เฉินเจวี้ยนนิ่งเงียบ
เขามองเข้าไปในร้านชานมไข่มุก สายตาชัดเจนหรี่ลงเล็กน้อย จนดูยากว่าเขาคิดอะไรอยู่
ลู่จ้าวอิ่งคิดกับตัวเองว่าเขาคงไม่ได้ฟัง
จากนั้นเฉินเจวี้ยนก็หันหน้าคิ้วขมวดมาทางเขาแล้วถามว่า “เขาคือใครเหรอ”
ลู่จ้าวอิ่งพูดอะไรไม่ออก เขาตามไม่ทันแล้ว!
เฉินเจวี้ยนก้มหน้าลงพร้อมคาบบุหรี่ในปาก “คดีฆาตกรรมครั้งใหญ่มื่อสามปีก่อน ผู้อาวุโสสวีก็อยู่ที่นั่นด้วย”
ลู่จ้าวอิ่งมึนงงและสับสน “คุณพบอะไร”
“ได้แต่เดา” เฉินเจวี้ยนพ่นควันบุหรี่ออกมา ดวงตาดูมืดมน “ผู้อาวุโสสวีไม่น่าจะมีใจสงสารอะไร มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่เขาไปถึงหมูบ้านหนิ่งไห่”
“ดังนั้น เรื่องผู้สืบทอด…” ลู่จ้าวอิ่งเงยหน้าขึ้นทันที
เฉินเจวี้ยนยิ้ม “เป็นไปได้สองทาง หนึ่งมันเป็นการหลอกล่อ ด้วยสถานะและภูมิหลังของผู้อาวุโสสวี ถึงจะมีผู้สืบทอดอยู่ในใจแล้วก็ตาม เขาไม่น่ามอบตำแหน่งให้คนนอกตอบแทนผลประโยชน์ให้ตระกูลสวี”
“สอง มีผู้สืบทอดที่เขายอมสละผลประโยชน์มหาศาลให้ เขาเคลื่อนไหวเพื่อมองหาเรา พูดถึงเรา เขาอาจจะขอความช่วยเหลือจากฉัน ถ้าเป็นแบบนี้ อาจจะมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งกัน ผู้สืบทอดเป็นอย่างไรเราก็ไม่มีทางรู้”
“มันง่ายกว่ามากที่จะรักษาชีวิตของคนตระกูลเฉินมากกว่าตระกูลสวี” ลู่จ้าวอิ่งไม่เคยคิดถึงจุดนี้ เขาไม่เคยเข้าใจอะไรที่ซับซ้อนแบบนี้มาก่อน เขายิ้ม “เรื่องนี้ดูมีอะไรผิดปกติ ฉินหร่านน่าจะโชคดีเป็นผู้รอดชีวิต ผู้อาวุโสสวีคงไม่ละสายตาจากเธอหรอก จริงไหมครับ”
เฉินเจวี้ยนไม่ตอบอะไร ยังมีเรื่องสำคัญที่เขายังคิดไม่ตก
ฉินหร่านมีบทบาทอะไรในเรื่องทั้งหมดนี้
แปลกที่ผู้อาวุโสสวีจะให้จดหมายรับรองแก่นักเรียนเป็นการส่วนตัว
เขาสูบบุหรี่เล็กน้อยและมองไปที่ร้านชานมไข่มุก “ถ้าเขาจะหมายตาดูใครสักคนมาเป็นผู้สืบทอดจริงๆ สิ่งต่างๆ คงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง”
เมื่อนึกถึงสถานะของผู้อาวุโสสวีแล้ว ลู่จ้าวอิ่งตระหนักได้ทันทีว่ามันมีความสำคัญเพียงใด
เขาเงยหน้ามาเหมือนกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง เขาก็เห็นเฉิงเจวี้ยนเข้าไปในร้านแล้ว
มันเป็นสุดสัปดาห์ ร้านไม่ได้มีลูกค้ามากนัก ฉินหร่านกับเว่ยซื่อหางรออยู่ข้างในร้าน
เธอวางแก้วชานมลงบนโต๊ะและได้กลิ่นหอมสดชื่นที่คุ้นเคย คล้ายๆ กลิ่นเปปเปอร์มินต์
เธอเงยหน้ามาเห็นเฉินเจวี้ยนเท้าแขนข้างหนึ่งบนเคาน์เตอร์บาร์ เขาตัวสูงและมักต้องก้มลงมองคนอื่น แม้สีหน้าเขาจะเรียบเฉียบ แต่ก็มีความกดดันอยู่เหมือนกัน
เขาดูรายการอาหารยาวๆ แล้วขมวดคิ้ว เห็นชัดว่าเขาไม่เคยมาร้านแบบนี้มาก่อน “เอาอะไรดีๆ มาให้ฉันสักแก้วสิ”
เขาหยิบบัตรออกมาเพื่อชำระเงิน
ฉินหร่านมองดูแล้วเดาเอาว่านายน้อยเฉินคงไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ใครๆ ก็จ่ายเป็นเงินสดหรือจ่ายผ่านดิจิทัลกัน ใครจะจ่ายเงินจำนวนเล็กน้อยแค่นี้กับบัตรหรูกัน”
เธอเอามือลง “ฉันเลี้ยงเอง”
เฉินเจวี้ยนไม่ได้สนใจ เขามองไปที่มือของเขาและนิ้วเรียวยาวของเธอ มือของเธอสวยมาก เว้นแต่ว่านิ้วของเธอดูจะไม่ได้รับการดูแลที่ดีนัก
ปลายนิ้วเธอเย็นเฉียบ แต่ก็อบอุ่นถ้าเทียบกับผิวหนังของเขา
เขามองไปที่เธออย่างสุภาพและเห็นว่าฉินหร่านกำลังตั้งใจเตรียมแก้วที่กำลังใส่ท็อปปิ้งเพื่อเสิร์ฟให้กับเขา
เธอดูมีสมาธิมาก มือหนึ่งก็ถือแก้ว อีกมือหนึ่งก็ตักท็อปปิ้ง เธอใช้ช้อนคนชาผลไม้โดยที่ไม่กระทบขอบแก้วเลย
แก้วใสมีพิมพ์ลายโลโก้อยู่ ชาผลไม้เทลงมาสองในสามส่วน แล้วบรรจงราดวิปครีมสดใหม่ ตบท้ายด้วยการโรยผงโกโก้ด้านบน
ฉินหร่านเป็นคนจริงจังและรอบคอบเสมอเมื่อเธอทำอะไรที่สำคัญ เธอมักจะดูเย็นชา เข้าถึงได้ยาก แต่เมื่อเธอตั้งใจทำสิ่งใด เกราะนั้นก็แตกสลายไปในทันที
แม้แต่ขนตาเธอก็ชี้ลงในมุมที่สมบูรณ์แบบ
“ขอบคุณ” เขารับชาทั้งสองแก้วมา
เขาเดินกำแก้วแน่นไปด้านข้างโดยที่ไม่รู้ตัว
**
คฤหาสน์ตระกูลเฟิง
“หมิงเย่ว์ เธอควรกินมากกว่านี้ ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ปรับตัวได้หรือยัง” เฟิงโหลวเฉิงตักอาหารจำนวนมาใส่จานของพานหมิงเย่ว์
“ขอบคุณค่ะ ลุงเฟิง” พานหมิงเย่ว์พูดเรียบๆ “เพื่อนๆ ในห้องน่ารักมาก”
“พี่ชายเฟิงก็อยู่ที่นี่บ้านนี้ด้วย ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งกลับไปโรงเรียนสุดสัปดาห์นี้ อยู่บ้านเดี๋ยวให้ป้าทำอาหารอร่อยๆ ให้กินนะ” เฟิงโหลวเฉิงยิ้ม
ปกติแล้วเขาเป็นคนเงียบๆ ขี้อายและเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ดูเหมือนว่าเขาให้ความรักและความเมตตาทั้งหมดกับสาวน้อยคนนี้
มาดามเฟิงโยนตะเกียบลงบนโต๊ะ “ฉันอิ่มแล้ว”
แล้วเธอก็เดินกระทืบเท้าขึ้นไปชั้นบน
เฟิงฉือคิ้วขมวด
พานหมิงเย่ว์จับตะเกียบแนน่แล้วยิ้มให้เฟิงโหลวเฉิง “ลุงเฟิง ตอนนี้ใกล้สอบแล้ว หนูต้องกลับไปที่โรงเรียนเพื่อทบทวน”
“ป้าเขาก็เป็นแบบนั้น” เฟิงโหลวเฉิงมองไปที่พานหมิงเย่ว์แล้วถอนหายใจ “หมิงเย่ว์…”
“ลุงคะ หนูอิ่มแล้วเหมือนกัน ขอตัวไปเอาชุดก่อนนะคะ” พานหมิงเย่ว์กินอาหารที่เฟิงโหลวเฉิงตักให้เสร็จแล้วก็ขึ้นไปข้างบนด้วยอีกคน
ห้องของเธอตกแต่งอย่างสวยงาม เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้า ภายในนั้นมีเสื้อผ้าไม่มากนัก
เสื้อผ้าส่วนใหญ่มาจากสมัยเธอยังเด็ก เฟิงโหลวเฉิงเป็นผู้ชาย เขาไม่รู้ว่าจะดูแลเธออย่างไรในทุกๆ ด้าน อย่างไรก็ตามเขาก็ยังโอนเงินเข้าบัญชีของเธอทุกเดือน แม้ว่าเธอจะไม่เคยใช้มันเลยก็ตาม
แต่เธอก็ไม่สนใจ
เธอหยิบเสื้อผ้าที่มีแล้วลงไปข้างล่าง
จากมุมหนึ่งเธอได้ยินเสียงเฟิงฉือคุยกับเฟิงโหลวเฉิง
เฟิงฉือวางตะเกียบลง กำลังจะใช้ผ้าเช็ดปาก “พ่อครับ ไม่ใช่แค่แม่ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหมิงเย่ว์เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงพาเธอมาที่นี่แล้วก็ทำดีกับเธอนัก เธอเป็นลูกนอกสมรส หรือว่าเป็นลูกสาวจากคนรักเก่าของพ่อกันแน่”
“ทำตัวเหมือนแม่จริงๆ!” เฟิงโหลวเฉิงเหวี่ยงตะเกียบมองอย่างเคร่งเครียดไปที่เฟิงฉือและพูดขึ้นว่า “อย่าพูดแบบนี้ให้หมิงเย่ว์ได้ยินนะ”
“เธอก็ไม่น่าจะเป็นลูกของพ่อ แต่ผมก็อยากรู้ ถ้าเธอไม่มีพ่อแม่ก็ต้องมีญาติคอยดูแลสิ ทำไมพ่อต้องทำมันด้วยตัวเอง” เฟิงฉือจุดบุหรี่
อีกมุมหนึ่งหมิงเย่ว์กำลังเดินลงมา
เธอลงมาข้างล่างเพื่อลาเฟิงโหลวเฉิง มาดามเฟิงที่ไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเฟิงโหลวเฉิงก็ดูแลเธอเป็นอย่างดี
“เดินทางปลอดภัยนะ” เฟิงโหลวเฉิงเย็นลงทันทีและพูดอย่างนุ่มนวล
เฟิงฉือมองดูพานหมิงเย่ว์ออกไป “นั่นไง พ่อดีกับหมิงเย่ว์เกินไป นี่ไม่ใช่ตัวพ่อเลย ถ้าอยากให้แม่ทำดีกับหมิงเย่ว์ งั้นพ่อก็ควรไปอธิบายเรื่องนี้กับแม่สิ”
**
สุดสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คาบสุดท้ายของวันจันทร์มีประชุม เกาหยางพูดอย่างมั่นใจกับบทเรียนชีวิตก่อนจะจิบชา “มีใครอาสาทำรายงานการประชุมของวันนี้ไหม”
ไม่มีใครยกมือ ไม่มีใครในชั้นปีที่สามอยากรับภาระเพิ่ม
เกาหยางจึงเลือกใครบางคนขึ้นมา “หลินซือหราน เธอเขียนเก่งนี่ ครั้งนี้เธอรับผิดชอบนะ”
ฉินหร่านที่เพิ่งจะหายจากไข้หวัดยืนกึ่งพิงกำแพง เพื่อนร่วมโต๊ะเธอเห็นด้วยอย่างเงียบๆ
เธอรู้สึกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะเธอดีเกินไป
หลังจากอภิปรายเรื่องเบ็ดเตล็ดเสร็จแล้ว ก็เหลือเวลาแค่สิบนาที เกาหยางอยากจะให้พวกเขาอ่านหนังสือกันเอง
ฉินหร่านแกะอมยิ้มแล้วเอาใส่ปาก
เธอกินมันขณะอ่านหนังสือ
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังของรองเท้าส้นสูงมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องที่เก้า แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิง “เกาหยาง ฉินหร่าน เด็กห้องเธอเป็นยังไงบ้าง เด็กนั่นมาทำอะไรในโรงเรียนนี้ มาสร้างปัญหาเหรอ ถ้าเด็กนั่นมาก่อเรื่องในชั้นเรียนของฉัน เธอจะรับผิดชอบกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นยังไง”