“ฉันไปเองก็ได้” สวีเหยากวงก้าวเท้าออกมา
นี่ถือเป็นการพูดฉับพลัน ต้องเผชิญกับแรงกดดันอันหนักหน่วง หากผิดพลาดขึ้นมาก็จะอับอายขายหน้าต่อคนทั้งโรงเรียนและต่อหน้ากล้อง
คนอื่นๆ ในห้องเก้าต่างคิดกันว่าในเวลานี้เหมือนจะมีเพียงสวีเหยากวงที่เหมาะสมที่สุด
หลินซือหรานก็ได้สติขึ้นมาเหมือนกัน อยากจะรั้งฉินหร่านเอาไว้ “ใช่ หรานหร่าน เธออย่าทำอะไรด้วยอารมณ์ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ ให้สวี…”
แต่กลับคว้ามือฉินหร่านเอาไว้ไม่ได้
ฉินหร่านไม่ได้ชะงักฝีเท้า เธอโบกมือให้หลินซือหรานแล้วพูดเสียงเบาว่า “เธอวางใจเถอะ”
แค่ระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาก็มาถึงห้องสโลปแล้ว กรรมการกำลังลงคะแนนอยู่ และใกล้จะถึงลำดับห้องพวกเขาแล้ว หลินซือหรานเห็นฉินหร่านเดินไปทางเวทีจึงรีบหยิบสมุดบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมา “งั้นฉันเอาสมุดให้เธอ!”
ฉินหร่านยืนอยู่ข้างเวทีสุนทรพจน์เรียบร้อยแล้ว ปลายนิ้วเย็นเฉียบ
ในขณะเดียวกันกรรมการก็ลงคะแนนเสร็จทั้งหมดแล้ว
ในกลุ่มคณะกรรมการมีผู้นำระดับจังหวัดหลายคน การคิดคะแนนนั้นใช้คะแนนเฉลี่ยหลังจากตัดคะแนนสูงสุดและคะแนนต่ำสุดออก สุดท้ายคะแนนที่ฉินอวี่ได้รับคือแปดจุดเจ็ดคะแนน
คนอื่นๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์คะแนนของฉินอวี่
สองห้องเรียนก่อนหน้านี้ได้คะแนนสูงสุดไม่เกินเจ็ดจุดหกคะแนน จนถึงตอนนี้คะแนนของฉินอวี่ก็สูงกว่ามาก
“พวกเราได้แปดจุดเจ็ดคะแนน” หญิงสาวข้างกายฉินอวี่เก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ พูดออกมาอย่างดีใจว่า “คะแนนสูงสุดแล้ว!”
คะแนนนำห่างเยอะเกินไป ผู้คนกำลังพูดถึงฉินอวี่กันหมด
ทุกสายตาจดจ้องไปที่เธอ
ฉินอวี่ระบายยิ้ม หางตามองเห็นกลุ่มสวีเหยากวงกลับมาแล้ว จึงกลอกตาหนึ่งรอบ “บทสุนทรพจน์ของพวกเขายังหาไม่เจออีกเหรอ”
“ฉันเห็นฉินหร่านขึ้นเวทีไปมือเปล่า น่าจะหาไม่เจอ” หญิงสาวส่ายหน้า “ทำพลาดในเวลานี้ อาจารย์ประจำชั้นต้องโมโหแน่ๆ ”
“ทำพลาดต่อหน้าผู้นำระดับจังหวัดจะไม่โมโหได้อย่างไร ได้ยินว่าฉินหร่านเป็นคนเก็บบทสุนทรพจน์ หล่อนก็จริงๆ เลย…” ผู้หญิงอีกคนพูดขึ้นเสียงเบา
ฉินอวี่ยิ้มแล้วลุกไปรับฟังความคิดเห็นที่โต๊ะของผู้นำ
ผู้นำเอ่ยชื่นชมเธอสองสามประโยค ส่วนคนอื่นก็ถกเถียงกันเบาๆ เหมือนจะพูดถึงฉินหร่านซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มีสองคนที่ชมว่านักเรียนโรงเรียนนี้หน้าตาดี
ฉินอวี่สนิทกับอาจารย์ประจำชั้น เธอก้มหน้าพูดเสียงเบาว่า “อาจารย์คะ บทสุนทรพจน์ของห้องฉินหร่านหายค่ะ น่าจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ อาจารย์อย่าทำให้เธอลำบากใจเลยค่ะ”
อาจารย์ประจำชั้นอึ้งไปก่อนจะพยักหน้า
แต่สีหน้ากลับไม่สู้ดีนัก
บทสุนทรพจน์หาย นี่เป็นปัญหาที่ไม่รู้จักการรับผิดชอบ
……
มาถึงคราวห้องเก้าอย่างรวดเร็ว
หลินซือหรานนั่งอยู่ตรงที่นั่ง ในมือถือสมุด ส่งสัญญาณให้ฉินหร่าน แต่ฉินหร่านไม่ได้ลงมาหยิบสมุด แค่ทำปากบอกว่า ‘วางใจเถอะ’ มาทางหลินซือหราน
วางใจ?
หลินซือหรานจะวางใจได้อย่างไร
สวีเหยากวงนั่งลงแล้วมองฉินหร่านแวบหนึ่ง
ฝ่ายตรงข้ามยืนตัวตรง สีหน้าไม่ได้เฉยเมยเหมือนยามปกติ แต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจเพิ่มมาเล็กน้อย ท่าทางสง่าผ่าเผย มองไม่เห็นประหม่าเลยสักนิด
ไม่เหมือนเป็นการล้อเล่น
เขาชะงักแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อเธอพูดแบบนี้แล้ว ต้องมีความมั่นใจแน่นอน”
คนอื่นๆ ยังหาบทสุนทรพจน์อยู่ สำหรับเรื่องที่มีคนจงใจหยิบบทสุนทรพจน์ของฉินหร่านไป พวกเขาในฐานะนักเรียนห้องเก้าก็เดือดดาลอย่างมาก
มีคนก่นด่าว่าใครกันแน่ที่ไร้ศีลธรรมขนาดนี้
อู๋เหยียนหัวเราะเสียงเย็นราวกับประชดประชัน “ตั้งแต่ต้นยันจบ หล่อนไม่เคยเข้าร่วมเขียนบทมาก่อน ได้แต่อยู่ไปวันๆ ไม่เคยตั้งใจสักนิด ฉันพูดแต่แรกแล้วว่าไม่ควรให้เธอมาเข้าร่วม”
“พอแล้ว อู๋เหยียน” มีผู้หญิงขมวดคิ้วพูด “ใครจะรู้ว่ามีคนเล่นสกปรกขนาดนี้”
อู๋เหยียนได้ยินคำตำหนิของคนคนนี้สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เพียงแค่มองฉินหร่านแล้วเม้มปาก กำชายเสื้อเอาไว้ นิ้วมือเกร็งไปหมด
ฉินหร่านยืนนิ่ง เพิ่งจะทักทายกรรมการทั้งหลายเสร็จเรียบร้อย
อาจารย์ประจำชั้นก็ยกมือขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “บทสุนทรพจน์ของเธอล่ะ หายเหรอ”
ฉินหร่านวางมือไว้บนแท่นพูดแล้วยิ้มอย่างมีมารยาท “ท่านกรรมการคะ ฉันแค่ท่องบทพูดมาก่อนแล้วเลยไม่ได้พกบทมาด้วยค่ะ”
ใครๆ ก็รู้ว่างานใหญ่ขนาดนี้ ทำบทสุนทรพจน์หายคือการไม่ให้เกียรติกิจกรรมนี้ รวมถึงกรรมการด้วย
ฉินหร่านพูดกลบเกลื่อนความจริงที่ทำบทสุนทรพจน์หาย แต่พวกหลินซือหรานและสวีเหยากวงกลับเหงื่อตก
หัวข้อการแข่งขันกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้คือประเด็นร้อนด้านการวิจัยทางสังคมเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาของโลกและโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ พวกสวีเหยากวงและหลินซือหรานหาข้อมูลมาเยอะมาก แถมในนั้นยังมีศัพท์เฉพาะของประเทศอื่นอีกด้วย
ที่สำคัญที่สุด ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าหลินซือหรานว่าตั้งแต่ต้นยันจบฉินหร่านแทบไม่ได้เข้าร่วมในเรื่องนี้เลย วันนี้เธอแค่ให้ฉินหร่านดูข้อมูลคร่าวๆ จากนั้นให้เธออ่านบทสุนทรพจน์หนึ่งรอบ
อย่าว่าแต่ท่องเลย ฉินหร่านเพียงแค่อ่านบทพูดไปไม่กี่รอบเท่านั้น
“ที่แท้ท่องมาแล้ว เตรียมตัวมาดีนะ” อาจารย์ประจำชั้นมองฉินหร่านแล้วพูดเสียงต่ำว่า “เธอเริ่มได้เลย”
เหงื่อเย็นไหลเต็มหลังหลินซือหราน สีหน้าของคนห้องเก้าล้วนไม่สู้ดีนัก
ฉินอวี่ที่อยู่แถวข้างหน้ามองฉินหร่านแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ฉินหร่านกลับยิ้มบางๆ เธอหยิบชอล์กแท่งหนึ่งขึ้นมา ร่างภาพลงบนกระดานครึ่งซีกที่อยู่ข้างหลัง “หากกล่าวในด้านมุมมองของวัยรุ่น ระบบเทคโนโลยีสามารถแบ่งออกเป็นสามด้านหลักซึ่งมุ่งหน้าสู่ทั่วโลก…”
ครึ่งหนึ่งของกระดานดำคือจอสไลด์โชว์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งว่างเปล่า
ภาพวาดของเธอไม่ซับซ้อน แต่รายละเอียดชัดเจน
น้ำเสียงของเธอไม่รีบร้อน พูดอย่างมีจังหวะ ชัดถ้อยชัดคำไม่ติดขัดเลยสักนิด
หลินซือหรานพูดถูก เธอหน้าตาดี ต่อให้ยืนอยู่เฉยๆ ก็เป็นภาพที่งดงามที่สุด
ยิ่งตอนที่เธอพูดสุนทรพจน์นั้นไม่ได้ทำอะไรตามอำเภอใจเหมือนที่คนอื่นมักทำให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่กลับตั้งใจมุ่งมั่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ชนิดที่ว่ามีแสงประกายระยิบระยับทั้งตัว
ตอนแรกในห้องสโลปยังมีคนกระซิบกระซาบ ทว่าไม่กี่วินาทีก็หันไปมองอย่างไม่รู้ตัว
สีหน้าของอาจารย์ประจำชั้นแปรเปลี่ยนจากไม่พอใจเป็นตกตะลึง แล้วจากตกตะลึงกลายมาเป็นเคร่งขรึม
คนห้องเก้านั่งอยู่บนเก้าอี้แถวสามและแถวสี่ เงยหน้ามองฉินหร่าน ตกใจจนอ้าปากค้างนิ่งอึ้งไปนานมาก โดยเฉพาะพวกหลินซือหรานที่เขียนเนื้อหาหลักของบทสุนทรพจน์
เนื่องจากเป็นสิ่งที่ตนเองเขียนมา จึงพอจะจำได้รางๆ อยู่บ้าง ท่อนแรกที่ฉินหร่านพูดคืออารัมภบทของบทสุนทรพจน์ของพวกเขาไม่ใช่เหรอ
นี่ฉินหร่านอ่านแค่ไม่กี่รอบเอง ก็จำบทสุนทรพจน์ได้หมดอย่างเทพแบบนี้เลยเหรอ!