ด้านหลังมีผู้หญิงผมสั้นเดินตามมาด้วย “หนานฮุ่ยเหยา เธอมีปัญหาอะไรกับเหลิ่งเพ่ยซานเหรอ? ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนพวกเธอเป็นเพื่อนเมทที่สนิมกันมากไม่ใช่เหรอ เมื่อวันก่อนยังเล่นเกมกันอยู่เลย ทำไมไม่กี่วันมานี้ไม่เห็นพวกเธอไปด้วยกันหรือเล่นเกมด้วยกันเลยล่ะ?”

“ไม่มีอะไรนะ” หนานฮุ่ยเหยาตอบอย่างใจเย็น

ผู้หญิงผมสั้นหันไปมองด้านหลัง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครได้ยิน จึงกดเสียงต่ำว่า

“กลุ่มของพวกเราต่างรู้ว่าเหลิ่งเพ่ยซานมีคนคอยหนุนหลัง แม้แต่การ์ดเทพในเกมก็มี เมืองหลวงเป็นเมืองที่ลึกลับ หากไม่มีเรื่องอะไร อย่าหาเรื่องบาดหมางกับเธอจะดีกว่า”

ผู้หญิงผมสั้นเป็นนักศึกษาจากคณะคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับเหลิ่งเพ่ยซานที่เป็นที่รู้จักอย่างมากในคณะคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นนักศึกษาผมสั้นคนนี้ย่อมรู้เยอะกว่าหนานฮุ่ยเหยามากนัก

เธอก็เป็นคนในมหาลัยมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเช่นเดียวกับหนานฮุ่ยเหยานอกจากกลุ่มเพื่อนภาควิชาฟิสิกส์กลุ่มนั้น หนานฮุ่ยเหยาหันหน้ามองเธอพลางส่งยิ้ม “ขอบใจนะ”

“ไม่ต้องขอบใจหรอก เธอจำสิ่งที่ฉันพูดเอาไว้ก็พอ” นักศึกษาผมสั้นตบไหล่หนานฮุ่ยเหยา “ตอนที่ศาสตราจารย์พูดถึงอวิ๋นกวงกรุ๊ปในคาบ เธอคงไม่ได้ยินมาก่อน……อธิบายไปก็ยุ่งยาก เธอแค่จำไว้ว่าอย่ามีเรื่องกับเหลิ่งเพ่ยซานจะดีกว่า”

หนานฮุ่ยเหยาเดินไปโรงอาหารพลางค้นหาข้อมูลอวิ๋นกวงกรุ๊ปในโทรศัพท์

**

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนมาถึงวันเสาร์

นักศึกษาห้องหนึ่งภาควิชาวิศวกรรมอัตโนมัติรวมตัวรับประทานอาหารร่วมกัน

เมื่อฉินหร่านมาถึง พวกเขาถึงเดินไปด้วยกัน

เดิมฉู่หังเป็นคนในเมืองหลวง เขาจึงดูแลห้องหนึ่งโดยเฉพาะ โดยเลือกห้องรับรองขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ด้านในมีโต๊ะใหญ่สามตัว และมีเครื่องเล่นสันทนาการชุดหนึ่ง

พวกผู้ชายนั่งดื่มเหล้า ส่วนฉินหร่านและหนานฮุ่ยเหยานั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ด้านข้าง

ทางด้านข้างมีโต๊ะบิลเลียด และคอมพิวเตอร์ชุดหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล

ในกลุ่มผู้ชายที่ไม่ได้ดื่มเหล้า ก็มีหนึ่งในนั้นถือไม้คิวเพื่อเล่นบิลเลียด มีคนกำลังถือไมโครโฟนร้องเพลงด้วยเสียงโอดครวญเจียนตาย มีคนเล่นเกมโหวกเหวกเสียงดังอยู่หน้าคอม และอีกกลุ่มเล่นไพ่โป๊กเกอร์กัน

สิงไคและฉู่หังถือกระป๋องเบียร์เดินเข้ามา สิงไคนั่งลงตรงข้ามฉินหร่านและหนานฮุ่ยเหยา “ทำไมพวกเธอไม่ไปเล่นเกมกับพวกนั้นล่ะ?”

“ขี้เกียจไป” หนานฮุ่ยเหยาเอนตัวพิงเก้าอี้

“คนที่ชอบเล่นเกมอย่างเธอทั้งวันเนี่ยนะจะขี้เกียจเล่นเกม” สิงไคดื่มเบียร์อึกหนึ่งก่อนยิ้ม “ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นพวกเธออยู่กับเหลิ่งเพ่ยซานเลยละ…”

พูดยังไม่ทันจบ หนานฮุ่ยเหยาก็มองสิงไคปราดหนึ่ง

สิงไคหัวเราะอย่างเก้อเขิน แต่ไม่ได้พูดต่อ

ฉินหร่านที่เล่นชนะเกมตาหนึ่งด้วยความยากลำบาก อีกมือยกแก้วชาดื่มอย่างช้าๆ “เหลิ่งเพ่ยซาน?”

ครั้งที่แล้วหนานฮุ่ยเหยาพูดถึงเหลิ่งเพ่ยซาน

ฉินหร่านถามอย่างสงสัย ฉิงไคจึงรีบอธิบาย “ก็เหลิ่งเพ่ยซานเมทของพวกเธอไง จันทร์ที่แล้วพวกเรานั่งเล่นเกมด้วยกันอยู่เลย ในเกมของเธอมีการ์ดเทพหนึ่งใบด้วยนะ แม้ว่าฝีมือการเล่นของเธอจะงั้นๆ แต่ว่าถ้ามีการ์ดเทพก็เท่มากแล้ว……”

ดูเหมือนว่าหนานฮุ่ยเหยาไม่อยากได้ยินชื่อของเหลิ่งเพ่ยซานคนนี้อีก เธอจึงวางแก้วในมือก่อนลุกขึ้น

แล้วนั่งลงหน้าคอมที่ว่างอยู่เครื่องหนึ่ง พลางกดเข้าระบบฉีเพื่อเข้าเกม “มีกลุ่มไหนว่างให้ฉันเข้าคนนึงไหม?”

“ไม่มีเเล้ว เจ๊หนานพวกเรารวมทีมครบแล้ว เจ๊รอตาหน้าละกัน!” ผู้ชายคนหนึ่งรีบตอบกลับ

ขณะนั้นเองมีแจ้งเตือนจากกลุ่มแชทเด้งขึ้น หนานฮุ่ยเหยาคลิกเข้าไปดู เป็นฉินหร่านลากเธอเข้ากลุ่ม ก่อนมีข้อความจากคนในกลุ่มส่งมา

เธอจึงคลิกเปิดดู

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ
Status: Ongoing
ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset