สวีเหยากวงเป็นคนสงบปากสงบคำเช่นเคย เขาหยุดสักพักก่อนจะมองฉินอวี่
เงียบขรึมจริงๆ
อยู่ดีๆ เฉียวเชิงก็เอียงคอมองฉินอวี่แปลกๆ
ฉินอวี่กระชับหนังสือแน่นก่อนยิ้ม “ฉันพูดอะไรผิดเหรอ พี่สาวฉันก็มีเรื่องมีราวได้ตลอดแหละ ความจริงก็แบบนี้ ถ้าเธอไม่ก่อเรื่อง โรงเรียนคงไม่ตะเพิดเธอออกมา ถ้าอาจารย์ใหญ่สวีไม่สงสารเธอ ดูจากประวัติส่วนตัวแบบนั้นจะเข้าเรียนที่นี่ได้ยังไง”
“ทำไมเธอถึงได้มีอคติกับพี่สาวตัวเองนัก พี่สาวเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เธอพูด วันนี้เจี่ยงหันที่อยู่ห้องเธอเป็นคนก่อเรื่องต่างหาก” เฉียวเชิงเดาะลูกบาสเกตบอลในมือและตอกกลับเธออย่างไม่ยี่หระ
ฉินอวี่สะดุ้งตกใจ
เธอไม่คิดว่าเฉียวเชิงจะพูดกับเธออย่างนั้น
“วันนี้ฉันจะไปเล่นบาสที่สนาม ฉันไม่เข้าอาคารศิลปกรรมนะ” เฉียวเชิงพูดกับสวีเหยากวงก่อนจะเดาะลูกบาสออกไปที่สนามกับพวกผู้ชายสามสี่คน เขาไม่คิดจะขอโทษฉินอวี่เลย
สวีเหยากวงพยักหน้า เมื่อเฉียวเชิงเดินออกไปแล้ว เขาเห็นฉินอวี่ยังยืนอึ้งอยู่และพึมพำกับตัวเอง “อาจารย์ใหญ่สวีไม่ใช่คนขี้สงสาร”
“หืม?” ฉินอวี่นิ่งงัน
สักพักเธอก็เม้มปากและคลี่ยิ้มออกมา “นายพูดเล่นอีกแล้วนะ รู้ได้ยังไงว่าอาจารย์ใหญ่สวีเป็นคนแบบไหน”
จากนั้นเธอก็กอดหนังสือและเดินจากไปเงียบๆ พลางมองไปยังเด็กผู้ชายสามสี่คนที่เล่นบาสเกตบอลอยู่ ฉินอวี่รู้สึกเศร้ามาก
เธอไม่รู้ว่าสวีเหยากวงเป็นคนยังไงกันแน่ ในตอนนั้นเขาปกป้องเธอจากเว่ยจื่อหังอยู่ครั้งนึง และเธอรู้สึกว่าคนที่กล้าต่อกรกับเว่ยจื่อหังไม่ธรรมดาแน่
ถึงจะเป็นแบบนั้น ในช่วงสองปีให้หลังสวีเหยากวงก็อยู่หอพัก แต่งตัวและกินอาหารบ้านๆ
ด้วยเหตุนี้แม้เขาจะแซ่สวี แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับอาจารย์ใหญ่สวีเลย
ตรงกันข้ามกับเฉียวเชิงที่ดูเป็นทายาทรุ่นสองที่ร่ำรวยอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งสองเดินเข้าไปในอาคารศิลปกรรม
ฉินอวี่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากฝึกซ้อมไวโอลินอย่างหนัก ทุกวันเธอมักจะทุ่มเทเวลาเกือบสิบชั่วโมงไปกับการฝึกซ้อมจนตอนนี้เธอเล่นได้ไหลลื่นและเพราะกว่าแต่ก่อนมาก
ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนบางสิ่งขาดหายไป
แต่ว่าสมาชิกในคณะกรรมการนักเรียนสามสี่คนก็ยังทึ่งและตื่นเต้นสุดๆ “ฉินอวี่ เธออยากเล่นในวันก่อตั้งโรงเรียนไหม นี่เพราะมากเลยนะ”
“ฉันนึกว่าเพลงที่ใช้บรรเลงในวันก่อตั้งโรงเรียนเลือกเอาไว้แล้วซะอีก” ฉินอวี่เม้มปาก “ฉันพยายามหาครูฝึกให้ใช้เพลงนี้ ฉันแต่งเอง”
“จริงเหรอ” ทุกคนอึ้งและออกอาการอิจฉา
มีเพียงสวีเหยากวงที่ดูอึกอัก
ฉินอวี่เล่นไวโอลินได้ไพเราะมาก เพียงแต่มันดูขาดอะไรบางอย่างไป เขาขมวดคิ้วนิ่ง
“นายคิดว่าไง” ฉินอวี่ถามเขา
สวีเหยากวงเหมือนจะได้สติ “เพราะมากเลย”
เมื่อฉินอวี่ซ้อมไวโอลินเสร็จ เธอก็ไปกินข้าวที่โรงอาหารกับสวีเหยากวง
**
วันนี้ชั้นเรียนเลิกช้าทำให้ฉินหร่านต้องนั่งอยู่ในห้องเรียนสักพัก
คืนนี้ฝนตกค่อนข้างหนัก ทั้งฝนและหมอกทำให้ทุกอย่างดูพร่าเลือน แม้แต่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงยังดูเลือนราง
หลินซือหรานคุยกับเนี่ยเฟยเรื่องโปสเตอร์ระหว่างที่เนี่ยเฟยถือร่ม ตอนแรกเธออยากจะเอาร่มจากหอพักมาด้วย แต่พอเห็นพานหมิงเย่ว์ถือร่มสีดำอยู่ที่หน้าประตูห้องเก้า หลินซือหรานก็ยิ้มและบอกฉินหร่าน
ในตอนนั้น ทั้งห้าคนแบ่งกันใช้ร่มสองคันเพื่อเดินไปโรงเรียน ทั้งหมดเดินไปอย่างเงียบๆ ไม่จอแจ
ที่ห้องพยาบาลของโรงเรียน
เมื่อจู่ๆ ฝนตกจึงมีคนรวมกันอยู่ในนั้นประปราย
ลู่จ้าวอิ่งนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ ขาทั้งสองยกขึ้นพาดและเคาะนิ้วบนโต๊ะ เขาหันไปมองเฉิงเจวี้ยน “อาจารย์เจวี้ยน ท่านประธานเจี่ยงอยากพบคุณ”
เฉิงเจวี้ยนกำลังวินิจฉัยโรคหายาก เขาพลิกหน้าหนังสือและตอบอย่างไม่แยแสโดยไม่เงยหน้ามอง “ผมจะไม่ไปพบเขา”
การผ่าตัดก็เสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องไปพบเขาอีก
เมื่อรู้ว่าเฉิงเจวี้ยนไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่แปลกใจอะไร พอมองไปนอกประตู เขาก็พูดขึ้นด้วยความกังวล “ฝนตกหนักมากเลย ไม่รู้ว่าฉินหร่านจะเอาร่มมาไหม เธอยิ่งเพิ่งหายไข้อยู่”
เฉิงเจวี้ยนชะงักและเงยหน้าขึ้นอย่างเสียไม่ได้
ประตูห้องพยาบาลของโรงเรียนยังเปิดอยู่เพราะฉินหร่านยังไม่มา
ขณะที่เขาพูด พวกเขาเห็นคนสองคนกำลังเดินตรงมาทางพวกเขา หญิงสาวที่ถือร่มไว้ผมสั้นและสวมแว่นตาจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน ที่จริงแล้วเธอเป็นคนสวย แต่ดูไม่น่าสนใจนักเมื่อเทียบกับผู้หญิงข้างๆ
สายตาของเฉิงเจวี้ยนจับจ้องไปยังหญิงสาวคนข้างๆ โดยไม่รู้ตัว
เธอดูไม่แยแสอะไรและเยือกเย็น ดวงตาที่โดดเด่นของเธอดูวาวสดใสในหมอกราวกับภาพวาดทิวทัศน์
ฉินหร่านไม่พูดกับพานหมิงเย่ว์แม้แต่คำเดียว
เมื่อฉินหร่านเดินเข้ามาในห้องพยาบาล พานหมิงเย่ว์ก็หมุนตัวเดินกลับไปทางโรงอาหาร
เมื่อมองจากด้านหลัง ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกว่าเธอค่อนข้างผอม เขาอดที่จะหันมาถามเธอไม่ได้ว่า “ฉินหร่าน นี่เพื่อนร่วมชั้นเธอเหรอ บอกให้เขานั่งลงก่อนดีไหม ดูสิ เสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว”
“เธอไม่มีเวลาและต้องรีบออกไปเรียนน่ะ” ฉินหร่านถอดเสื้อคลุมเปียกๆ ออก
ลู่จ้าวอิ่งพูด “เด็กเรียนชะมัด”
เฉิงเจวี้ยนหยิบรีโมตแอร์ขึ้นมากดเพิ่มอุณหภูมิ
เขาอ่านเคสต่อไปโดยที่ไม่มีสมาธินัก เขามองเห็นฉินหร่านในแสงสลัวๆ ในครัว แม้เขาจะทำเฉยเมย แต่ที่จริงเขาหัวเสียมาก
เธอดูไม่มีความสุขสักนิดและท่าทางของเธอก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเศร้าสร้อย
เฉิงเจวี้ยนอ่านเคสของตนต่อ เขาเอนหลังพิงโซฟาและพลิกหน้ากระดาษอย่างไม่ใส่ใจนัก
ช่วงสองวันมานี้ ทั้งสามคนได้พัฒนาความสัมพันธ์อย่างยากลำบาก แม้จะละทิ้งเรื่องความต่างออกไป ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่ได้คิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉินหร่าน
เมื่อเฉิงเจวี้ยนบอกว่าขาดคน ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่ได้ห้ามเขา
ตอนนี้ลู่จ้าวอิ่งชวนฉินหร่านไปกินมื้อค่ำ และฉินหร่านเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเขา
ในโรงอาหารมีคนมากมายและเธอไม่ค่อยได้มาที่นี่นัก
ปกติแล้วเธอมักจะออกไปกินตามร้านที่คนน้อยๆ มันค่อนข้างเสียเวลาพอควร
ขณะที่กินอยู่ เฉิงเจวี้ยนค่อยๆ ยกเท้าขึ้น เขาเห็นเธอดูเศร้าสร้อยจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “เป็นอะไรไป”
“อ้อ” ฉินหร่านตอบรับ เด็กสาวที่ปกติแล้วจะเยือกเย็นดูสิ้นท่า เธอหรี่ตาลง “วันเสาร์นี้มีประชุมผู้ปกครอง แต่ยายของฉันยังอยู่โรงพยาบาลน่ะ”
ลู่จ้าวอิ่งอยากพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่จู่ๆ ก็นึกถึงหนิงฉิงขึ้นมา เธอก้มหัวและกินอาหารไปอย่างเงียบๆ
เฉิงเจวี้ยนมองเธอสักพักและอดยิ้มออกมาไม่ได้ ปกติแล้วเขาดูเฉื่อยชา และแม้แต่รอยยิ้มของเขาบางครั้งยังทำให้คนอื่นรู้สึกเครียด แต่รอยยิ้มของเขาตอนนี้เป็นรอยยิ้มที่ตาดูเปล่งประกายราวหิมะละลาย
“ครูเธอรู้จักครอบครัวของเธออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เขาพูด
ลู่จ้าวอิ่งพูดเสนอตัว “ฉินหร่าน ฉันเป็นพ่อให้เธอได้นะ!”
ฉินหร่านเอามือจับคางแล้วมองพิจารณาลู่จ้าวอิ่ง “คุณเด็กเกินจะเป็นพ่อฉัน”
“ฉันเป็นพี่ชายเธอได้ เอาตามนั้นแล้วกัน” ลู่จ้าวอิ่งกระชับเสื้อผ้าและดูพอใจในตัวเองสุดๆ จากนั้นเขาก็เอ่ยปากถาม “เด็กนักเรียนคนที่เธอเดินมาด้วยอยู่ห้องเดียวกับเธอเหรอ”
เฉิงเจวี้ยนมองเขานิ่งๆ
ทั้งสองคนเถียงกันอยู่นานจนกินอาหารเสร็จ ลู่จ้าวอิ่งยังหมกมุ่นอยู่กับบทสนทนาจนจู่ๆ ก็รู้สึกถึงสายตาของเฉิงเจวี้ยนที่จับจ้องอยู่
ใบหน้าของเฉิงเจวี้ยนดูงดงามและอ่อนโยน “ทำไมฉันไม่เคยเห็นคนเด็ดเดี่ยวอย่างลู่จ้าวอิ่งกระตือรือร้นแบบนี้เลยนะ”
ตอนนั้นเองที่แข้งขาของลู่จ้าวอิ่งอ่อนแรง เขาเกาหัวแกรกๆ อีกครั้ง “โธ่ อาจารย์เจวี้ยน ฉินหร่านก็ออกจะมีเสน่ห์ ผมสนใจเธอตั้งแต่แรกเห็น แต่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเธอหรอกนะ”
เขาไม่กล้าพอ
ฉินหร่านพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครพาเธอไปงานประชุมผู้ปกครองในวันเสาร์
แต่ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกถึงความเศร้าเกินบรรยาย
เขาไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่นมาก่อน แต่ช่วงสามสี่วันที่ฉินหร่านมาอยู่ที่นี่ เธอไม่เคยพูดถึงครอบครัวเลยสักครั้ง
แม้ว่าเธอจะเตรียมอาหารให้พวกเขาทั้งสอง แต่เขาก็ไม่เคยถามไถ่เรื่องนี้กับเธอ
ใครก็รู้ว่าถ้าอยากเป็นเชฟให้พวกเขาทั้งสอง เธอต้องผ่านการสัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้ง
ในตอนแรกเฉิงเจวี้ยนก็พูดแบบสบายๆ แต่หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ครุ่ดคิดและพูดอย่างระมัดระวัง “พูดต่อสิ”
ลู่จ้าวอิ่งเกาหัวก่อนเอามือจับหูและทอดสายตาออกไป “ฉันแค่… คิดว่าฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเธอแบบบอกไม่ถูก เราไปขู่แม่ของเธอด้วยกันไหม ไหนๆ หลังกินข้าวเสร็จก็พอมีเวลา”
“คุ้นๆ เหรอ” สีหน้าของเฉิงเจวี้ยนดูเ**้ยมเกรี้ยวและหัวเราะ
“อ๊ะ ไม่สิ” ลู่จ้าวอิ่งร้องแย้งเหมือนเพิ่งตั้งสติได้ “ฉันว่าเธอเหมือน…”