อะไรกัน
ฉินหร่านสงสัยว่าตัวเองคงหูฝาดไปจนอยากจะแคะหูให้เกลี้ยง
เธอหันไป มือซ้ายวางอยู่ที่ด้านหลังพนักเก้าอี้ขณะจ้องมองพวกเธอสองคนอย่างเรียบเฉย “รบกวนพูดอีกทีซิคะ”
ฉินหร่านยกยิ้มและเอ่ยถามอย่างนอบน้อมไม่น้อย
อย่างไรก็ตามหลินหว่านดูออกว่าสายตาของเธอเย็นชาทั้งเธอยังไม่ได้ยิ้มจริงๆ
หลินหว่านหน้ามุ่ยน้อยๆ เกิดนึกคิดมากและละล้าละลังขึ้นมา ลูกเลี้ยงของหลินฉีมีท่าทีแบบนั้นด้วยหรือ
เด็กสาวถอนสายตาก่อนหลุบตาลงเล็กน้อยในชั่วพริบตาเดียว
ฉินหร่านทิ้งตัวนั่งเอนหลังกับหน้าต่าง หน้าต่างนั้นเปิดไว้เพียงครึ่งหนึ่งพร้อมกับท่าทางที่ไม่อาจเห็นผ่านแสงสว่างได้
หลินหว่านเย้ยหยันออกมานิดๆ เธอต้องตาฝาดไปแล้วแน่ๆ อีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างนั้นได้อย่างไรกัน
หนิงฉิงรู้สึกว่าความคิดของเธอนั้นเรียบง่ายมาก ทว่าเธอก็ยังไม่กล้าสู้หน้าฉินหร่านตรงๆ และทำเพียงบีบถ้วยชาโดยไม่รู้ตัว
“ฉินหร่าน เธอทำแขนสวี่เซิ่นหักแล้วตอนนี้เขาก็ขยับตัวได้ลำบากมากกว่ามือของเธอซะอีก” หลินหว่านยกถ้วยขึ้นแกว่งเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เธอแค่เจ็บมือขวาแล้วเธอก็ถนัดซ้ายด้วย ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเธอคงไม่ได้กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันเลย ทำไมเธอต้องเสียเวลาไปสู้คดีที่ไม่ได้มีผลดีอะไรกับตัวเธอเลยด้วยล่ะ”
หลินหว่านว่าขึ้นเนิบช้าและเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร เธอคิดว่าเด็กสาวเชื่อฟังตัวเองและพูดอะไรไม่ออก
ฉินหร่านไม่ได้มองหน้าคนพูด ทำเพียงเคาะถ้วยชาเบาๆ ด้วยมือซ้าย
เธอเอนหลังกับพนักพิงอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ยี่หระ และไม่เกรงใจใคร
เธอเลิกคิ้ว “พูดต่อสิคะ”
“มันก็แค่เรื่องเด็กทะเลาะกัน” หลินหว่านชะลอคำพูดลงเล็กน้อยและว่าต่อ “แล้วเธอกับเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เดือดร้อนมากนัก ทำไมเธอต้องตามไล่บี้เรื่องนี้ด้วยล่ะ ต่อให้มันเป็นการป้องกันตัว เพราะอาการบาดเจ็บแค่เล็กน้อยของเธอ โทษสถานหนักที่สุดของเขาก็คือการจ่ายเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลหลังจากถูกฟ้องอยู่ดี เขาอาจจะไม่ถูกตัดสินให้จำคุกเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องไปเสียเวลาด้วยล่ะ”
ก็ฟังดูเป็นเหตุผลที่เข้าท่า
เพราะมือของเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก เพราะพานหมิงเย่ว์ไม่ได้บาดเจ็บ ดังนั้นทุกอย่างถึงได้ถูกทำราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
ฉินหร่านรู้สึกถึงประกายไฟที่ปะทุในอกขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก มันทั้งร้อนเร่าและแห้งผาก
ต้องการเพียงเชื้อไฟเล็กน้อยที่จุดให้ลุกโชน
“โอ้” ฉินหร่านเอียงศีรษะมองหลินหว่านอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ริมฝีปากยกยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอ “แล้วถ้าฉันไม่ทำล่ะคะ ถ้าฉันอยากสืบเรื่องนี้ล่ะคะ”
หลินหว่านอึ้งไปเล็กน้อยและเลิกคิ้วขึ้นหน่อยๆ
เธอนึกไม่ถึงว่าฉินหร่านจะดื้อด้านขนาดนี้
เพราะเธอแต่งงานกับคนมีชาติตระกูล สมาชิกตระกูลหลินจึงมักทำตามคำพูดเธอ ทำให้เธอเคยชินกับการคอยบงการและมักจะออกคำสั่งกับคนอื่นไปทั่ว
“นี่เป็นเงินหนึ่งล้านห้าแสนหยวน ฉันให้เงินชดเชยเธอห้าแสนหยวนเพิ่มจากหนึ่งล้านหยวนจากตระกูลสวี่” หลินหว่านว่าข่มพลางหยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าก่อนยื่นไปให้ฉินหร่าน
ความอดทนของหลินหว่านถึงขีดจำกัดแล้ว
หนึ่งล้านห้าแสนหยวนนั้นมหาศาลสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นเงินก้อนโตมาตั้งแต่เด็กแล้ว
หลินหว่านรู้จักหนิงฉิงดี เธอทั้งเห็นแก่ตัว ขี้ขลาด สมองกลวง โลภมาก
ลูกสาวของเธอก็คงไม่ต่างกัน
ฉินหร่านมองเช็คบนโต๊ะและหลุบตาลง
อีกฝ่ายยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง เห็นว่าฉินหร่านกำลังจ้องมองเช็คและบอก “มันคือเช็ค เธอเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินที่ธนาคารได้เลย”
ฉินหร่านทำเพียงหัวเราะอย่างไม่ทุกข์ร้อน
อีกฝ่ายคิดว่าเธอโง่จริงๆ หรือ เธอจะไม่แม้แต่จะรู้จักเช็คเลยหรือ
“มีบางคนมาหาคุณใช่ไหมล่ะคะ ให้ฉันเดานะ รองอธิบดีเสิ่นใช่ไหมคะ” เสียงฉินหร่านนุ่มนวลไม่น้อยขณะที่จดจ้องหนิงฉิงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สม่ำเสมอ “เขาให้ผลประโยชน์อะไรแม่บ้างล่ะ เขาออกตัวช่วยอะไรแม่ครั้งใหญ่เหรอคะ มันคุ้มจนยอมทิ้งศักดิ์ศรีและแสร้งทำตัวเป็นแม่ที่ดีเลยเหรอ”
หนิงฉิงกับหลินหว่านไม่คาดคิดว่าฉินหร่านดูออก
เธอคาดเดาได้ถูกเผง
หนิงฉิงเม้มปากก่อนพูดออกมาอย่างไม่มีทางเลือก “ฉินหร่าน ลูกพูดอย่างนั้นได้ยังไง ตลอดหลายปีมานี้ลูกเรียนรู้อะไรมาจากยายของลูกกัน”
“แม่มาสนใจหนูตั้งแต่เด็กตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ ตอนนี้แม่ก็รู้จักแต่ชี้นิ้วใส่นั่นแหละค่ะ” ฉินหร่านยกมือเขวี้ยงถ้วยชาลงบนโต๊ะ
“ปัง!”
เธอมองกาแฟที่สีน้ำตาลที่กวัดแกว่งในถ้วยชาและรู้สึกไม่แยแสแต่อย่างใด
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ” เธอดึงเก้าอี้ออกและผุดลุกขึ้น
“หนึ่งล้านห้าแสนหยวนเพียงพอที่เธอจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายไปสักพักเลยนะ เด็กน้อย อย่ากินของที่เกินกำลังการเคี้ยวของเธอและหัวสูงเกินไปหน่อยเลย ตอนที่เธอตกอับ ผลประโยชน์ที่ได้รับมันไม่คุ้มกับสิ่งที่สูญเสียไปหรอกนะ” หลินหว่านจงใจเปิดปากหลังจากนั่งเงียบอยู่ด้านข้าง
เธอคิดว่าหนึ่งล้านห้าแสนหยวนมันน้อยเกินไปหรือ เธออยากจะรู้สถานะของตัวเองหรืออย่างไร
ฉินหร่านพยักหน้าและมองไปทางหลินหว่าน เธอไม่ได้ดื่มกาแฟบนโต๊ะ แค่ค้างริมฝีปากเอาไว้ก่อนจะบอก “ฉันเองก็คิดว่าถูกของคุณ คนเราไม่ควรกินของที่เกินกำลังการเคี้ยวของตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะเดือดร้อน”
หลินหว่านได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายหัวใจก็ลิงโลดขึ้นมาทันที
เธอครุ่นคิดเรื่องนี้และไม่เห็นว่ามีสิ่งใดผิดแผกไป
เธอมองฉินหร่านหันหลังเดินออกจากร้านกาแฟไป
หลินหว่านยกยิ้มกว้างก่อนว่าขึ้น “จำได้ว่ายายเธอรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองใช่ไหม แม่ฉันเป็นคนจัดการเรื่องห้องพักและหมอของยายเธอทั้งหมด”
ฝีเท้าของฉินหร่านชะงักก่อนจะหันไปด้านข้าง
สายตาหม่นของเธอดูไม่ตื่นตระหนกอย่างที่หลินหว่านคิดไว้
มันกลับวูบไหวและเย็นชาสุดขีด
“เธอโกรธเหรอ” หลินหว่านเคยชินกับการข่มเหงและไม่คิดว่าการกระทำของตัวเองผิดแต่อย่างใด “ฉันคงทำอันตรายอะไรยายเธอไม่ได้อยู่แล้ว แต่เธอก็คิดเรื่องนี้ให้ดีเหมือนกัน เธอต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลหลินแม้แต่ในการหาโรงพยาบาลและหมอ ดังนั้น”
หลินหว่าหัวเราะออกมาเบาๆ “เธอก็คงเดาได้…เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอหาทนายความในอวิ๋นเฉิงให้ยอมช่วยเธอสู้คดีอย่างนั้นเหรอ”
“หร่านหร่าน แค่ฟังแม่เถอะน่า!” หนิงฉิงได้ยินเช่นนี้ก็หวั่นใจและบอกทั้งที่คอแห้งผาก
“เฮ้อ เรื่องใหญ่อะไรขนาดนี้” น้ำเสียงชายหนุ่มฟังชัดดังมาจากหลังประตูอย่างเนิบช้า “ทนายความชี คุณได้ยินหรือเปล่า ถ้าคุณไม่มาที่อวิ๋นเฉิงเราจะจนปัญญาถึงขนาดหาทนายความสักคนไม่ได้เลย เข้าใจไหมครับ”