เล่ห์กลจักรพรรดิ ตอนที่ 5

[บทที่ 5 ความเปลี่ยนแปลงในวังหลวง] ข้าไปเห็นคนในดวงใจของท่านมาแล้ว
สำนักพิมพ์โรส

[บทที่ 5 ความเปลี่ยนแปลงในวังหลวง]
ข้าไปเห็นคนในดวงใจของท่านมาแล้ว

ระยะทางจากโรงเตี๊ยม ที่ทุกคนพักก่อนหน้านี้จนถึงเมืองหลวงนั้น ต่อให้เร่งรีบเดินทางทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนกว่าจะถึง ม้าลากรถเองก็ล้วนเป็นม้าพันธุ์ดี เพียงฟาดแส้ลงไปก็ห้อตะบึงรวดเร็วดั่งสายลม ทีแรกต้วนเหยายังคงดึงดันจะนั่งรถม้า แต่หลังจากถูกเขกหัวไปสามสี่ที ในที่สุดก็ยอมฝืนใจทิ้งเตาให้ความอุ่นออกมาขี่ม้าเหมือนกับคนอื่น ยามสายลมตามเส้นทางบนภูเขาพัดวูบมาทีหนึ่งก็รู้สึกหนาวเหน็บเสียจนใบหูแทบจะหลุดเสียให้ได้ ทั้งจมูกและสองแก้มก็แดงก่ำไปหมด ในใจพลางแอบจินตนาการว่าได้กระทืบต้วนไป๋เยว่แรง ๆ ไปทีหนึ่ง
ครั้งหน้าหากท่านอาจารย์จะยืมศพคืนวิญญาณอีกละก็ จะต้องให้เอาพี่ชายไปด้วยให้ได้เลย!

อากาศหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิปีนี้คลับคล้ายจะยาวนานเป็นพิเศษ มองดูสองข้างทางก็มีต้นหลิวลู่ลมดอกไม้ผลิบานให้เห็นแล้ว ทว่าอากาศกลับยังคงเย็นยะเยือกเช่นเดิม ร้านแผงลอยข้างทางที่มีอาหารเช้าร้อนควันกรุ่นวางอยู่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน พอได้กินโจ๊กที่กรุ่นกลิ่นหอมของเนื้อปลาเข้าไปสักชาม มือเท้าก็เริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง ต้วนเหยาเช็ดปากแล้วจ่ายเงินจากนั้นจึงกลับไปยังร้านขายผ้าซึ่งเป็นสถานที่ลับสำหรับติดต่อกันในเมืองหลวงของจวนซีหนานหวัง ฉากหน้าเป็นร้านขายแพรพรรณ เจ้าของร้านมีนามว่าโจวหม่าน ภรรยาเป็นแม่นมของต้วนไป๋เยว่สมัยที่เขายังเยาว์ ทั้งคู่ถูกส่งมายังเมืองหลวงแห่งนี้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
“อาโจว” ต้วนเหยาที่กำลังหิ้วถุงติ่มซำอยู่กล่าวทักทาย “คนอื่น ๆล่ะ”
“อยู่ในห้องหนังสือกันหมดเลยขอรับ” โจวหม่านส่งสัญญาณให้เขาเบาเสียงลง “ดูท่าทางหวังเยียจะอารมณ์ไม่ค่อยดี เสี่ยวหวังเยียระวังเอาไว้หน่อยดีกว่า”
อารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว? ต้วนเหยาประหลาดใจ ก่อนหน้านี้ก็เอาแต่จะเร่งรีบมาเมืองหลวงท่าเดียว ในที่สุดตอนนี้ก็มาถึงได้อย่างลำบากยากเย็นแท้ ๆ ควรจะรู้สึกยินดีปรีดาถึงจะถูกสิ นี่ก็นึกว่าเย็นนี้จะได้กินเลี้ยงเสียอีก
“เสี่ยวหวังเยียซื้อมาฝากหวังเยียหรือขอรับ” โจวหม่านถาม “ติ่มซำนี่ไม่เลวเลย แต่ว่าต้องกินตอนร้อน ๆ ถึงจะอร่อย”
“เอาให้อาสะใภ้โจวแทนก็แล้วกัน ข้าไม่ไปหาเหาใส่หัวดีกว่า” ต้วน-เหยายัดเยียดถุงติ่มซำให้เขาอย่างไม่ลังเล เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโดนลูกหลงเข้าให้อีก
“เอ๊ะ เอ๊ะ เสี่ยวหวังเยีย นั่นท่านจะไปไหนอีกขอรับ” โจวหม่านร้องเรียกตามหลัง
“ออกไปเดินเล่น!” ต้วนเหยาใช้เท้าเดียวดีดตัวขึ้นยอดไม้ พลิกกายข้ามกำแพงออกไป
โจวหม่านเห็นแล้วก็ต้องปวดหัว หวังเยียบอกอยู่แท้ ๆ ว่าหนนี้มากันอย่างลับ ๆ แล้วทำไมเสี่ยวหวังเยียถึงยังออกไปเตร็ดเตร่อีกเล่า ถ้าหากถูกใครเห็นเข้าละก็ต้องแย่แน่ ที่นี่มันใต้พระบาทโอรสสวรรค์[1]เชียวนา

เมืองหลวงแม้จะใหญ่โต แต่ต้วนเหยาก็ไม่ได้มีนิสัยชมชอบความครึกครื้นอะไร เดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนนอยู่สักพัก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นโรงรับจำนำหงอวิ้น
โรงรับจำนำหงอวิ้น…ที่พักของซาต๋านี่ ต้วนเหยามองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครสังเกตจึงลอดตัวเข้าไปทางประตูด้านหลัง
เป็นลานบ้านที่เต็มไปด้วยแม่ไก่
ต้วนเหยา “…”
พอเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา เหล่าแม่ไก่นึกว่ามาให้อาหารจึงส่งเสียงร้องกะต๊าก ๆ ๆ พร้อมกับพุ่งเข้ามารุมล้อม ต้วนเหยาได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจ แต่ก็ได้ยินว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้พอดี
“เจ้าดู ไก่มันก็แค่หิวเท่านั้นไม่ใช่หรือ” ประตูไม้ถูกเปิดออก ผู้ที่เข้ามาคือชายสองคน คนหนึ่งอ้วน คนหนึ่งผอม
“ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน มีแขกอยู่ในเรือน ระมัดระวังเอาไว้หน่อยจะดีกว่า” คนผอมกล่าว “จับตาดูความเคลื่อนไหวข้างนอกเอาไว้บ้าง จะได้ไม่เกิดเรื่องอีก”
“ถูก ๆ ๆ เจ้าพูดถูกทั้งหมดเลย อย่างนั้นที่นี่ก็ดูเสร็จแล้ว ก็เป็นเล้าไก่นี่แหละ กลับได้หรือยัง” อีกคนหาวหวอด
ต้วนเหยาซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินมองดูทั้งสองคนเดินจากไป แล้วสะกดรอยตามอย่างเงียบเชียบ
โรงรับจำนำแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ด้วยเหตุนี้เอง อาศัยเวลาเพียงไม่นานต้วนเหยาก็ทำความเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดได้อย่างทะลุปรุโปร่งเรือนรับรองแขกมีอยู่แค่สองหลัง มีหลังเดียวที่มีคนอาศัยอยู่ ฟังจากสำเนียงและดูจากการแต่งกายแล้วคล้ายจะมาจากแถบดินแดนซีอวี้[2]
คนที่อยู่ในเรือนนั้นกำลังกินข้าว ต้วนเหยาเพ่งมองดูสักพักก็รู้สึกประหลาดใจ ถึงแม้เขาจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแคว้นอาหนี่ว์ แต่ในเมื่อสามารถร่วมมือกับอาณาจักรฉู่ตั้งด่านป้องกันเขตแดนในทะเลทรายด้วยกันได้ ซาต๋าผู้นี้ก็ควรจะมีความสามารถและสัญชาตญาณระวังภัยอยู่บ้างถึงจะถูก แต่ทำไมกระทั่งร่องรอยของตัวเองก็ไม่ปิดบังเลยสักนิด ถึงขนาดนั่งกร่างอยู่กลางบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นรอบด้านยังไม่มีแม้กระทั่งทหารอารักขาสักคน
หลังจากกินข้าวเสร็จซาต๋าก็ลุกขึ้นเดินวนอยู่ในลานบ้านสองรอบ แล้วจึงกลับเข้าไปยังห้องนอนเพื่อล้างหน้าบ้วนปากและพักผ่อน ก่อนจะหลับยังถามเป็นพิเศษอีกว่าพรุ่งนี้เช้าจะกินอะไร คล้ายกับสนใจแต่เรื่องกินกับนอน
ต้วนเหยา “…”
นี่หรือซาต๋าหวัง ทำไมถึงได้โง่งมขนาดนี้ ไม่เหมือนกับคนที่แอบทำแผนชั่วร้ายอะไรเลย

ที่ด้านหน้า การค้าในโรงรับจำนำยังคงเฟื่องฟูเช่นเคย ต้วนเหยาเติบโตขึ้นมาในซีหนานตั้งแต่ยังเล็ก เก่งกาจในการปลอมแปลงโฉม ทั้งยังถูกจับแต่งกายเป็นเด็กสาวอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่กลัวว่าจะมีใครจำได้เขาถือปิ่นอันหนึ่งย่างเท้าแช่มช้อยเข้าไปในร้าน แล้วอาศัยช่วงที่สนทนากันมองสำรวจไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต
“คุณหนูท่านนี้” หลังจากที่ออกจากโรงรับจำนำก็มีคนตามออกมาด้วย
ต้วนเหยาหยุดเท้าเหลือบมองเขา เห็นว่าเป็นชายอายุประมาณยี่สิบกว่าปี สีหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย
“คุณหนูกำลังตกทุกข์ได้ยากอยู่หรือ” ชายคนนั้นยิ้มกว้าง กลิ่นหอมของชาดทาปากและแป้งที่ติดอยู่บนร่างนั้นแรงยิ่งนัก แค่เดินเข้ามาใกล้เพียงนิดก็ฉุนเสียจนจมูกคันยุบยิบไม่หยุด
ต้วนเหยากลอกตาใส่เขาแล้วเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ในใจกล่าวว่า เจ้าอย่าได้ไม่รู้จักสำรวมจนมาดึงข้าไว้ล่ะ ไม่อย่างนั้นจะตัดมือเจ้าเสียเลย
“แม่นางน้อยระวังตัวด้วย คนผู้นี้เป็นข้ารับใช้ของหอหงเซียน” ตอนที่เดินเฉียดกันมีป้าท่านหนึ่งเอ่ยเตือนเบา ๆ
ต้วนเหยาเลิกคิ้ว มาจากหอนางโลมนี่เอง…
“คุณหนู คุณหนูช้าก่อน” ชายผู้นั้นยังตามมาอีก
ต้วนเหยาหันหน้ากลับไป กัดริมฝีปากล่างน้ำตาคลอเบ้า “ท่านอาจารย์ของข้าจากไปกะทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ายังต้องรีบไปหาเงินมาฝังศพ พี่ชายท่านนี้อย่าได้รั้งข้าไว้อีกเลย”
“ไอ้หยา…” ชายผู้นั้นดีใจเป็นอย่างมาก รีบร้อนถาม “ไม่ทราบว่าคุณหนูวางแผนจะหาเงินอย่างไร”
ต้วนเหยากล่าวตอบ “ข้าวางแผนว่าจะเอาพี่ชายไปขาย”
ชายผู้นั้น “…”
หา?
“ท่านต้องการหรือไม่” ต้วนเหยาถาม
ชายผู้นั้นยังไม่ตัดใจ ถามอีกว่า “พี่ชายคุณหนูมีรูปโฉมราวกับเทพเซียนเหมือนท่านหรือเปล่า”
ต้วนเหยาอึดอัดใจ กะว่าล้อเล่นแล้วจะไปเสียอีก ทำไมถึงจะเอาจริงขึ้นมาล่ะ
ต่อให้ข้าคิดจะขาย กลัวว่าเจ้าจะไม่กล้าซื้อน่ะสิ
“ไป ๆ ๆ” ท่านป้าคนก่อนหน้านี้พอเห็นว่าชายคนนั้นยังตอแยไม่เลิกก็ทนไม่ได้ที่จู่ ๆ จะต้องเห็นแม่นางน้อยถูกฉุดไปอยู่ในสถานที่แบบนั้นดังนั้นจึงตรงเข้าไปดึงต้วนเหยาออกมา จวบจนกระทั่งพามาถึงข้างในตรอกแล้วจึงปล่อยมือ จากนั้นก็คะยั้นคะยอให้เขารีบกลับบ้านโดยเร็ว เมื่อกลับมายังถนนใหญ่อีกครั้งก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังยืนล้อมวงถกกันอยู่ ถามดูถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ไม่ทราบเพราะอะไรข้ารับใช้ของหอนางโลมคนนั้นอยู่ดี ๆใบหน้าก็บวมเป่งแดงก่ำราวกับหัวหมูไม่มีผิด จนในที่สุดก็ร้องห่มร้องไห้ไปโรงหมอแล้ว
ท่านป้าตระหนกตกใจ พอเอื้อมมือไปคลำถุงผ้าตรงเอวก็พบว่าเมื่อไหร่ไม่รู้ที่มีทองคำขนาดเมล็ดถั่วเพิ่มขึ้นมาก้อนหนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์
ต้วนเหยาปัดมือ ฮัมเพลงแล้วกลับไปยังร้านจิ่นต้วน

ทว่าเวลานี้ตำหนักในของวังหลวงกลับเงียบสงบอย่างผิดสังเกต
สามวันก่อน ราชรถของฉู่เยวียนออกจากวังไปยังเจียงหนาน ทิ้งให้อัครราชครูควบคุมดูแลทั้งหกกรม และช่วยจัดการเรื่องสำคัญในราชสำนักชั่วคราว
ขุนนางในราชสำนักต่างแอบถกเถียงเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมอยู่ดี ๆองค์เหนือหัวถึงได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้ายังไม่มีวี่แววอะไรเลย
ฝ่าบาทเสด็จออกตรวจราชการทั้งทีย่อมต้องอลังการอยู่ไม่น้อย แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาฉู่เยวียนจะไม่ชอบอะไรหรูหราก็ตามที แต่ขบวนทหารบนถนนหลวงก็ยังยิ่งใหญ่สง่างามยิ่ง หลังจากเดินเท้าไปไม่กี่วันก็ผ่านถึงเมืองจินเหอ จากที่นี่จะสามารถล่องเรือลงใต้ไปตามคลองจนถึงเมืองเชียนเยี่ยได้
ซื่อสี่กงกงที่นั่งอยู่บนรถม้าอีกคันหนึ่งนั้นอยากจะออกไปหาโอกาสแอบถามเสิ่นเชียนฟานว่าทำไมจู่ ๆ ถึงต้องไปเจียงหนานอีกเล่า แม้จะบอกว่าการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเป็นเรื่องใหญ่ แต่ราชสำนักยังไม่สงบอยู่แบบนี้ฝ่าบาทอยู่ปกป้องเองเมืองหลวงยังไม่อาจวางใจเลย แล้วยังจะสามารถออกไปข้างนอกได้อีกหรือ
หลายครั้งที่พยายามเดาพระทัยฝ่าบาทมา นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักนิด
แต่ฝ่ายฉู่เยวียนกลับอารมณ์ดีไม่เลว อยู่แต่ในวังมานาน ได้ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศที่อื่นบ้างก็ดี

ภายในร้านจิ่นต้วน ณ เมืองหลวง ต้วนไป๋เยว่เก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ลงทุนลงแรงสร้างเครือข่ายมานานขนาดนี้ ภายในวังหลวงจึงมีสายลับมือสังหาร ทหารอารักขา ขันที และนางกำนัลที่ซีหนานส่งมาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรแม้แต่น้อย ข่าวก็จะถูกส่งกลับไปยังซีหนานอย่างรวดเร็วที่สุด หนนี้อุตส่าห์ลำบากลำบนลอบสืบข่าว แต่หารู้ไม่ว่านายเหนือหัวของตนจะมาเมืองหลวงไวถึงเพียงนี้คนที่ถูกส่งไปเพิ่งจะออกเดินทางไปได้แค่สองวัน คาดว่าคงจะคลาดกันที่ไหนสักแห่งพอดี
“จะตามไปเจียงหนานหรือไม่ขอรับ” ต้วนเนี่ยนหยั่งเชิง
“เจ้าเดาดูสิว่าทำไมเขาถึงต้องจากไปเวลานี้” ต้วนไป๋เยว่ถาม
ต้วนเนี่ยนส่ายหน้า “ข้าน้อยไม่ทราบ แต่การมาของหวังเยียในครั้งนี้เป็นความลับมาโดยตลอด ก็ไม่น่าจะ…”
“ทำไม หรือเจ้าจะบอกว่าจักรพรรดิฉู่ต้องการจะหลบเลี่ยงเปิ่นหวัง” ต้วนไป๋เยว่หัวเราะ “สามารถชิงตำแหน่งรัชทายาทมาจากบรรดาพี่น้องมากมาย เจ้าคิดว่าเขาจะมีจิตใจคับแคบเอาแต่พะวงกับความขัดแย้งระหว่างตนเองและเปิ่นหวังจนถึงขนาดต้องออกจากเมืองเพื่อหลบหน้ากันเลยหรือไง”
ต้วนเนี่ยนพูดไม่ออก
“รออีกสองสามวันค่อยไปเจียงหนานก็แล้วกัน” ต้วนไป๋เยว่กล่าว “เป็นโอกาสดีที่จะรอดูว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะวุ่นวายจนเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
“ขอรับ” ต้วนเนี่ยนผงกศีรษะรับบัญชา
“ซาต๋าเป็นยังไงบ้าง” ต้วนไป๋เยว่ถามต่อ
“คนของเราคอยจับตาดูอยู่ตลอด แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยขอรับ” ต้วนเนี่ยนตอบ “ไม่ติดต่อกับคนภายนอกเอาแต่กินแล้วก็นอน เรื่องที่น้องชายตัวเองถูกลอบสังหารก็ดูจะไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิดขอรับ” แต่ที่ร่ำลือกันนั้น ซาต๋ากับกู่ลี่รักใคร่สนิทสนมกันจนแทบอยากจะสวมกางเกงตัวเดียวกัน[3] พฤติการณ์เช่นนี้จึงผิดปกติอย่างชัดเจน
ต้วนไป๋เยว่ขมวดคิ้ว
“เรื่องในครั้งนี้ออกจะแปลกประหลาด เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลาพอสมควร” ต้วนเนี่ยนกล่าว “หวังเยียต้องการจะยื่นมือเข้าไปยุ่งจริง ๆ หรือขอรับ”
“ในเมื่อมาถึงนี่แล้ว ย่อมต้องไม่ให้มาเสียเที่ยว” ต้วนไป๋เยว่ยกยิ้มมุมปาก “ต้องกอบโกยอะไรกลับมาบ้างสิถึงจะคุ้ม”

มีเสียงดังมาจากลานบ้าน เถ้าแก่โจวแย้มยิ้มกล่าวว่า “เสี่ยวหวังเยียกลับมาแล้ว ห้องครัวยังอุ่นอาหารอยู่ จะกินตอนนี้เลยไหมขอรับ”
ต้วนเหยารีบโบกไม้โบกมือใส่เขาพัลวัน
เถ้าแก่โจวรู้ตัว รีบยกมือปิดปากตน
แต่เห็นได้ชัดว่าสายไปเสียแล้ว
“เหยาเอ๋อร์!” ต้วนไป๋เยว่ร้องเรียกจากในห้อง
“ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ” ต้วนเนี่ยนประสานหมัดคารวะ
ต้วนเหยาสลดหดหู่ยิ่งนัก เขายื่นนิ้วไปจิ้มประตูให้เปิดออก ถ้ารู้แต่แรกเดินอ้อมหน่อยก็ดี หรือไม่ก็กลับมาดึก ๆ ไปเลยก็ไม่เลว
“ไปไหนมา” ต้วนไป๋เยว่นั่งอยู่กลางห้อง
“ไปเที่ยวเล่นมา” ต้วนเหยาตอบตรง ๆ
“เที่ยวเล่นอะไร” ต้วนไป๋เยว่ไม่ยอมให้ตอบแบบขอไปที
ต้วนเหยาทำปากยื่นพลางกล่าว “ไปดูคนในดวงใจของท่านมา”
คนที่อยู่ในโรงรับจำนำรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ทั้งมือทั้งหน้ามีแต่ขนรุงรัง กินก็จุ แต่หล่อเหลาเอาการคนนั้นไง!
ทันทีที่สิ้นเสียง ถ้วยชาในมือต้วนไป๋เยว่ก็ร่วงหล่นพื้น
ต้วนเหยาตกใจจนสะดุ้ง ทำไมมีปฏิกิริยาถึงขนาดนี้
“เจ้ากล้าแอบเข้าวังลับหลังข้า?” ต้วนไป๋เยว่ตบโต๊ะอย่างแรง
พอต้วนเหยาได้ยินก็ยิ่งตกใจ “คนในดวงใจท่านอยู่ในวังเหรอ!!”

________________________________________
[1] หมายถึงสถานที่พำนักของจักรพรรดิ หรือก็คือเมืองหลวง
[2] ดินแดนแถบตะวันตกของจีน ปัจจุบันอยู่ในแถบเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
[3] สำนวนเปรียบถึงคนที่สนิทสนมกันมากจนสามารถสวมใส่เสื้อผ้าตัวเดียวกันได้โดยไม่รังเกียจ

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ
Status: Ongoing
อ่านนิยาย เล่ห์กลจักรพรรดิเรื่องย่อ เพราะถือกำเนิดในตระกูลหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ “ฉู่เยวียน” จึงต้องเดินทางหมากทุกตาด้วยความระมัดระวัง หากว่าพลาดพลั้งเพียงก้าวเดียวก็จะแพ้ราบคาบทั้งกระดาน ชันษาสิบแปดขึ้นครองราชย์ไม่ถึงครึ่งปี อวิ๋นหนานก็เกิดสงครามกลางเมือง แม้เหล่าขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักจะคิดอ่านแตกต่างกันไป แต่ทุกผู้ก็ล้วนกำลังเฝ้ารอดูว่า ตี้หวัง พระองค์ใหม่จะทรงยุติเรื่องนี้อย่างไร แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าตี้หวังยังไม่ทันจะได้ลงมือ ไกลออกไปพันหลี่นั้น ซีหนานหวัง “ต้วนไป๋เยว่” ก็ได้นำทัพออกเข่นฆ่าสังหารผู้ต่อต้านเสียแล้ว ใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็ปราบปรามจลาจลสงบลงได้ ภายในวังหลวงเงาจันทร์อ่อนจาง ฉู่เยวียน หยดครั่งผนึกจดหมายลับด้วยตัวเองแล้วเร่งส่งไปยังอวิ๋นหนานที่อยู่ห่างถึงแปดร้อยหลี่ “หนนี้ต้องการให้เราใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยน” ปลายพู่กันตวัดเส้นสายลึกซึ้งทรงพลังจนแทบจะมองเห็นได้ชัดว่ายามขีดเขียนอักษรประโยคนี้ ตี้หวังผู้อ่อนเยาว์กริ้วโกรธถึงเพียงใด ต้วนไป๋เยว่ กางกระดาษออกอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเพียงคำเดียวว่า “เจ้า”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset