ทั้งฉินอวี่และเฉียวเซิงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เฉียวเซิงเกาหัวและหัวเราะเบาๆ เว้นแต่เสียงของเขาดูแผ่วเล็กน้อย “เอ่อ อย่าล้อเล่นสิ”
ฉินอวี่กำมือแน่น ส่วนตัวแล้วเธอไม่เชื่อเลยสักนิด แต่นี่มาจากปากของสวีเหยากวง คนอื่นอาจพูดเล่น แต่เขาจริงจังเสมอ
ดวงตาของสวีเหยากวงแน่วแน่และท่าทางสงบ เขาเม้มปากและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตอนนี้เฉียวเซิงเองก็พูดไม่ออก
แม้แต่ฉินอวี่ยังรู้ว่าสวีเหยากวงไม่ใช่คนพูดเล่น ทำไมเขาจะไม่รู้
เขาซื้อนมถั่วเหลืองกล่องหนึ่งที่โรงอาหาร พอปักหลอดลงไปเสร็จก็พูดขึ้นว่า “เป็นเธอจริงๆ เหรอ”
“จริงสิ” สวีเหยากวงถือชามโจ๊กด้วยท่าทางเย็นชา
ณ ขณะนั้นเฉียวเซิงพูดอะไรไม่ออก ฉินอวี่ที่นั่งอยู่ข้างพวกเขาถูกเมินเป็นครั้งแรก ในหัวใจของเธอ เต็มไปด้วยความสับสนเป็นเท่าทวี
จะเป็นฉินหร่านได้ยังไง
จะเป็นเธอไปได้ยังไง!
ตะเกียบใช้แล้วทิ้งในมือของฉินอวี่แทบจะหักงอ ฉินหร่านเป็นใครกันแน่ เรียนก็ไม่ได้เรื่อง แถมเธอยัง ไม่มีดีอะไรนอกจากการต่อสู้
เมื่อก่อนนอกจากไวโอลินแล้ว เธอแทบไม่เคยเข้าชมรมอื่น เธอมีบุคลิกแปลกๆ และไม่ค่อยมีใครอยากจะเล่นกับเธอด้วยซ้ำ
เธอวาดรูปได้ยังไง แถมยังวาดรูปสวยอีก!
ฉินอวี่มักจะรู้สึกว่าเธอถือไพ่เหนือกว่าฉินหร่านเพราะรู้เรื่องฉินหร่านทุกอย่าง แต่วันนี้ฉินอวี่ก็ได้รู้แล้วว่าหลังจากไม่ได้เจอฉินหร่านมาหลายปี เธอก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรของฉินหร่านเลย
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เธอก็ยิ่งกำตะเกียบในมือแน่นขึ้น
เธอเงยหน้าขึ้นและยิ้มแบบขอไปที “ฉันจะไปซ้อมไวโอลิน”
“นายน้อยสวี ฉันจะไปหาฉินหร่าน” เฉียวเซิงผุดลุกขึ้นมาทันที
สวีเหยากวงพยักหน้า ดวงตาของเขาเย็นชา “ได้สิ”
**
ฝูงชนเข้ามาออกันเนืองแน่นห้อง สามทับเก้าและหลินซือหรานก็ออกไปซื้ออาหารเช้า
เฉียวเซิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของหลินซือหราน ฉินหร่านยังนอนหลับอยู่ เขาเอื้อมมือไปสะกิดแขนเธอและค่อยๆ หันไปพูดว่า “เธอเป็นคนวาดหรือเปล่า”
“เฉียวเซิง” ฉินหร่านยังใส่ชุดนักเรียนอยู่ น้ำเสียงของเธอแหบต่ำเล็กน้อย “อย่าเสียงดังสิ”
เธอดูไม่อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ และเฉียวเซิงก็จำได้ว่าปกติเวลาคนในห้องเสียงดัง เธอมักจะขมวดคิ้ว ดังนั้นเขาจึงรูดซิปปากทันที
ทันทีที่เขาหันไปก็มีคนเข้ามาในห้องมากขึ้น มันเสียงดังจอแจน่าปวดหัวไม่ต่างจากตลาดสดเลย
เขาเตะโต๊ะตรงข้ามทางเดิน
“เอี๊ยด—”
เสียงดังและแรงมาก
คนที่ออกันอยู่เงียบเสียงและเฉียวเซิงก็วางมือลงบนโต๊ะก่อนหันไปมองพวกนั้นด้วยหางตา “เงียบๆ หน่อย”
เสียงของคนพวกนั้นจึงค่อยๆ เบาลง
นี่เป็นเรื่องที่พวกนักเรียนรู้กันดีอยู่แล้วว่าอย่าไปกวนใจฉินหร่าน
ฉินหร่านนอนลงสักพักและเสียงในหูก็เงียบหายไป เธอจึงเอาชุดนักเรียนคลุมหัวและสูดลมหายใจลึกๆ เธอนั่งบนเก้าอี้แล้วเอาเท้าพาดโต๊ะยันกำแพงไว้
“ภาพวาดพวกนั้น…” เฉียวเซิงมองเธอ
เมื่อมองจากมุมนี้ เขาก็เห็นขนตายาวเป็นแพหนาของเธออย่างชัดเจน และเฉียวเซิงคิดในใจว่าสมแล้วที่นักเรียนพากันตั้งฉายาเธอว่า “สาวขนตางอน”
“ฉันวาดเอง แต่อย่าพูดออกไปนะ” ฉินหร่านครุ่นคิดแล้วขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอเดาได้เลยว่าถ้าพวกนักเรียนรู้ เธอต้องถูกจ้องมองเหมือนลิงทุกวันไปอีกนานแน่
“… บ้าเอ๊ย” เฉียวเซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดเสียงแข็ง “ทำไมเธอถึงวาดเหยียนซีล่ะ เธอชอบหมอนั่นเหรอ”
“ใครจะชอบคนพรรค์นั้นกัน หลินซือหรานต่างหาก” ฉินหร่านกอดอกพิงกำแพง เธอดูรำคาญเสียงจอแจและดูหมดเรี่ยวแรง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เธอก็ยังดูสวย
“ฉันเข้าใจแล้ว” เฉียวเซิงหัวเราะ
นักเรียนในโรงเรียนอีจงเจ็ดในสิบเป็นแฟนคลับเหยียนซี
นั่นเป็นครั้งแรกเหยียนซีถูกพูดถึงในฐานะ “คนพรรค์นั้น”
**
ยังไม่มีใครรู้ตัวคนวาดรูป ตามเว็บบอร์ดในเว่ยป๋อได้พูดคุยถึงเรื่องนี้อยู่สองวันติดโดยไม่มีใครรู้อะไร
ไม่มีใครออกมาแสดงตัวว่าเป็นคนวาดและไม่มีใครรู้ว่าใครวาด
แต่ชื่อเสียงของฉินหร่านก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย หลินซือหรานเป็นผู้รับผิดชอบกระดานข่าวและคนในห้องสามทับเก้าก็เห็นว่าช่วงสองวันมานี้หลินซือหรานดูเอาใจฉินหร่านเป็นพิเศษ
ด้วยเหตุนี้เองความนิยมของฉินหร่านในห้องสามทับเก้าและในโรงเรียนก็พุ่งสูงขึ้นอีกเท่าตัว
นอกจากทุกคนในชั้นม.สามจะรู้จักเธอ แม้แต่น้องใหม่ยังรู้จักดาวโรงเรียนในตำนานที่ชื่อฉินหร่าน พวกนั้นอยากเห็นเธอ แต่ไม่กล้ามาที่ตึกของชั้นม.สาม
ฉินหร่านออกจากโรงเรียนตอนกลางวันพร้อมกับถือกระติกน้ำร้อนตรงไปยังห้องพยาบาลของโรงเรียน
“เด็กสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมดนะ ถ้าเด็กผู้หญิงสนใจเรื่องแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก แต่พวกเด็กผู้ชายก็เป็นไปด้วยเนี่ยนะ” ต่างหูของลู่จ้าวอิ่งสะท้อนแสง “คุณเจวี้ยน เดี๋ยวนี้คุณมีเสน่ห์กับเด็กผู้ชายแล้วเหรอ”
ลู่จ้าวอิ่งเงียบ
ร่างของหญิงสาวดูเพรียวระหงภายใต้แสงอาทิตย์ และเด็กพวกชายเรียกเธอให้หยุดเพื่อยื่นซองจดหมายสีชมพูให้
หญิงสาวรับมันมาอย่างสุภาพ เด็กผู้ชายไม่ได้เดินออกไป แต่ยืนมองตามหลังฉินหร่านอยู่หน้าห้องพยาบาล
ลู่จ้าวอิ่งระเบิดหัวเราะและพูดว่า “อ๋อ จดหมายของฉินหร่านนี่เอง ในที่สุดผมก็เจอคนที่สู้คุณได้แล้ว”
ลู่จ้าวอิ่งสีหน้าเรียบเฉย
เขาสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงลำลองที่รับกับขายาวๆ ของเขา มันเป็นรูปทรงที่เซ็กซี่มาก เขามีดวงตาสีดำและขาวคู่หนึ่งและมุมปากของเขาก็เหยียดอย่างเย็นชา
ฉินหร่านวางข้าวของก่อนตรงเข้าไปในครัว
เธอเห็นลู่จ้าวอิ่งจ้องอยู่เลยชะงัก “มีอะไร”
คุณเจวี้ยนถอนสายตาและดูกระสับกระส่าย “ปีสุดท้ายสำคัญมากนะ ฉันว่าการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ควรเสียสมาธิไปกับเรื่องอื่น”
ลู่จ้าวอิ่ง: “…?”
ฉินหร่านพยักหน้านิ่งๆ “ขอบคุณ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
คุณเจวี้ยนรู้สึกประหลาดใจที่เธอเชื่อฟัง
ฉินหร่านกลับเข้ามา
ยังมีผู้คนอยู่ด้านนอกและคุณเจวี้ยนก็เอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายๆ “ลู่จ้าวอิ่ง ปิดประตูซิ”
**
ตระกูลหลิน
ฉินอวี่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะอาหารเย็น
หนิงฉิงดูดีใจอย่างออกนอกหน้าเมื่อเธอกระซิบว่า “ได้ข่าวว่าคุณนายเฟิงชอบลูกมากเลยใช่ไหม”
“ค่ะ” ในตอนนั้นอารมณ์ของฉินอวี่ดูดีและสดใสขึ้น
ตาของหนิงฉิงเป็นประกายสดใสและเธอดูมีความสุขขึ้นมาก เธอตักเนื้อให้ฉินอวี่ “ดีกับคุณนายเฟิงไว้นะ เฟิงฉือน่ะ…”
ตระกูลเฟิงมีอำนาจในอวิ๋นเฉิงและการทำความรู้จักกับพวกเขานั้นยากมาก
หลังจากนานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่หลินหว่านปฏิบัติกับเธอดี
หนิงฉิงมองฉินอวี่ด้วยดวงตาอ่อนโยน
เธอพูดเสียงเบาให้ฉินอวี่ได้ยินเพียงคนเดียว
“มีอะไรเหรอ” หลินหว่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เห็นว่าฉินอวี่อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน
“วันเสาร์นี้มีประชุมผู้ปกครอง” ฉินอวี่หันไปและยิ้ม เธอไม่มีทางพูดเรื่องฉินหร่านวาดรูปสวยแน่ แต่มันทำให้เธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอพูดอย่างอึกอัก “เด็กชั้นม. 3 มีประชุมหมด พี่เองก็อยู่ม. 3 แม่คะ แม่ไปงานประชุมผู้ปกครองของพี่และให้พี่ชายหรือพ่อมาเป็นผู้ปกครองหนูได้ไหม”