หลินหว่านเงยหน้าขึ้นและมองตามสายตาของเขา
ผู้ชายสวมเสื้อเบลเซอร์สีเทาเปิดประตูและโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม
เนื่องจากเธอเพิ่งออกมาจากบ้านของเฟิงโหลวเฉิง หลินหว่านจึงคุ้นเคยกับมุมมองด้านหลังและใบหน้าที่ดูไม่ชัดนี้ดี นี่ใช่นายกเทศมนตรีหรือเปล่านะ
เฟิงโหลวเฉิงไต่เต้าจนมาถึงตำแหน่งนี้ทั้งที่ยังอายุไม่ถึงห้าสิบปีดี เขาถ่อมตัวก็จริง แต่ลึกๆ แล้วเขาก็มีความกระหายอำนาจ
แต่ในเวลานี้จิตวิญญาณอันแรงกล้านั้นได้มาบรรจบกันแล้ว
หลินหว่านอดสงสัยไม่ได้ว่าใครคือคนที่ทำให้นายกเทศมนตรีอวิ๋นเฉิงเดินตามหลังไปอย่างนอบน้อมเช่นนี้
“คุณบอกว่าเธอคือฉินหร่านเหรอ” หลินหว่านลังเลก่อนเหลียวมองหญิงสาวที่ใส่เสื้อลายตารางซึ่งเพิ่งเดินเข้าประตูมา
หญิงสาวคนนั้นหันหลังอยู่และเธอไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน ตัวเธอครึ่งนึงถูกเฟิงโหลวเฉิงบังอยู่ หลินหว่านเคยเจอฉินหร่านเพียงครั้งเดียวจึงจำเธอไม่ได้
เธอเก็บลิปสติกเข้าที่ ยิ้มและค่อยๆ หันไปมอง “จะเป็นเธอไปได้ยังไง คุณต้องตาฝาดแน่ๆ เธอเพิ่งจะออกจากสถานีตำรวจเมื่อคืนนี้ เธอจะมาเจอกับนายกเทศมนตรีตอนนี้ได้ยังไง”
คนที่ทำให้เฟิงโหลวเฉิงเดินตามหลังและเปิดประตูให้คือฉินหร่านเหรอ
ต่อให้คนทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงก็เถอะ หลินหว่านไม่เคยคิดว่าจะมีใครทำให้เฟิงโหลวเฉิงเคารพได้ถึงเพียงนี้เลย
**
ภายในห้อง ฉินหร่านลากเก้าอี้ไปข้างหน้าต่างแล้วนั่งลง
เฟิงโหลวเฉิงรินชาสองแก้วและดันแก้วหนึ่งให้ฉินหร่าน
ฉินหร่านเปิดหน้าต่างออก ด้านล่างมีทะเลสาบจำลองอยู่ เธอนั่งเอนหลังบนเก้าอี้แล้วใช้มือซ้ายถือแก้วชาค้างไว้ แต่ไม่ยกดื่ม
เฟิงโหลวเฉิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามือขวาของเธอมีผ้าพันแผลพันอยู่และถามเสียงเครียด “มือของเธอ?”
“อาจะกังวลอะไรขนาดนั้น แค่นี้หนูไม่ตายหรอก” ฉินหร่านเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน
“พูดบ้าๆ!” นานๆ ทีเฟิงโหลวเฉิงจะแสดงความห่วงใยแบบผู้ใหญ่ “ไม่เป็นไรอะไรของเธอ รู้ไหมว่ามือของเธอน่ะเจ็บหนักแค่ไหน…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหร่านก็นั่งเท้าคางเอียงคอมองเขา
เฟิงโหลวเฉิงชะงักและจ้องมองฉินหร่าน
เขาเปลี่ยนเรื่องคุย แต่สีหน้าของเขายังตึงเครียด “ฉันจะพาเธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล”
“มันไม่เป็นไรจริงๆ” ฉินหร่านพูดแล้วมองฝ่ามือขวาของตัวเองก่อนยิ้มแบบขอไปที “หนูมาหาอาเพื่อคุยเรื่องหมิงเย่ว์”
“หมิงเย่ว์เหรอ” เฟิงโหลวเฉิงมองมือของเธอและพยายามบังคับตนเองให้มองไปทางอื่น
“เจอกันแล้วเหรอ หล่อนต้องดีใจที่ได้เจอเธอแน่ๆ”
ฉินหร่านพยักหน้าและพูดว่า “เราเจอสวี่เซิ่นเมื่อวานนี้”
“หมอนั่นเหรอ!” เฟิงโหลวเฉิงสีหน้าถอดสีและแก้วชาก็หล่นโครมลงจากโต๊ะ
ฉินหร่านเล่าสรุปเหตุการณ์ให้เขาฟัง
“ไอ้สวะนั่น!” เฟิงโหลวเฉิงเกรี้ยวกราด “ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“โอเค” อาหารเกือบทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะล้วนเป็นอาหารจานโปรดของฉินหร่าน เธอยกขาขึ้นและเริ่มกินด้วยตะเกียบ
ถึงแม้เฟิงโหลวเฉิงจะคิดเรื่องพานหมิงเย่ว์อยู่ แต่สายตาของเขาก็ยังจับจ้องเธอ
เขาเรียกให้บริกรเก็บจานทันที “มือเธอเจ็บอยู่ ทำไมถึงกินของเผ็ดล่ะ”
ฉินหร่านมองชามชุปเพื่อสุขภาพ: “…”
เฟิงโหลวเฉิงสั่งอาหารเพื่อสุขภาพรสไม่จัดให้เธออีกสามสี่จาน
เขาก้มหัวลงพึมพำต่อหน้าใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของฉินหร่าน “ถ้า… ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอเจ็บหนักขนาดนี้ในถิ่นฉัน ฉันต้องโดนแล่เนื้อแน่”
ฉินหร่านคีบกะหล่ำปลีผัดกับเก๋ากี้สามสี่เม็ดอย่างเฉยเมย
เธอไม่รู้สึกปั่นป่วนในหัวใจสักนิดและเธออยากจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ
**
ตอนนี้สวี่เซิ่นไม่ล่วงรู้เลยสักนิดว่าความหุนหันพลันแล่นของเขาได้นำพาชายที่ฉลาดและทรงอิทธิพลให้มาเจอกัน
คุณสวี่อยู่ในโรงพยาบาลทั้งคืน สวี่เซิ่นได้รับบาดเจ็บหลายจุดและแขนทั้งสองก็หัก ต่อให้เขาหายดี แต่ก็จะมีผลกระทบต่อเขาแน่
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนซ้อมลูกชาย แต่เขาไม่คิดจะปล่อยคนที่ทำร้ายลูกชายเขาจนเจ็บหนักขนาดนี้ไปแน่
มันคงเป็นแบบนั้นจนกระทั่งรองอธิบดีเสิ่นบอกทางโทรศัพท์ว่าเขารู้ว่าคนคนนั้นคือฉินหร่าน
“ทำไมถึงไม่บอกผมว่าคนเมื่อวานคือฉินหร่าน” คุณสวี่วางโทรศัพท์ลงด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำด้วยความโกรธ
ย่าสวี่ไม่คิดว่าเขาจะโกรธจัดขนาดนี้ “นั่นใช่นักเรียนที่ลูกสอนหรือเปล่า แม่รู้ว่าลูกชอบเธอ แต่เธอซ้อม…”
“ผมบอกแล้วไงว่าสวี่เซิ่นไม่ควรโดนแบบนี้ แม่…” คุณสวี่สูดลมหายใจฮึดฮัด
เขาจุดบุหรี่สูบอย่างช่วยไม่ได้และขมวดคิ้วมองตำรวจที่จะมาสอบสวนสวี่เซิ่น
เขาไม่กล้าตามหาตัวหรือแม้แต่เผชิญหน้ากับฉินหร่าน
ถึงแม้จะมีสายสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ แต่ฉินหร่านก็อาจไม่ต้อนรับถ้าเขาไป
หลังครุ่นคิดอยู่สักพัก คุณสวี่ก็เดินออกมาโทรศัพท์หลายสาย
**
หลังพบกับเฟิงโหลวเฉิง ฉินหร่านก็กลับห้องเรียน
เมื่อเธอกลับไปถึง ชั้นเรียนก็เลิกพอดี
มู่หยิงยืนอยู่รอเธออยู่หน้าห้องเรียน
“พี่คะ พี่กลับมาแล้วเหรอ” เมื่อเห็นฉินหร่าน มู่หยิงก็ไขว้นิ้วมองลงไปที่มือของเธอก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากถาม “มือพี่โอเคไหมคะ”
เช้านี้ทั้งโรงเรียน แม้แต่ในกระทู้ต่างก็พูดคุยกันเรื่องมือที่บาดเจ็บของฉินหร่าน
บางคนถึงขั้นไปซื้อช็อกโกแลตกับขนมมากมายเพื่อเอามาให้เธอ
ในห้องเรียน เมื่อเฉียวเซิงที่นั่งเอนหลังพูดคุยอยู่เห็นฉินหร่านก็ลุกขึ้นทันที เขาเรียกเธอ
“ฉันไม่เป็นไร” ฉินหร่านชำเลืองมอง “อย่าบอกป้าเรื่องนี้นะ เธอกลับไปก่อนได้เลย”
มู่หยิงพูด “อ้อ” แต่ไม่ได้กลับไปทันที เธอยืนอยู่นอกหน้าต่างและจ้องเข้ามาในห้องเรียน เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อดูสดใสร่าเริงเดินตรงมาที่โต๊ะของฉินหร่าน ดวงตาของเขาอ่อนโยนขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูอวดดีและหยิ่งยะโส
เธออดคิดถึงตอนที่หลี่อวี้หานอธิบายถึงเฉียวเซิงไม่ได้ ทายาทรุ่นที่สองของเศรษฐีที่มีเหมืองแร่มากมาย
“น้องสาว” คนมากมายเดินเข้าออกห้องสามทับเก้า
พวกเขาล้วนยิ้มและทักทายมู่หยิง
พวกเขาเลียนแบบฉินหร่านและเรียกมู่หยิงว่าน้อง
มู่หยิงเขินและตอบรับ
เธอมองผ่านหน้าต่างเข้าไปอีกครั้งก่อนผละไป
ในห้องเรียน หลินซือหรานเทน้ำลงไปในกระติกน้ำร้อนของฉินหร่าน
“คาบหน้าเป็นวิชาชีวะแล้ว” เมื่อเห็นว่าฉินหร่านดื่มน้ำเสร็จแล้ว เธอก็หมุนฝาปิดและเดินไปช่วยฉินหร่านหาหนังสือ
ฉินหร่านมีหนังสือเยอะ
เธอมีกระดาษโน้ตและเอกสารมากมาย รวมถึงหนังสือและตำรานอกหลักสูตร นอกจากจะวางเรียงเป็นกองสูงบนโต๊ะยังมีอีกหลายเล่มกระจายอยู่ตามขอบหน้าต่าง
ในที่สุดหลินซือหรานก็เจอหนังสือวิชาชีววิทยาจากกองหนังสือจึงดึงออกมา
กระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงมา
ฉินหร่านชะงักนิ่ง
หยุดเพื่อเก็บกระดาษทันที “หร่านหร่าน เธอต้องใช้กระดาษนี้ไหม…”
“เธอถามทำไมน่ะ” เฉียวเซิงมองตาม “อย่าบอกนะว่านั่นเป็นจดหมายรัก…”
เขาชะงักไปก่อนจะทันพูดจบ
กระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรเขียนด้วยลายมืดหวัดๆ เต็มพรืด ลายมือนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
——