สวีเหยากวงรู้ว่าบอร์ดนี้ต้องจัดองค์ประกอบใหม่ เขายังอยู่ในคณะกรรมการและจะส่งมอบตำแหน่งของเขาในเทอมหน้า วันพรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องให้คะแนนสมาชิกหลายคนในคณะกรรมการนักเรียน
สวีเหยากวงมองไปที่ตัวอักษรเข้มๆ บนกระดานดำ ลายเส้นเรียบง่าย ไหลลื่นและมีตัวการ์ตูนอยู่ พวกมันดูสดใสราวกับมีชีวิตอยู่บนกระดาน
สวีเหยากวงรู้สึกว่าตัวการ์ตูนดูคุ้นตา แต่นึกว่าออกว่าเป็นใคร
ตัวการ์ตูนอื่นดูเหมือนจะวาดแบบเร็วๆ และดูคุ้นตาเช่นกัน ตัวการ์ตูนพวกนี้ถูกวาดออกมาไวๆ
สีสันก็ดูจัดจ้านด้วย
คนวาดต้องมีฝีมือในการวาด
สวีเหยากวงไม่คิดว่าจะเห็นทักษะการวาดภาพเช่นนี้ในโปสเตอร์
คนที่กำลังวาดหันหลังให้เขา เธอเอนตัวไปด้านข้าง สวมหูฟังสีดำและสายหูฟังก็แกว่งไกลเล็กน้อยยามเธอขยับ
เธอถอยหลังออกมาและดูเหมือนกำลังพิจารณาตัวการ์ตูนที่ตนวาด
สวีเหยากวงยืนอยู่หน้าห้องเป็นเวลานาน เมื่อเขาถอยหลัง เขาก็เห็นเธอหันหน้ามาพอดี
อีกอย่างเหม่อลอยและใช้มืออีกข้างเล่นสายหูฟัง ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็ถือชอล์กไว้ เธอดูชอบใจในภาพวาดของตัวเอง
เธอค่อยๆ ทอดสายตาอย่างช้าๆ
หัวใจของสวีเหยากวงเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย
ต้องเป็นฉินหร่านแน่
เท่าที่เขารู้เกี่ยวกับฉินหร่านคือเธอเกรดไม่ดีและไม่ชอบเรียนหนังสือ คำพูดของเธอเหมือนเด็กประถม และระหว่างเรียนก็ชอบนอนบนโต๊ะเรียน ไม่ก็ถือหนังสือนอกหลักสูตร
เธออ่านทุกอย่าง นิยาย หนังสือแปลและนิตยสาร
ทุกคนในห้องสามทับเก้าต่างก็รู้กันดี
สวีเหยากวงถอยหลัง เขาเม้มปากและมองไปที่ฉินหร่านขณะที่เธอหันมาหาชอล์ก แทนที่เขาจะเข้าไปหยิบเสื้อคลุม เขาแอบมองฉินหร่านและเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
“ทำไมถึงได้นานนัก” สวีเหยากวงเห็นรถสีดำจอดอยู่ริมถนนข้างโรงเรียน เขาจึงเดินขึ้นรถไป ทั้งสองไปยังโรงแรมเอ็นหยู และอาจารย์ใหญ่สวีก็ลอบมองเขา
สวีเหยากวงหันหลังไปกระซิบ “ผมกลับไปเอาของที่ลืมไว้ในห้อง”
อาจารย์ใหญ่สวีพยักหน้าโดยที่ไม่พูดอะไร
ในตอนแรกเขาไม่ได้นั่งลงแต่มองเฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ประธานสวี เขาอึ้งไปสักพักก่อนค่อยๆ เอ่ยปาก “นายน้อยเจวี้ยน? นายน้อยลู่?”
เฉิงเจวี้ยนถือถ้วยชาในมือและนิ้วยาวๆ ของเขาดันฝาถ้วยเพื่อเปิดออกอย่างสบายๆ และเฉื่อยชา
ลู่จ้าวอิ่งไม่ชอบดื่มชาและออกจะประหลาดใจที่เจอเขา เขาเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ยักรู้ว่านายน้อยสวีก็อยู่ในยุนเฉิงด้วย”
เฉิงเจวี้ยนยังไม่แก่ แต่เขาก็เป็นลูกชายคนโตของนายท่านเฉิงและถือว่าอาวุโสมากที่สุดในปักกิ่ง เพราะงั้นทุกคนที่รู้จักเขาจึงเรียกเขาว่านายท่านเจวี้ยน
“ผมเป็นคนบอกให้เขาย้ายมาที่นี่เอง” อาจารย์ใหญ่สวีให้พนักงานเสิร์ฟทำงานและยิ้มนิดๆ
ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ๆ เฉิงเจวี้ยนจึงแค่พยักหน้าและไม่ได้ขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของพวกเขา
หลังจากกินอาหารหมดไปครึ่ง เฉิงเจวี้ยนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และวางมือบนโต๊ะ “ผู้อาวุโสสวี ผมได้ยินข่าวลือจากโรงเรียนว่าคุณให้การรับรองสาวน้อยคนนึง”
“ใช่แล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีหัวเราะและทอดสายตาออกไป “ไม่ใช่แค่คนเดียว”
“ไม่ใช่แค่คนเดียวเหรอ” เฉิงเจวี้ยนเขี่ยถ้วยและเลิกคิ้วขึ้น
“มาคุยเรื่องนี้กันเถอะ” อาจารย์ใหญ่สวีส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดมากกว่านี้อีกแล้ว
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่ลู่จ้าวอิ่งอดใจไม่ไหว เขาจิบไวน์และเอ่ยปากถาม “ผู้อาวุโสสวี ใครคือผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่คุณพูดถึงคราวก่อน”
ผู้อาวุโสสวีส่ายหัวแทนคำตอบ
ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกคันยุบยิบในใจเหมือนโดนลูกแมวข่วนและสงสัยอย่างมาก แต่เมื่อผู้อาวุโสสวีไม่อยากบอก เขาก็จะไม่บังคับเช่นกัน
สวีเหยากวงเอาแต่กินและไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนา
เมื่อลู่จ้าวอิ่งพูดถึงผู้สืบทอดของตน เขามองไปที่ผู้อาวุโสสวีทันที เขาเม้มปากอย่างไม่เชื่อใจ กำหมัดที่ซีดเซียวของตนเอาไว้
หลังกินเสร็จ ผู้อาวุโสสวีและนายน้อยสวีกลับออกไปก่อน
ลู่จ้าวอิ่งอยู่กับเฉิงเจวี้ยนสักพัก
ผู้จัดการหวังหยิบกล่องข้าวมาและลู่จ้าวอิ่งหยิบไป ชายทั้งสองคนลงลิฟต์มาด้วยกัน
หลินจิ่นเซวียนเดินเข้าประตูมาพร้อมกับเฟิงฉือ ทั้งสองอยากคุยกัน ดูเหมือนว่าหลินหว่านและหลินฉีเองก็อยากเชิญเฟิงฉือมากินมื้อค่ำ
ในฐานะที่เป็นนักลงทุนของหลินจิ่นเซวียนและลูกชายของนายกเทศมนตรีเฟิง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หลินหว่านและหลินฉีเกรงใจและให้เกียรติ
นายกเทศมนตรีเฟิงทำงานอย่างใสสะอาด เขาไม่ค่อยไปกินอาหารกับคนอื่นและสมาชิกในตระกูลเฟิงก็ไม่สนิทสนมกับใครเช่นกัน เมื่อได้รับโอกาสนี้ทั้งหลินหว่านกับหลินฉีจึงให้ความสำคัญมาก
เฟิงฉือเห็นทั้งสองคนแล้วก็อึ้งไปนิดๆ เขาหยุดทักทาย “คุณลู่”
น่านับถือ
แม้ทั้งสองจะมีชื่อเรียกว่า “นายน้อยลู่” และ “นายท่านเจวี้ยน” แต่เขาไม่ได้อยู่ในแวดวงปักกิ่ง เขาจึงไม่กล้าจะเรียกทั้งสองเช่นนั้น
เฉิงเจวี้ยนเป็นที่รู้จักในปักกิ่งและเขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร มีเพียงลู่จ้าวอิ่งที่ตอบรับเขาด้วยรอยยิ้ม
เขาก็ไม่สนิทสนมกับอีกฝ่ายเช่นกัน พวกเขาจึงเพียงพูดทักทายแล้วผละไป
เมื่อพวกเขาไปแล้ว หลินจิ่นเซวียนก็พูดขึ้นว่า “สองคนเมื่อกี้…”
“ตระกูลเฉิงกับตระกูลลู่ที่ปักกิ่งน่ะ” เฟิงฉือพูดเสียงทุ้ม
หลินจิ่นเซวียนสูดหายใจลึกก่อนจะสงบใจและตั้งสติได้
เขาเคยไปปักกิ่งมาก่อนและรู้ดีว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยเสือที่หมอบรอโอกาส คนที่เดินสวนไปมาบนถนนธรรมดาๆ อาจเป็นคนที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ตระกูลหลินไม่ได้มีชื่อในเมืองนั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลินจิ่นเซวียนยืนกรานจะทำธุรกิจ
“พี่ พี่เฟิง” เสียงบอกความดีใจดังขึ้น ฉินอวี่ที่รออยู่ด้านบนลงมาด้านล่างเพื่อเกาะแขนหลินจิ่นเซวียนและมองไปที่ประตูอย่างสงสัย “เมื่อกี้คุยกับใครเหรอคะ”
เธอเพิ่งออกมาจากลิฟต์จึงเห็นเพียงแผ่นหลังของทั้งสองคน
เฟิงฉือดูนบนอบและเงียบขรึม
นั่นคือเฟิงฉือ ลูกชายของนายกเทศมนตรี บุคคลที่แม้แต่หลินจิ่นเซวียนเองก็ควรระวังไว้
“ก็แค่คนทั่วไปสองคนน่ะ” เฟิงฉือไม่ได้พูดอะไรกับฉินอวี่มากและยิ้มให้
ฉินอวี่ตามทั้งสองขึ้นลิฟต์ไปและอดหันหลังมามองไมได้
ที่ชั้นบน เมื่อเขาเห็นคุณนายเฟิงนั่งข้างๆ หลินหว่าน เฟิงฉือก็อึ้งไป “แม่?”
คุณนายเฟิงกลอกตาใส่เขาก่อนจะยิ้มให้ฉินอวี่ “อวี่เอ๋อร์ มานี่สิจ๊ะ มานั่งใกล้ๆ ฉัน”
เธอดูชอบฉินอวี่อย่างออกนอกหน้า
หลินหว่านและหลินฉีมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
**
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โรงเรียนอีจง
ทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้าไปในห้องสามทับเก้าเสียงข้างในก็แทบดังสนั่นออกมา นี่เป็นเวลาอ่านหนังสือตอนเช้า แต่ทั้งหน้าต่างและประตูชั้นเรียนเต็มไปด้วยคนมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง
เฉียวเชิงขมวดคิ้ว เขาเตะประตูออกอย่างรำคาญใจ “เสียงดังชะมัด”
“อ้าว คุณ คุณเฉียว ในที่สุดก็มาแล้ว!” เพื่อนร่วมโต๊ะของเขาผุดลุกขึ้นมาอย่างลิงโลด
“มีอะไร?” เฉียวเชิงมองแล้วจับผมของตัวเอง
ระหว่างการสนทนานั้นยิ่งมีคนพากันมามุงดูไม่ขาดสาย
เด็กผู้ชายเงยหน้าไปด้านหลัง หน้าของเขาแดงแปร๊ด “ดูสิ ดูข้างหลังสิ!”
ในตอนนั้น สมาชิกของคณะกรรมการนักเรียนกำลังถือหนังสือเพื่อตรวจสอบโปสเตอร์ทีละแผ่น
เริ่มจากชั้นของรุ่นพี่ก่อน
“ประธาน ชั้นเรียนเป็นไงบ้าง” ใครบางคนกระซิบถามสวีเหยากวง
ฉินอวี่ดูจะอารมณ์ดี เธอยิ้มและเดินตามสวีเหยากวง เธอเห็นคนในห้องสามทับเก้าแล้วก็ยิ้ม “โปสเตอร์นี่ก็วาดสวยดี”
เธอถือหนังสือและเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปในห้องสามทับเก้า