หนิงฉิงและมารดาของเธอมองไปข้างนอกประตู
เด็กเจ้าปัญหาที่พูดถึงกำลังยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกระดาษแผ่นบางๆ ในมือ ฉินหร่านที่ยืนพิงบานพับประตูอยู่กระตุกยิ้ม
รอยยิ้มของเด็กสาวดูสบายๆ แต่ทว่ายังเปี่ยมไปด้วยแววร้ายกาจ
นัดพบหมอไม่ได้เช้าอะไรขนาดนั้น แต่หนิงฉิงโกหกเพราะไม่อยากไปส่งลูกสาวคนโตที่โรงเรียน
ตอนนี้เธอคงรู้สึกกระอักกระอ่วนน่าดู
ด้วยความที่ลูกสาวคนเล็กมีชื่อเสียงในโรงเรียนอีจง ผู้เป็นแม่จึงมักจัดประชุมผู้ปกครองในโรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง ผู้ปกครองคนอื่นจะรู้จักเธอในนาม คุณแม่ของฉินอวี่
คุณแม่ดีเด่นไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเด็กแย่ๆ อย่างฉินหร่านก็เป็นลูกสาวเธอเช่นกัน
เธอไม่ยอมรับความจริงข้อนี้
คุณยายก็ไม่โง่เง่าถึงขนาดจะมองเรื่องนี้ไม่ออก จึงได้พยายามพูดคุยกับลูกสาวเกี่ยวกับเรื่องนี้
เฉินซูหลานรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว แต่หลานคนนี้นับว่ายังเด็ก ถ้าตอนนี้หญิงชราไม่ใส่ใจหลานสาว ก็จะไม่มีใครไยดีเด็กน้อยอีกแล้ว
พวกเขาต่างไม่คาดคิดว่าเด็กที่พูดถึงอยู่จะกลับมา
ผู้เป็นแม่มองไปยังลูกเจ้าปัญหา พยายามจะหาคำพูดมาแก้ตัว ซึ่งก็แทบจะไม่มี “หร่านหร่าน แม่ไม่ได้หมายความว่ายังงั้น…”
หนิงฉิงเป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่กลายมาเป็นคุณนายไฮโซ
นอกจากหลินฉีกับหลินจิ่นเซวียนแล้ว คนอื่นๆ ในตระกูลหลินจะมองเธอด้วยความเหยียดหยันอยู่เสมอ
สะใภ้บ้านนอกคนนี้ใช้เวลาถึงสิบสองปี บวกกับความโดดเด่นของฉินอวี่ถึงทำให้ตัวเองพอมีจุดยืนในตระกูลหลินได้บ้าง แม้ว่าภายนอก เธอดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก แต่ลึกๆ ข้างใน เธอก็ยังรู้สึกต่ำต้อย
แล้วจู่ๆ ฉินหร่านก็กลับมาแบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่รู้สึกไม่พอใจ
เธอเพียงแค่ระบายความอัดอั้นตันใจให้มารดาชราฟังเท่านั้น
ใครจะไปรู้ว่าลูกเจ้ากรรมจะมาได้ยินเข้า
สีหน้าเด็กสาวยังคงนิ่งเรียบ ฉินหร่านสอดมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋า แล้วพูดขึ้นมาอย่างไม่ยี่หระว่า “ช่างมันเถอะ”
ผู้เป็นแม่มองดูลูกสาวด้วยความงุนงง
ส่วนผู้เป็นยายถอนหายใจออกมา
“หร่านหร่าน แม่ก็แค่อารมณ์เสียไปหน่อย” ผู้แม่เริ่มมีเสียงพูดขึ้นมาบ้าง แต่ก็พยายามแก้เก้อด้วยการเอามือไปปัดผ้าคลุมไหล่ของเธอ “ลูกกลับมาตอนนี้ก็ดีแล้ว แม่ให้พวกแม่บ้านจัดห้องให้แล้ว ต่อไป ลูกย้ายมาอยู่ที่ชั้นสามได้เลย แม่แต่งห้องในแบบที่อวี่เอ๋อร์ชอบ…”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ หนูแค่มาที่นี่เพื่อบอกว่า” เด็กสาวหรี่ตาคู่งามของเธอลง แล้วพูดเนิบๆ “หนูจะไปอยู่หอที่โรงเรียน”
ว่าแล้วเด็กสาวในชุดนักเรียนก็หันหลังกลับ ก่อนเข้าไปเก็บข้าวของที่อยู่ชั้นสาม
ไม่มีอะไรให้เก็บมากนัก แค่กระเป๋าสีดำ แล็ปท็อปและมือถือเท่านั้น
ผู้เป็นยายเดินตามหลานสาวเข้าไปในห้อง
“อยู่ที่โรงเรียนก็ไม่ใช่ความคิดที่เลวเลย” หญิงชรากล่าว เธอเว้นจังหวะก่อนจะพูดต่อว่า “หลานจะต้องเข้ากับเพื่อนๆ ให้ได้ อย่าอารมณ์เสียง่าย…”
ฉินหร่านฟังอย่างใจเย็นตอนที่ยายสอน
เด็กสาวมองไปยังห้องพักแขกที่ผู้เป็นมารดาเพิ่งตกแต่งให้ สีห้องดูอบอุ่นและเป็นมิตร เป็นสีแบบที่ฉินอวี่น่าจะชอบ แต่ไม่ใช่สีที่เธอคุ้นเคยนัก
ฉินหร่านใช้เวลาเก็บสัมภาระอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรูดซิปในที่สุด
เฉินซูหลานมองตาเด็กน้อย “หร่านหร่าน ทำไมถึงโกหกแม่เขา”
“หืม” เธอสะพายกระเป๋าไว้บนบ่า แล้วมองไปที่คุณยายด้วยสายตาบอกว่าให้พูดต่อ
“หลานเล่นไวโอลินเก่งมากตั้งแต่ตอนอายุเก้าปีแล้ว” หญิงชราวางมือศีรษะเพื่อลูบหัวหลานสาว ในขณะที่ฉินหร่านมองไปรอบๆ ห้องสีอบอุ่น
เธอชอบสีโทนเย็นมากกว่า แม้แต่เสื้อผ้าทุกตัวก็เป็นสีดำ ขาว ไม่ก็เป็นสีทึมๆ ทั้งสิ้น
“อาจารย์ชื่อดังที่มาอาศัยที่หนิงไห่อยู่หกเดือนยังอยากจะรับหลานเป็นลูกศิษย์เลย ทำไมถึงไม่บอกแม่เรื่องนั้น”
“ไม่มีเรื่องอะไรให้บอกแม่หรอกค่ะ” ฉินหร่านพูดอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมซบหัวไปบนไหล่ของคุณยาย “อย่ากังวลเลยค่ะ น้าเคยบอกหนูว่าแม่สวยมากตอนที่ยังเด็ก ยายเลยเอ็นดูแม่มากที่สุด ตอนนี้แม่ก็พายายมาดูแลที่นี่แล้ว ยายพักฟื้นให้สบายใจได้เลย ไว้หนูจะแวะมาเยี่ยมช่วงโรงเรียนปิดนะคะ”
ว่ากันตามสัตย์จริงแล้ว หนิงฉิงเคารพและกตัญญูต่อเฉินซูหลานมาก
คนเฒ่าคนแก่ต่างชอบเวลาที่มีลูกหลานห้อมล้อม ฉินหร่านเองก็รู้ดีว่าคุณยายเธอเองก็เช่นกัน
สองยายหลานเดินลงบันไดไปพร้อมกัน
ส่วนหนิงฉิงถูกทิ้งให้นั่งงงบนโซฟาในห้องรับแขก
เธอเห็นลูกสาวเจ้าปัญหาเดินลงบันไดมา พร้อมเป้สะพายอยู่บนไหล่
ผู้เป็นแม่ยืนขึ้น แล้วถึงตระหนักได้ว่าลูกคนนี้หมายความตามที่พูดจริงๆ ตอนที่บอกว่าจะไปอยู่หอ
แถมเธอยังไม่ได้หยิบข้าวของที่หนิงฉิงเตรียมไว้ให้ติดมาด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าสวยๆ เต็มตู้หรือกระเป๋าแบรนด์เนม
เธอนึกไม่ออกว่าจะทำตัวอย่างไร หรือจะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ดี
จะเป็นไปได้ยังไงที่จะมีคนไม่ชอบอาศัยอยู่ในวิลลา ไม่ชอบสวมใส่เสื้อผ้า หรือสะพายกระเป๋าแบรนด์เนม
“หนูจะไปโรงเรียนแล้ว งานนี้คงต้องหวังพึ่งแม่ให้ดูแลคุณยายด้วยค่ะ ไว้หนูจะไปโรงพยาบาลตอนปิดเทอม” เด็กสาวเอามือล้วงกระเป๋ามือหนึ่ง สายตาของเธอดูเย็นชาและห่างเหิน
บ้านตระกูลหลินตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก และพวกเขายังมีนักโภชนาการส่วนตัวด้วย
เด็กนักเรียนชั้นม.สามมีการบ้านเยอะมากๆ แถมยังเป็นชั้นที่เครียดที่สุดในโรงเรียนอีจง หากครอบครัวไหนมีฐานะพอที่พ่อแม่จะอยู่บ้านเพื่อสอนลูกได้ พวกเขาจะทำแบบนั้นมากกว่าจะปล่อยให้ลูกไปอยู่หอ
หนิงฉิงเองก็รู้ดีว่าการที่ฉินหร่านอยู่บ้านจะเป็นการดีกว่า
แต่ตอนที่มองดูลูกสาวคนโตเดินออกประตูไป เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่สะใภ้ รวมถึงญาติคนอื่นๆ ของตระกูลหลินจะแวะมาเยี่ยมบ้านในอีกไม่กี่วันแล้ว ท้ายที่สุด หนิงฉิงจึงตัดสินใจที่จะไม่รั้งลูกให้อยู่บ้าน
เธอให้โชเฟอร์ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน “พี่ชาย และน้องสาวของลูกต่างก็…ช่างมันเถอะ ขยันเรียนหน่อยก็แล้วกัน”
พอเห็นว่าลูกสาวไปแล้ว ความเครียดทั้งหมดที่เธอเก็บไว้ในใจก็มลายหายไปทันที
เฉินซูหลานเดินมาส่งหลานถึงหน้าประตู ตอนที่เธออาสาจะไปส่งที่โรงเรียน ฉินหร่านก็ปฏิเสธ
หญิงชรายังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เธอรู้ว่าหลานสาวคนนี้มีนิสัยแปลกๆ ชอบให้คนอื่นมองว่าเธอเข้าใจได้ยาก
แต่ขณะที่มองไปที่เป้สีดำบนไหล่ของเด็กน้อยนั่นเอง จู่ๆ หญิงชราก็ตระหนักได้ว่าฉินหร่านไม่เคยหอบอะไรมาที่บ้านตระกูลหลินตั้งแต่แรกแล้ว
เด็กคนนี้วางแผนจะอยู่หอตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
**
ฉินหร่านไม่ได้กลับโรงเรียนทันที เธอแวะที่ธนาคารก่อน
เด็กสาวรับบัตรคิว แล้วไปที่เคาน์เตอร์
หญิงสาวที่ให้บริการเธอถึงกับตะลึงตอนที่ฉินหร่านวางบัตรเครดิตไดมอนด์การ์ดลงบนเคาน์เตอร์ พนักงานสาวจ้องอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “ดะ-เดี๋ยวดิฉันจะเรียกผู้จัดการให้นะคะ ดิฉันไม่มีอำนาจที่จะ…”
“อืม” เด็กสาวเจ้าของบัตรเคาะนิ้วบนเคาน์เตอร์อย่างสบายอารมณ์ “แค่อยากโอนเงินน่ะค่ะ”
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มีบัตรไดมอนด์การ์ดจะไม่มาธนาคารด้วยตัวเองเพื่อทำธุรกรรม ปกติธนาคารจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้แทนพวกเขา
ฉินหร่านโอนเงินจำนวนหนึ่ง จากนั้นผู้จัดการก็เดินมาส่งเธอที่ประตูเป็นการส่วนตัวหลังทำธุรกรรมเรียบร้อย
ธนาคารตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน หากเดินก็ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที
เด็กสาวกล่าวขอบคุณโชเฟอร์ของตระกูลหลิน แล้วให้เขากลับบ้านไปก่อน
โชเฟอร์มองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของพนักงานธนาคารก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใจว่าเธอมาที่นี่ เพราะคนในตระกูลหลินไม่เคยมีใครมาที่นี่มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้ถามหรือแสดงความเห็นอะไร
เด็กสาวเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดเพื่อกลับโรงเรียน
บ่ายวันนี้แดดร้อนอบอ้าว
“โรงแรมที่อาจารย์สวีพูดถึงอยู่ที่ไหนเหรอ” ตุ้มหูของลู่จ้าวอิ่งสะท้อนกับแสงแดดในขณะที่ชายหนุ่มคุยโทรศัพท์ แล้วกวาดตามองไปรอบๆ
ในขณะเดียวกัน เฉิงเจวี้ยนก็เดินตามหลังเขา
พระอาทิตย์ส่องแสงจ้าแผดเผา แต่เสื้อสีดำที่หนุ่มหน้าสวยใส่อยู่กลับไม่ได้ทำคนอื่นรู้สึกอึดอัดหรือขัดลูกตาเลย เขากลับมีรังสีเยือกเย็นที่อธิบายไม่ได้แผ่ออกมา
สีหน้าเขาราบเรียบไร้ความรู้สึกใดๆ แต่ก็ยังดูดีอยู่ดี
หนุ่มหล่อเสื้อดำกำลังหาต้นไม้ไว้เป็นร่มเงาบังแดด ในขณะที่ผู้ช่วยกำลังถามทางอยู่นั้น ภาพที่ปรากฏก็คือ คนผมสีสว่างสองสามคนกำลังยืนล้อมคนๆ เดียวอยู่
คนที่ถูกล้อมสะพายเป้สีดำไว้ด้านหลัง นิ้วมือมีสีขาวซีด
สิ่งที่ห้อยหลวมๆ อยู่บนไหล่ของเธอคือ แจ็กเกตของโรงเรียนอีจง
สีหน้าเธอเยือกเย็น ทว่าหน้าตาโดดเด่น
เฉิงเจวี้ยนชะงัก
ตอนที่ลู่จ้าวอิ่งถามทางเสร็จ แล้ววางสาย เขาก็มองเห็นเหตุการณ์เดียวกัน