ตอนที่ 19 สร้างบารมี (1)
“องค์หญิง บ่าวมิกล้าเพคะ”
ชิงหลิงตัวสั่น นางคิดว่าตั้งแต่องค์หญิงฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปจริงๆ
หากนางกล้าข้องแวะกับหรงกุ้ยเฟยอีก องค์หญิงต้องเล่นงานนางตายแน่
ในขณะนั้นเอง เสียงด่าด้วยความโมโหดังลอยมาจากนอกประตู “หลิวลี่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ตำหนักที่ประทับขององค์หญิง เจ้าคิดจะมาก็มาได้งั้นหรือ ยังไม่รีบไปอีก ระวังเถอะ องค์หญิงมาเจอเข้าจะตีเจ้าตาย”
หลิวลี่…
ชื่อนี้ เฟิงหรูชิงเหมือนจำได้รางๆ นางเดินอ้อมชิงหลิงแล้วมุ่งตรงออกจากตำหนักที่ประทับไปอย่างช้าๆ
…
ด้านนอกตำหนัก คือสวนที่เต็มไปด้วยต้นท้อดอกบานสะพรั่ง
ในสวน หญิงสาวรูปร่างผอมยืนอยู่ใต้ต้นท้อด้วยท่าทีดึงดัน
นางสวมชุดนางกำนัลแบบเรียบๆ รูปร่างผอมบางของนาง ราวกับว่าถ้ามีลมพัดก็คงปลิวได้
“บ่าวมาดูองค์หญิง ดูเสร็จบ่าวก็จะไป”
“เจ้าคิดว่าองค์หญิงเป็นคนที่เจ้าอยากเจอก็เจอได้อย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นแค่นางกำนัลในห้องซักล้าง ทั้งยังไม่มีความสามารถอะไร เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพบองค์หญิง”
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลิวลี่คือนางกำนัลเฒ่า แววตาโหดเ**้ยมอำมหิต พูดด้วยน้ำเสียงรำคาญว่า “ไป รีบไสหัวไปซะ! ไม่อย่างนั้น องค์หญิงคงไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
ในทวีปที่ให้ความสำคัญกับการสู้รบนี้ ต่อให้มาเป็นนางกำนัลหรือขันทีในวัง ก็ต้องมีความสามารถในการสู้รบตบตี แต่สมรรถภาพร่างกายของหลิวลี่ดันไม่เอาไหน กำลังน้อยเกินไป สมัยก่อนเป็นเพราะน่าหลานฮองเฮาสงสารจึงรับนางมาไว้รับใช้ข้างกาย
ภายหลังน่าหลานฮองเฮาสิ้นพระชนม์ระหว่างคลอด นางจึงถูกสั่งให้ไปดูแลรับใช้องค์หญิงโดยปริยาย
ตอนนี้องค์หญิงไม่ต้องการนางแล้ว นางจึงเป็นได้เพียงนางกำนัลในห้องซักล้าง ถูกกดขี่ข่มเหงและรับความทรมานอยู่ในวัง
“หมัวมัว ท่านให้ข้าได้เห็นองค์หญิงสักครั้งเถอะ ข้าขอแอบดูก็พอ ข้าสัญญาว่าจะไม่ไปรบกวนองค์หญิง “หลิวลี่สายตามองต่ำ แววตาของนางแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและเสียใจ
สิ่งที่นางเป็นห่วงคือสุขภาพขององค์หญิง สิ่งที่เสียใจก็คือสถานที่ที่นางเคยอยู่มานานหลายปี มาบัดนี้แม้เดินเข้ามาเพียงก้าวเดียวก็ยังยาก
แต่ตอนแรก ถ้าน่าหลานฮองเฮาไม่ช่วยนางไว้ นางคงตายในวังหลวงอันแสนทารุณไปนานแล้ว ตอนนี้องค์หญิงถูกคนอื่นทำร้ายถึงเพียงนี้ นางจะวางใจได้อย่างไร
“นางคนชั้นต่ำ บอกให้ไปยังไม่ไปอีก เจ้าวอนหาเรื่องเองนะ!” สายตาของนางกำนัลเฒ่าดูอำมหิต “ทหาร ลากนางนี่ออกไปตีให้ตาย ถึงอย่างไรองค์หญิงก็ไม่สนใจว่ามันจะเป็นหรือตาย ข้าจะตีมันให้ตายก็คงไม่เป็นไร”
นัยน์ตาของหลิวลี่มีความตระหนก แต่ครู่เดียวนางก็สงบนิ่งลงได้ นางยิ้มฝืดๆ “หมัวมัว ท่านไม่ต้องโมโห ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ไว้วันหลังเวลาไม่มีคนคอยสังเกต นางค่อยย่องเข้ามาอีกที หากโดนตีตายไปจริงๆ ละก็คงได้ไม่คุ้มเสีย
“เฮอะๆ ที่นี่เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้หรืออย่างไร” นางกำนัลเฒ่าพูดทั้งหัวเราะเสียงอำมหิต
นางกำนัลคนนี้ถึงแม้ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร แต่ปล่อยไว้ก็ขวางหูขวางตา เดิมทีพระชายากุ้ยเฟยต้องพยายามอย่างมากเพื่อทำให้องค์หญิงกลายเป็นคนเสเพล แต่นางกำนัลคนนี้กลับพูดมาก คิดจะเตือนองค์หญิงให้ปรับปรุงตัว
โชคดีที่คนที่องค์หญิงไว้วางใจที่สุดก็คือพระชายากุ้ยเฟย นางเลยทำไม่สำเร็จ ตอนนี้นางยังคิดจะมาเดินเตร็ดเตร่ต่อหน้าองค์หญิง แบบนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว…
องครักษ์สองนายที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักเริ่มลงมือ แต่ละนายลากแขนแต่ละข้างของหลิวลี่ไป
หลิวลี่ยิ่งรู้สึกตระหนกตกใจ นางดิ้นสุดแรง “พวกเจ้าจะทำอะไร! ปล่อยข้านะ องค์หญิงไม่ปล่อยให้พวกเจ้าตีข้าตายหรอก ไม่มีทาง!”
ปีที่น่าหลานฮองเฮาสิ้นพระชนม์ นางอายุได้แค่สามสี่ขวบเท่านั้น แต่กลับเป็นนางที่ดูแลองค์หญิงจนโต นางไม่เชื่อว่าองค์หญิงจะไม่ไยดีนางแบบนั้น
องค์หญิงก็แค่ถูกคนชั่วปั่นหัวเท่านั้น ต้องมีสักวันที่นางมองเห็นโลกนี้โดยกระจ่าง
ตอนที่ 20 สร้างบารมี (2)
“พวกเจ้าทำอะไรกัน”
จู่ๆ เสียงใสราวกับกระดิ่งก็ลอยมาจากด้านหลัง
หลิวลี่ตัวแข็งทื่อ นางหันหลังกลับไปทั้งๆ ที่กายถูกประกบอยู่ด้วยองครักษ์ทั้งสอง
เสี้ยววินาทีนั้น สีหน้าของหลิวลี่ถอดสี แววตาจากเดิมที่มีความเป็นห่วงก็กลายเป็นหมดห่วง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นความกังวล
รูปร่างของหญิงสาวคนนั้นใหญ่โตนัก ดูใหญ่เทอะทะ ศีรษะของนางไม่ได้สวมมงกุฎเหมือนดังแต่ก่อน มีเพียงหน้าสดที่ไม่ได้ผัดแป้งเดินออกมา ผิวขาวบริสุทธิ์ไร้ริ้วรอย ผุดผ่องราวกับหยก
“องค์หญิงเพคะ” นางกำนัลเฒ่าหันมองโดยเร็ว นางย่อตัวถวายคำนับแล้วพูดว่า “หลิวลี่คนนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าออกมาจากห้องซักล้างโดยพลการ แถมยังกล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าองค์หญิง บ่าวจะลากนางออกไปเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ขวางหูขวางตาองค์หญิงเพคะ”
เฟิงหรูชิงลูบข้อมือ ยิ้มและมองไปที่นางกำนัลเฒ่า “ฉินหมัวมัว กับคนที่ไม่เชื่อฟัง จะพูดเปลืองน้ำลายไปทำไม ตีให้ตายไปเลยก็สิ้นเรื่อง”
“ใช่ๆ องค์หญิงพูดถูกเพคะ คนที่ไม่เชื่อฟัง ตีให้…”
นางกำนัลเฒ่าทำท่าทีพินอบพิเทานางยังไม่ทันพูดจบจู่ๆ ฝ่ามือก็ลอยมาตบฉาดลงบนหน้าของนางจังๆ เสียงดังเพี้ยะ
แม้กำลังของเฟิงหรูชิงจะไม่ได้มากมายอะไร แต่เพราะน้ำหนักตัวของนางเอาชนะได้ทุกสิ่ง ตบหนักๆ เมื่อสักครู่ทำเอาแก้มข้างหนึ่งของนางกำนัลเฒ่าบวมแดง ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมา
“องค์หญิง บ่าวทำอะไรผิดหรือเพคะ องค์หญิงถึงตบบ่าว” นางกำนัลเฒ่าคับแค้นใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ได้แต่กัดฟันถาม
เฟิงหรูชิงแสยะยิ้มและพูดว่า “ฉินหมัวมัว เจ้าทำผิดอะไร ตัวเจ้าไม่รู้เลยหรือ”
ฉินหมัวมัวคนนี้เป็นแม่นมของหรงกุ้ยเฟย ตั้งแต่องค์หญิงคนเดิมกับหรงกุ้ยเฟยรู้จักกัน หรงกุ้ยเฟยก็หลอกนางเพื่อจะเอาแม่นมของตัวเองเข้ามาในวัง ทั้งยังให้เป็นแม่นมที่อบรมสั่งสอนนางในตำหนักที่ประทับแห่งนี้เรื่อยมาด้วย
ดังนั้นเฟิงหรูชิงจึงอภัยให้ชิงหลิงได้ แต่อภัยให้ฉินหมัวมัวไม่ได้
“ที่นี่เป็นตำหนักของข้า ไม่มีคำสั่งจากข้า ใครอนุญาตให้พวกเจ้าลงมือ” เฟิงหรูชิงหันขวับไปทางพวกองครักษ์ที่หิ้วปีกหลิวลี่อยู่ พูดต่อว่าด้วยน้ำเสียงเข้ม
พวกองครักษ์มองหน้ากันแล้วรีบปล่อยมือออก ถอยตัวไปยืนอยู่ข้างๆ
หลายปีมานี้ พวกเขาชินกับการรับคำสั่งจากฉินหมัวมัวเวลาอยู่ในตำหนัก จนลืมไปแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นนายใหญ่ของที่นี่
“ชิงหลิง เจ้าพาหลิวลี่ไปเปลี่ยนชุด ไม่ต้องไปห้องซักล้างแล้ว ต่อไปให้นางคอยติดตามข้า” เฟิงหรูชิงมองไปที่หลิวลี่ที่เห็นได้ชัดว่านางยังตั้งตัวจากภาวะตกใจไม่ได้ นางถอนหายใจโล่งอกเบาๆ
องค์หญิงคนเดิมก่อกรรมเลวไว้นับไม่ถ้วนทั้งยังแยกแยะผู้ภักดีและผู้คิดคดไม่ออก ทำให้ผู้คนรอบข้างต้องเสียใจ
หลิวลี่สายตามองเหม่อ เมื่อองค์หญิงพบว่านางมาที่นี่ องค์หญิงไม่ได้โกรธ…แถมยังตัดสินใจเก็บนางไว้คอยติดตามรับใช้?
นางกำลังฝันไปหรือเปล่า
หลิวลี่หยิกแก้มของตัวเองแรงๆ นางเจ็บจนน้ำตาซึม นางร้องไห้จนกลายเป็นยิ้มออกมา จากนั้นยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่นองหน้าแรงๆ
เจ็บจัง นี่ไม่ใช่ความฝัน องค์หญิงได้สติแล้วจริงๆ
หลังจากเฟิงหรูชิงยกหลิวลี่ให้ชิงหลิงไปดูแลต่อ สายตาที่เย็นยะเยือกของนางคู่นั้นก็จ้องไปที่นางกำนัลเฒ่า จู่ๆ มุมปากก็ปรากฏยิ้มแสยะขึ้นมา เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง นางกำนัลเฒ่าก็กระวนกระวาย กุมมือตัวเองไว้แน่น คุกเข่าลงตรงหน้าเฟิงหรูชิง
“องค์หญิง บ่าวไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน ขอองค์หญิงอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ”
เฟิงหรูชิงเดินเข้าไปหานางกำนัลเฒ่า
“ข้อแรก ข้าคือนาย เจ้าคือบ่าว มีคนมาหาข้า เจ้าไม่มารายงานข้าถือวิสาสะตัดสินใจเอง นี่คือความผิดสถานแรก ข้อสอง ไม่ว่าเมื่อก่อนข้าเคยเป็นอย่างไร แต่จากนี้ไปคนที่อยู่ข้างกายข้าจะไม่มีพวกไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี พวกไร้ความยำเกรง! เกียรติของราชวงศ์ห้ามทำลายจนหมดสิ้น! ข้อสาม เดิมเจ้าไม่ใช่คนของวังหลวง ตอนนี้ ถ้าเจ้าไม่ไสหัวออกจากวังหลวงไป ก็จง…ไสหัวไปอยู่กับหรงกุ้ยเฟยซะ!”