ตอนที่ 11 ชายชุดขาว (1)
เฟิงหรูชิงหันหน้าไปมองขันทีที่กำลังตำหนิหลิ่วอวี้เฉินอยู่ข้างๆ นางพูดด้วยท่าทียิ้มแย้ม “หลิวกงกง คนแบบนี้ไม่ต้องให้เข้ามาที่นี่อีก ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขามันขาดสะบั้นลงตั้งแต่วันนั้นแล้ว ข้าไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิด”
หลิวกงกงมองดูเฟิงหรูชิงด้วยท่าทีมึนงง นี่คงเป็นครั้งแรกที่องค์หญิงมีท่าทีสันติต่อหน้าผู้คนขนาดนี้ มันทำให้เขาตั้งตัวไม่ถูก
“องค์หญิง” หลิ่วอวี้เฉินสีหน้าเปลี่ยนสี เขามองดูเฟิงหรูชิงที่กำลังจะเดินจากไป จึงรีบเข้าไปขวางหน้า “ท่านพูดอย่างนั้น หมายความว่าอย่างไร”
เฟิงหรูชิงหยุดเดิน นางบ่ายหน้าไปมองหลิ่วอวี้เฉิน พูดด้วยรอยยิ้มเล็กๆ “เจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้า ตอนนี้ข้าก็ไม่อยากแต่งกับเจ้าก็แค่นั้นเอง ส่วนเรื่องจวนเสนาบดี…เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงอย่างไรเรื่องในอดีตก็เป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรไปแยกคนรักออกจากกันเพื่อที่จะได้แต่งงานกับเจ้า ต่อให้ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียดายในสิ่งที่ทำลงไป แต่คงไม่ตามรังควานไม่เลิกรา และยิ่งไม่มีทางให้เสด็จพ่อคิดบัญชีกับท่านเสนาบดี”
เรื่องบางเรื่อง เฟิงหรูชิงก็แยกแยะได้ดี ที่องค์หญิงคนเดิมต้องรับผลกรรมแบบนั้น เพราะเกี่ยวพันกับการแยกคนรักออกจากกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ นางไม่คิดผูกใจเจ็บหลิ่วอวี้เฉินในเรื่องนี้ แต่พร้อมกันนั้น นางก็ไม่อยากเจอหน้าเขาอีก
“ท่าน…พูดจริงหรือ” หลิ่วอวี้เฉินหรี่ตา เอ่ยถามด้วยความสงสัย
ผู้หญิงคนนี้จะปล่อยเขาไปง่ายๆ หรือ คงไม่กระมัง หรือกำลังมีแผนชั่วอะไรที่จะจัดการซวงเอ๋อร์อีก
ถึงอย่างไรเฟิงหรูชิงก็เป็นคนร้ายกาจ มีเรื่องอะไรที่นางทำไม่ได้บ้าง
“ช่างกล้านักนะ” ในที่สุดหลิวกงกงก็ตั้งสติได้ เขาได้ยินที่หลิวอวี้เฉินซักไซ้ จึงพูดเสียงแหลม “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสงสัยในตัวองค์หญิง คุณชายหลิ่ว หากเรื่องวันนี้รู้ไปถึงพระกรรณของฝ่าบาทละก็ จวนเสนาบดีคงรับรองชีวิตท่านมิได้หรอก”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลิ่วอวี้เฉินเจื่อนลง ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นวังหลวง หาใช่จวนเสนาบดี เขาไม่กล้าทำตัวโอหัง ได้แต่กลั้นความโกรธเอาไว้ แล้วประสานมือทำท่าคารวะเฟิงหรูชิง
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่เมตตา ข้าขอทูลลา ซวงเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ”
ก่อนเดินจากไป ถานซวงซวงหันหลังกลับไปมองเฟิงหรูชิงครั้งหนึ่ง นางเม้มริมฝีปากเบาๆ ใบหน้าอันงดงามดูซีดขาวเล็กน้อย ไร้สีเลือดฝาด
แต่แววตาอันเต็มไปด้วยความสงสัยของนางแสดงออกมาว่าไม่เชื่อว่าเฟิงหรูชิงจะยอมปล่อย
หลิ่วอวี้เฉินไปจริงๆ
เพื่อหลิ่วอวี้เฉิน เฟิงหรูชิงไม่กลัวขายหน้า ต่อให้ต้องบากหน้าก็จะแต่งงานกับเขาให้ได้ แถมยังยอมอยู่เฝ้าเรือนหอสกุลหลิ่วเพียงลำพังเพื่อที่จะได้อยู่กับหลิ่วอวี้เฉิน
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อหลิ่วอวี้เฉิน แม้นางต้องอยู่อย่างน้อยเนื้อต่ำใจในบ้านสกุลหลิ่ว นางก็ไม่ปริปากบ่นสักนิด ถ้าไม่เพราะสุดท้ายนางตัดสินใจวิ่งชนกำแพงเพื่อจบชีวิต ฝ่าบาทก็คงไม่รู้ว่าตั้งแต่นางแต่งงานมาจนบัดนี้ยังไม่เคยได้หลับนอนกับสามีเลยสักครั้ง
เฟิงหรูชิงถอนสายตากลับมาแล้วมองไปที่หลิวกงกง “หลิวกงกง เสด็จพ่อเสด็จกลับมาหรือยัง”
หลิวกงกงพูดด้วยท่าทีนอบน้อม “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทยังว่าราชกิจช่วงเช้าอยู่ ยังไม่เสด็จกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” เฟิงหรูชิงยิ้มเล็กๆ “งั้นข้าจะไปเดินเล่นก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกลับมาหาเสด็จพ่อ”
ความจริงแล้ว ในความทรงจำขององค์หญิงคนเดิม เฟิงหรูชิงพบข้อมูลเกี่ยวกับวังหลวงน้อยมาก
องค์หญิงคนเดิมขี้เกียจถึงขั้นไม่ยอมเดินออกมาจากตำหนักที่ประทับ
ต่อมา นางได้พบกับหลิ่วอวี้เฉินโดยบังเอิญ จากนั้นจึงเริ่มออกจากวังหลวงเป็นประจำทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้น นับแต่นั้นมา ทั่วทั้งแคว้นหลิวอวิ๋นก็เริ่มมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนางแพร่กระจายไปทั่ว
เป็นเรื่องจริงที่นางรังแกผู้หญิง ครอบครองผู้ชาย ทำแต่ความชั่ว ไม่ว่าเด็กหรือคนแก่หากได้ยินชื่อของนางต้องเก็บเอาไปฝันร้าย
เมื่อคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่เฟิงหรูชิงทำลงไปในช่วงที่ผ่านมา นางละอายจนเหงื่อออกชุ่มที่ใบหน้า เป็นความจนใจที่แสนทุกข์ทน อยากลบล้างภาพจำที่คนเหล่านั้นมี เกรงว่าคงยากเหลือแสน
ตอนที่ 12 ชายชุดขาว (2)
ทั่วทั้งแคว้นหลิวอวิ๋น นอกจากฮ่องเต้บิดาของนางแล้ว ไม่มีใครที่ไม่อยากให้นางรีบๆ ตายไปเสีย หากนางตายขึ้นมาจริงๆ เป็นไปได้ว่าทั่วทั้งแคว้นจะพากันเฉลิมฉลอง
“เฟิงหรูชิง เจ้าทำตัวถึงขั้นนี้ได้ ไม่รู้ว่าข้าควรด่าเจ้าหรือควรสงสารเจ้าดี” เฟิงหรูชิงส่ายหน้าด้วยความรู้สึกจนใจ “แต่อย่างไรข้าก็อาศัยอยู่ในร่างของเจ้า ทำให้ข้าได้มีชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง ดังนั้นข้าจะไม่ให้ผู้คนพูดถึงเจ้าในทางเสียๆ หายๆ และข้าจะไม่ยอมให้เสด็จพ่อของเจ้าต้องลำบากใจอีก”
นี่…ถือเป็นค่าตอบแทนสำหรับการใช้ร่างของนาง
…
เสียงขลุ่ยสูงต่ำดังกังวาลแว่วมาไม่ไกล ทำให้เฟิงหรูชิงหยุดคิดได้ในชั่วขณะ
นางเงยหน้าขึ้นดูถึงรู้ว่า ตนเดินเข้ามายังป่าไผ่แล้วโดยไม่รู้ตัว
เสียงขลุ่ยดังมาจากป่าไผ่ลึก เสียงใสไพเราะมีเสียงสูงต่ำสอดประสาน ราวกับสายลมเอื่อยที่พัดพลิ้วอยู่ในป่าไผ่นั้น
เฟิงหรูชิงก้าวเดินไปอย่างช้าๆ กายของนางอ้วนและหนัก เมื่อย่ำไปบนพื้นดินจึงเกิดเป็นเสียงดังกรอบแกรบขึ้นมา แต่เสียงขลุ่ยนั้นก็หาได้หยุดลงไม่ ตรงกันข้ามเสียงยิ่งฟังดูไพเราะกว่าเดิม
ในป่าไผ่ลึก ชายผู้หนึ่งถือขลุ่ยอยู่ในมือ ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมโชยเอื่อย สวมชุดขาวเหมือนในภาพวาด ราวกับเทพจุติจากสวรรค์ เมื่อเปรียบกับป่าไผ่ที่ดูงดงามและบริสุทธิ์ เขายิ่งเหมือนกับแสงจันทร์ที่เยือกเย็น เมื่อมองเข้าไปถึงนัยน์ตา ก็ละลายไปทั้งหัวใจ ไม่อาจสลัดภาพนั้นทิ้งได้
แต่ทันทีที่เฟิงหรูชิงได้เห็นชายผู้นั้น สิ่งที่นางคิดเพียงอย่างเดียวก็คือ เอามาทำสามี เอามาทำสามี และเอามาทำสามี!
หากเปรียบกับชายที่อยู่ตรงหน้า หลิ่วอวี้เฉินอะไรนั่นสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หากคนหนึ่งคือธุลีบนผืนดิน อีกคนหนึ่งคือดวงจันทร์สว่างที่อยู่บนฟากฟ้า
แต่เมื่อครู่ภาพที่เฟิงหรูชิงเห็นเป็นเพียงใบหน้าด้านข้างเท่านั้น แต่มันก็ทำให้นางรู้สึกตะลึงได้ขนาดนี้
ดังนั้นในขณะที่ชายผู้นั้นหันหน้ามาอย่างช้าๆ เฟิงหรูชิงรู้สึกว่า โลกใบนี้ไม่มีชายคนไหนอีกแล้วที่หล่อสู้เขาได้
รูปงามไร้ผู้ใดเปรียบ คนทั้งหลายต่างยอมรับ
แต่ไรมาถานซวงซวงมีฉายาว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้นหลิวอวิ๋น เมื่อเปรียบกับชายที่อยู่ตรงหน้า ความงามของนางตกอันดับไปเลย หากให้ชายผู้นี้สวมชุดแบบผู้หญิง บนโลกใบนี้ไม่รู้ว่าจะมีชายสักกี่คนที่ต้องคลุ้มคลั่ง
“เฟิง…หรูชิง?”
เสียงของชายผู้นั้นเยือกเย็นดุจดังน้ำที่ผุดจากผืนดิน เสียงใสเย็นชวนฟังยิ่งนัก
เขามองดูเฟิงหรูชิงที่ปรากฏตัวจากทางด้านหลังของเขา สงบนิ่งดุจน้ำ ดูปล่อยวางไม่หมกมุ่น
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ” ชายผู้นั่นเดินเข้าประชิดตัวเฟิงหรูชิงอย่างช้าๆ
“เอ่อ…” เฟิงหรูชิงยืนอึ้งตาปริบๆ
กลัวเขาหรือ เขามีรูปงามขนาดนี้ แล้วไยนางต้องกลัวเขาด้วย
แม้เฟิงหรูชิงจะได้รับความทรงจำต่อจากเจ้าของร่าง แต่ข้อมูลบางอย่างที่ไม่มีประโยชน์นางได้กรองออกไปบ้างแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของชายผู้นี้ นางจึงรีบค้นหาสิ่งที่อยู่ในความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็โมโหจนหน้าดำหน้าแดงในทันที
“หรงกุ้ยเฟยสมควรตายนัก!”
เมื่อก่อนหรงกุ้ยเฟยหลอกให้องค์หญิงคนเดิมกลัวมาตลอดว่า ชายที่อยู่ในป่าไผ่คนนี้ไม่ใช่เพียงคน ดุร้าย แต่ยังกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าในเวลากลางคืน มันจะกินผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ จนไม่เหลือแม้แต่ซาก
องค์หญิงคนเดิมกลัวจนไม่กล้าเข้าไปในป่าไผ่แม้แต่ก้าวเดียว แม้ได้เห็นชายผู้นี้ในที่อื่นโดยบังเอิญ แต่นางก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาสักครั้ง
องค์หญิงคนเดิมซึ่งเป็นคนที่คิดจะทำอะไรก็ทำ มีเพียงชายในป่าไผ่คนนี้ที่ทำให้นางรู้สึกกลัวได้และอยากอยู่ให้ไกลเขาเท่าไรยิ่งดี
“เอ่อ…เฮอะๆ” เฟิงหรูชิงมองดูชายผู้นั้นทั้งรอยยิ้ม “หนานเสียนกั๋วซือ หน้าตาดีขนาดนี้ ข้าจะกลัวท่านไปทำไม”
มุมปากของหนานเสียนทำมุมโค้งเล็กๆ
รอยยิ้มของเขาดูไม่ชัด ไม่ชัดจนเรียกได้ว่ามองไม่เห็นทีเดียว
แต่สายตาที่มองดูเฟิงหรูชิง แสดงถึงการครุ่นคิดหาคำตอบ
“เจ้าคิดว่าข้าหล่อจริงๆ หรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ” สายตาของเฟิงหรูชิงมองดูหนานเสียนจากหัวจรดเท้าอย่างเปิดเผย สายตาของนางราวกับจะถอดเสื้อผ้าของชายผู้นั้นไม่ให้เหลือสักชิ้น “ถ้าเจ้าไม่ใส่เสื้อผ้า คงจะน่าดูยิ่งกว่านี้”