[บทที่ 3 ใต้เท้าหลิวมาแล้ว] น่ากลัวว่าจะมาเป็นพ่อสื่ออีกตามเคย
สำนักพิมพ์โรส
[บทที่ 3 ใต้เท้าหลิวมาแล้ว]
น่ากลัวว่าจะมาเป็นพ่อสื่ออีกตามเคย
ในยุทธภพ มีผู้ที่ปรารถนาดาราอัคนีอยู่ถ้าไม่ใช่หลักพันคนก็แปดร้อยแต่ส่วนใหญ่ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น ค่ายกลเก้าชั้นฟ้าถูกสร้างขึ้นโดยศิษย์น้องร่วมสำนักของปรมาจารย์หลู่ปัน[1] ภายในค่ายกลเก้าชั้นฟ้าเต็มไปด้วยกลไกอันตรายมากมาย หากพลั้งเผลอแม้เพียงนิดก็อาจต้องจบชีวิตลงได้ อันที่จริงแล้วไม่กี่ปีให้หลังมานี้ก็มีคนในยุทธภพมาทิ้งชีวิตอยู่ที่นี่ไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เอง เสียงเล่าลือจึงทวีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก ก่อนหน้านี้แม้ต้วนเหยาจะเคยได้ยินข่าวคราวมาบ้าง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องในยุทธภพของดินแดนจงหยวน[2] และไม่ได้นำมาใส่ใจด้วย รู้เพียงแต่ว่าเป็นสถานที่ที่มีแต่อันตรายและก็อันตรายต้วนเหยายังคิดอยู่เลยว่าถ้าภายภาคหน้าได้ไปเจอเข้าก็จะเดินเลี่ยงไปเสียใครจะไปคาดถึงล่ะว่าจะได้บุกเข้าไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างนี้
ต้วนไป๋เยว่เก็บกล่องไม้เข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป
ต้วนเหยา “…”
ทั้งสองคนไม่พูดไม่จาอะไรเลยตลอดทางกลับไปโรงเตี๊ยม รอจนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องนอน ต้วนไป๋เยว่จึงตบบ่าอีกฝ่ายแล้วกล่าว “คืนนี้ลำบากเจ้าแล้ว รีบกลับไปนอนเถอะ”
ต้วนเหยาหลบเขาแล้วผลักประตูเดินเข้าไปเสียเอง
ต้วนไป๋เยว่ร้องเตือนตามหลังไป “นี่มันห้องนอนของเปิ่นหวังนะ”
“ให้ข้าดูหน่อย” ต้วนเหยานั่งลงข้างโต๊ะพลางยื่นมือออกมา
“ดูอะไร” ต้วนไป๋เยว่แสร้งถามทั้ง ๆ ที่รู้ดีแก่ใจ
“ก็ต้องเป็นดาราอัคนีน่ะสิ” ต้วนเหยาตอบ “พวกคนในยุทธภพพวกนั้นทำไมถึงอยากได้มันนัก แล้วทำไมท่านถึงต้องการมันด้วย”
ต้วนไป๋เยว่ตอบ “ไม่รู้”
ต้วนเหยา “…”
ไม่รู้เนี่ยนะ
“ไม่ใช่ข้าที่อยากได้ แต่มีคนอยากได้” ต้วนไป๋เยว่เอ่ยอย่างมีเหตุมีผลยิ่ง “ในเมื่อเจ้ากับข้าต้องผ่านมาทางนี้อยู่แล้ว ก็เหมาะเจาะที่จะแวะไปเอามาพอดี”
“พูดง่ายนี่ แวะไปเอามาเนี่ยนะ!” ต้วนเหยาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ้มนิ้วลงบนโต๊ะ “ท่านรู้หรือเปล่าว่าข้างในนั้นมันอันตรายแค่ไหน”
“อันตรายกว่านี้เจ้าก็ออกมาได้อย่างปลอดภัยครบถ้วนละน่า” ต้วนไป๋เยว่เอ่ยน้ำเสียงไม่อนาทรร้อนใจ “นอกเหนือจากจะสกปรกมอมแมมไปบ้างก็ไม่มีอะไรเสียหายเลยนี่”
…
ต้วนเหยาคิดว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่ายังไม่ทันจะถึงเมืองหลวง ตัวเองคงถูกคนผู้นี้ยั่วโมโหจนอกแตกตายไปก่อนเป็นแน่
หลังจากมองตามอีกฝ่ายเดินกลับไปถึงห้อง ต้วนไป๋เยว่ก็เปิดกล่องไม้แล้วหยิบไข่มุกเม็ดหนึ่งออกมา ผิวสัมผัสของมันไม่เรียบลื่น สีสันก็ค่อนข้างทึมทึบ ทั้งยังห่อหุ้มไว้ด้วยเศษผ้าราวกับถูกดึงทึ้งมาจากกลุ่มขอทานก็ไม่ปานดูแล้วไม่น่าจะมีราคาค่างวดเท่าไหร่นัก
ต้วนไป๋เยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหมุนมันไปมาในมืออยู่นานสองนานแต่ก็ยังไม่พบเงื่อนงำอะไร
ในห้องถัดไป ต้วนเหยาที่โกรธกระฟัดกระเฟียดอาบน้ำเสร็จแล้วก็ปีนขึ้นเตียง ตั้งอกตั้งใจหลับเต็มที่ กว่าจะตื่นก็ปาไปช่วงเที่ยงของวันรุ่งขึ้นแล้วทั้งยังไม่ยอมไปหาต้วนไป๋เยว่ แต่กลับลอดผ่านหน้าต่างออกไปเที่ยวเตร่แทน พอซื้อขนมฟังนิทานเสร็จก็ไปร้านอาหารสั่งของกินมาโต๊ะใหญ่ กระทั่งเย็นย่ำค่ำมืดถึงจะกลับโรงเตี๊ยม
ต้วนไป๋เยว่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะ
“เอาไป” ต้วนเหยาวางขวดยาในมือลงบนโต๊ะดัง “กึก” “ข้ายืมใช้ครัวเขา เพิ่งจะต้มเสร็จพอดี”
ต้วนไป๋เยว่ยิ้ม “นึกว่าเจ้าจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันที่สิบห้า”
ต้วนเหยานั่งเท้าคางเฝ้าต้วนไป๋เยว่อยู่หน้าประตู พ่อค้าพุงโตนายหนึ่งที่น่าจะดื่มหนักไปหน่อยกำลังเดินผ่านไปพร้อมพูดคุยกับสหายเรื่องการค้าขายด้วยเสียงอันดัง ผลคือหัวเราะเสียงดังฮ่า ๆ ยังไม่ทันจบก็เหลือบไปเห็นหนุ่มน้อยวัยสิบสามสิบสี่กอดกระบี่จ้องเขม็งมาที่เขา ดุร้ายน่ากลัวราวกับเป็นมัจจุราชน้อยก็ไม่ปาน จึงเงียบเสียงลงและเดินย่องกลับห้องไปอย่างรวดเร็ว
ต้วนไป๋เยว่ดื่มยาต้มรวดเดียวจนหมด แล้วนั่งสงบจิตกำหนดลมหายใจอยู่บนเตียง ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม[3] ถึงจะลืมตาขึ้นมา
“จะตายไหม” ต้วนเหยายืนพิงประตูถาม
ต้วนไป๋เยว่ตอบ “ภายในสามปีห้าปียังไม่ตายแน่”
ต้วนเหยาเบะปาก “คนชั่วอายุยืนเป็นพันปี[4]”
ต้วนไป๋เยว่ขำพรืด “ข้าจะคิดเสียว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าอายุสั้นก็แล้วกัน”
ต้วนเหยาหาวหวอด บิดขี้เกียจแล้วกลับไปนอน
ด้านเมืองหลวง คดีฆาตกรรมถูกเก็บงำเอาไว้ก่อน ข้าทาสบริวารที่กู่ลี่พามาด้วยต่างก็ถูกจัดแจงให้พักอยู่ภายในวังหลวงชั่วคราว เส้นทางจากเมืองหลวงไปถึงแคว้นอาหนี่ว์รวมทั้งไปและกลับนั้น ต่อให้ใช้ม้าชั้นดีฝีเท้าเร็วที่สุดและควบไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยก็ยังต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามเดือน ให้เร่งอย่างไรก็เร่งไม่ขึ้น
“ฝ่าบาท” ยามบ่ายวันนี้ซื่อสี่กงกงที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องทรงพระอักษรกล่าวขึ้น “แม่ทัพเสิ่นกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบให้เข้ามา!” ฉู่เยวียนดีใจยิ่ง พลางขยับรายงานทั้งหมดไปไว้ด้านข้าง
“แม่ทัพเสิ่น เชิญเข้าไปเถอะขอรับ” ซื่อสี่กงกงช่วยเปิดประตูให้เขาแล้วยังกดเสียงต่ำกล่าวอีกว่า “ที่ฝ่าบาททรงเรียกแม่ทัพเสิ่นกลับมาก็เพราะเมื่อไม่นานนี้เพิ่งเกิดเรื่องไม่สงบในราชสำนักน่ะขอรับ”
เสิ่นเชียนฟานแย้มยิ้ม สาวเท้าเดินเข้าห้องหนังสือไป
ในยุทธภพแห่งดินแดนจงหยวนไม่มีผู้ใดไม่รู้จักปราสาทเขาสุริยันจันทราอันเลื่องชื่อของตระกูลเสิ่น เจ้าสำนักเฒ่าเสิ่นเฟิงมากด้วยคุณธรรมและบารมี เสิ่นเชียนเฟิงบุตรชายคนโตวรยุทธ์สูงส่ง เป็นที่รู้กันถ้วนทั่วว่าจะได้รับเลือกเป็นประมุขยุทธภพรุ่นถัดไป เสิ่นเชียนเชียนบุตรชายคนรองแม้ไม่เคยออกสู่ยุทธภพ แต่ก็เป็นคุณชายตระกูลสูงผู้องอาจงามสง่า เสิ่นเชียนหลิงบุตรชายคนที่สี่จิตใจใสซื่อมีเมตตา ทั้งยังร่าเริงมีชีวิตชีวา กล่าวกันว่าเพียงยิ้มเดียวก็สามารถทำให้มวลบุปผาแย้มบานกลางเหมันตฤดู[5] ได้ส่วนบุตรชายคนที่สามก็คือเสิ่นเชียนฟาน เทพนักรบผู้เลื่องชื่อของอาณาจักรฉู่นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นช่วงแรกเริ่มของการห้ำหั่นแย่งชิงบัลลังก์ หรือในตอนหลังที่ต้องปราบปรามจลาจล ตระกูลเสิ่นก็ได้สร้างความดีความชอบมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ฉู่เยวียนมองเสิ่นเชียนฟานเป็นคนสนิทก่อนหน้านี้เสิ่นเชียนฟานคิดจะกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่เจียงหนาน แต่ใครจะคาดคิดว่าไปได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ต้องถูกราชโองการลับเรียกกลับมาอีกรอบ
“ลำบากแม่ทัพแล้ว” ฉู่เยวียนเดินลงมาจากบัลลังก์มังกร
“ฝ่าบาทตรัสหนักเกินไป เป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว” เสิ่นเชียนฟานถาม “ราชสำนักเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่เรียกเจ้ากลับมาก็เพราะทางจวนสกุลหลิวคล้ายจะมีความเคลื่อนไหว” ฉู่เยวียนตอบ “เราอยากจะจัดการพวกเขาให้สิ้นซากในคราวเดียว”
“ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะเลื่อนแผนการขึ้นมาหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียนฟานรู้สึกผิดคาด
“นี่ก็เรื่องหนึ่ง แต่ยังมีอีกเรื่อง” ฉู่เยวียนเอ่ย “ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินมาบ้างหรือยัง”
เสิ่นเชียนฟานส่ายหน้า “กระหม่อมควบม้าจากปากประตูเมืองตรงมายังวังหลวงทันที ไม่ได้พูดคุยกับผู้ใด ระหว่างทางก็ไม่ได้ยินข่าวลืออะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“กู่ลี่ถูกฆ่าตายแล้ว” ฉู่เยวียนกลับไปนั่งที่บัลลังก์มังกร
“เป็นจวนสกุลหลิวทำหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียนฟานขมวดคิ้วทันควัน
“เจ้าเองก็คิดเช่นนั้นสินะ” ฉู่เยวียนหัวเราะเย็น “เราเองก็คิดอย่างนั้น”
“ถ้าเช่นนั้นก็คือยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียน-ฟานเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ต่อให้จับตัวได้ ก็ได้แต่แสร้งทำเป็นยังจับไม่ได้อยู่ดี” ฉู่เยวียนตอบ “จะให้ทำอย่างไรได้”
เสิ่นเชียนฟานถามหยั่งเชิง “เช่นนั้นฝ่าบาทมีพระประสงค์จะทำอย่างไรต่อไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เราเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องนี้และสั่งให้คนนำไปส่งที่แคว้นอาหนี่ว์แล้ว” ฉู่เยวียนกล่าว “ด้วยนิสัยของซาต๋า กลัวก็แต่ว่าจะถูกคนยุแยงยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เดิมทีต้าฉู่ของเราก็เป็นฝ่ายผิดก่อน พลั้งเผลอเพียงนิดก็จะถูกผู้คนครหาได้”
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียนฟานผงกศีรษะ
“อ้ายชิงเร่งรีบมาตลอดทางก็คงจะเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนที่จวนก่อนเถอะ” ฉู่เยวียนกล่าว “ส่วนเรื่องอื่นนั้นเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยหารือกันอีกที”
“ทูลฝ่าบาท” ซื่อสี่กงกงส่งเสียงจากด้านนอกเข้ามาพอดี “ใต้เท้าหลิวแห่งกรมพระคลังมีเรื่องสำคัญขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพเสิ่นชะงักเท้าหยุดอยู่ตรงประตู
“ไปรอที่ด้านในก่อนเถอะ” ฉู่เยวียนโบกมือไปทางเสิ่นเชียนฟานเป็นสัญญาณบอกให้รีบหลบไป
เสิ่นเชียนฟานรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ใต้เท้าหลิวเปิดเผยจริงใจ หน้าท้องก็ใหญ่แลดูมีฐานะ เดิมทีควรจะต้องเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนถึงจะถูก แต่ปัญหาก็คือเขาพูดมากราวกับอิสตรีและยังชมชอบทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชัก หมายมั่นปั้นมือจะยกหลานสาวของตนให้แต่งกับเสิ่นเชียนฟานมาโดยตลอด หากพบหน้ากันเมื่อไหร่ก็จะพล่ามไม่หยุด ทำถึงกระทั่งวางแผนจะให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ด้วยซ้ำไป ช่างชวนให้คนปวดหัวยิ่งนัก
ดังนั้นให้หลบไปไม่ต้องพบกันจะดีกว่า
“เหล่าเฉินถวายบังคมฝ่าบาท” ใต้เท้าหลิวถือภาพเหมือนม้วนหนึ่งอยู่ในมือ
เสิ่นเชียนฟานกุมขมับอยู่ด้านหลังฉากกันลม
“อ้ายชิงลุกขึ้นเถอะ” ฉู่เยวียนเรียกข้ารับใช้ให้นำเก้าอี้มาให้
“เป็นพระกรุณาฝ่าบาท” หลังจากใต้เท้าหลิวนั่งลง สิ่งที่พูดถึงเป็นอย่างแรกก็คือแม่ทัพเสิ่น “เมื่อสักครู่ที่ประตูวัง กระหม่อมได้ยินว่าแม่ทัพเสิ่นกลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อะแฮ่ม” ฉู่เยวียนลูบคาง “กลับจวนแม่ทัพไปแล้วละ”
ใต้เท้าหลิวดวงตาฉายความดีใจ เห็นได้ชัดว่าวางแผนจะไปเยี่ยมเยือนถึงจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เสิ่นเชียนฟานตัดสินใจจะกินข้าวในวังให้เสร็จก่อนแล้วยามจื่อค่อยกลับจวน
“ที่อ้ายชิงมาถึงห้องหนังสือนี่ก็เพื่อมาหาเชียนฟานหรอกหรือ” ฉู่เยวียนถาม
“ไม่ใช่แน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหลิวผุดลุกขึ้นยืนแล้วถวายม้วนภาพวาดในอ้อมแขน “นี่คือภาพเหมือนที่แคว้นเกาลี่[6] เพิ่งจะส่งมาให้เมื่อวานนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ต้องการจะให้เราแต่งตั้งหวงโฮ่วอีกหรือ” ฉู่เยวียนขมวดคิ้วมองหญิงสาวงดงามอ้อนแอ้นในภาพวาด
“หนนี้ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหลิวส่ายหน้าไม่หยุด “หากฝ่าบาทมีพระประสงค์จะแต่งตั้งหวงโฮ่วก็ย่อมต้องคัดเลือกมาจากทั่วทั้งอาณาจักรเรียกหญิงสาวที่มีอายุเหมาะสม ความประพฤติดีงาม เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ปัญญาและรูปลักษณ์เข้ามาในวังต่างหากล่ะพ่ะย่ะค่ะ สตรีที่หน้าตาธรรมดาสามัญ ทั้งยังมาจากต่างแดนเช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถมาเป็นหวงโฮ่วแห่งต้าฉู่และเป็นมารดาของแผ่นดินได้” พอกล่าวจบยังเสริมต่ออีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ดูแล้วก็ผอมแห้งเกินไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ คงคลอดบุตรยากเป็นแน่”
ฉู่เยวียน “…”
“แค็ก ๆ” ต้วนไป๋เยว่ไอโขลก ๆ อยู่ในโรงเตี๊ยม
“เฮ้ ๆ!” ต้วนเหยารีบปิดปากโถที่อยู่เบื้องหน้า กลัวว่าเขาจะเป่าหนอนพิษกู่ของตนจนมันหนีไป
ต้วนไป๋เยว่กล่าว “รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”
“แต่งงานซะก็หายแล้ว” ต้วนเหยาพูดส่งเดช
ต้วนไป๋เยว่สงสัย “แต่งงานนี่รักษาโรคปวดหัวได้ด้วยหรือ”
“ก็น่าจะได้นะ ได้ยินมาว่าแต่งงานแล้วรักษาได้สารพัดโรคเลย” ต้วนเหยาย้ายหนอนพิษกู่ไปใส่ไว้ในขวด “คราวก่อนตอนพี่หญิงสามปวดท้องแม่ใหญ่หวังก็พูดว่าแต่งงานมีลูกซะ เดี๋ยวก็หายแล้ว ท่านก็ลองไปคลอดสักคนสิ”
ต้วนไป๋เยว่ “…”
พอเห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของใต้เท้าหลิวแล้ว ฉู่เยวียนก็อยากจะให้ข้ารับใช้มาแบกเขาออกไปเสียเหลือเกิน จะได้ไม่ต้องปวดหัวอีก
แต่เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าหลิวยังไม่รู้สึกอยากจะกลับแต่อย่างใด
ฉู่เยวียนจึงได้แต่ถาม “ถ้าอย่างนั้นทำไมอยู่ดี ๆ อ้ายชิงถึงถือภาพนี้มาให้เราดูกันล่ะ”
“สตรีนางนี้คือน้องสาวของเจ้าแคว้นเกาลี่ มีนามว่าจินซูพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหลิวกล่าวเป็นนัย “อายุอานามก็ถึงวัยออกเรือนพอดี แต่กลับไม่ยอมแต่งงานกับใคร ถามอยู่หลายครั้งกว่าจะยอมเอ่ยปาก ที่แท้ก็หมายปองต้วนหวัง[7] แห่งซีหนานพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เยวียน “…”
ใครนะ
ใต้เท้าหลิวกล่าวทวนให้เองอีกหน “ต้วนหวังแห่งซีหนานพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉู่เยวียน “…”
เสิ่นเชียนฟานที่อยู่หลังฉากกันลมได้ยินแล้วก็ประหลาดใจยิ่ง ในเมื่อองค์หญิงรัฐบรรณาการของตงเป่ย[8] ถูกตาต้องใจในตัวหวังแคว้นบรรณาการซีหนาน แล้วจะส่งภาพเหมือนเข้ามาในวังหลวงของต้าฉู่ทำไมกัน
“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับอ้ายชิงหรือ” ฉู่เยวียนก็ถามเช่นกัน
“ต้วนหวังนิสัยดุดันดื้อรั้น ทั้งยังเคยมีเรื่องผิดใจกับเกาลี่หวัง[9] มาก่อนอีกด้วย” ใต้เท้าหลิวอธิบาย “เกาลี่หวังปวดหัวกับเรื่องนี้มาก ทั้งยังรับมือน้องสาวตัวเองที่เอาแต่โวยวายไม่ไหวอีกต่อไป เพราะอับจนหนทางแล้วจริง ๆถึงได้คิดวิธีนี้ออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
“วิธีอะไร” ฉู่เยวียนยกถ้วยชาขึ้นกลบเกลื่อน
“เกาลี่หวังคิดจะทูลขอให้ฝ่าบาททรงร่วมมือด้วยเพื่อให้ต้วนหวังยอมรับการสมรสนี้พ่ะย่ะค่ะ” รอยยิ้มของใต้เท้าหลิวสุขสมอย่างเห็นได้ชัด “ต่อให้ไม่อาจเป็นชายาเอก ได้เป็นแค่อนุก็ไม่เป็นไร เกาลี่หวังไม่ใส่ใจเรื่องนี้ขอแค่ได้แต่งงานก็พอ แค่ได้แต่งงานก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
เสิ่นเชียนฟานยืนเอนกายอยู่ด้านหลัง รู้สึกยกย่องใต้เท้าหลิวจากใจจริงเป็นพ่อสื่อพ่อชักได้ตั้งแต่ตงเป่ยจรดซีหนาน ถือเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่งเลยทีเดียว
________________________________________
[1] ช่างไม้และนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงในยุคราชวงศ์โจวของจีนโบราณ ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งช่างไม้จีน ว่ากันว่าเครื่องมือช่างพื้นฐาน เช่น เลื่อย กบไสไม้ ไม้ฟุตฉาก สว่านเจาะและเครื่องมือเขียนเส้นตรง ล้วนเป็นผลงานการประดิษฐ์ของเขาทั้งสิ้น
[2] หมายถึง “ที่ราบภาคกลาง” คือพื้นที่ภาคกลางของจีนที่อยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง ปัจจุบันคือมณฑลส่านซี เหอหนาน หูเป่ย์ อานฮุย และชานตง
[3] หนึ่งชั่วยามเป็นหน่วยนับเวลาของจีนโบราณ เทียบเท่ากับสองชั่วโมง
[4] มาจากสำนวน “คนดีมักอายุสั้น คนชั่วอายุยืนเป็นพันปี”
[5] ฤดูหนาว
[6] ชื่อในสมัยโบราณของประเทศเกาหลี
[7] หมายถึงต้วนไป๋เยว่ เนื่องจากใช้แซ่ต้วนและมีบรรดาศักดิ์ “หวัง” บางครั้งจึงถูกเรียกสั้น ๆ ว่า “ต้วนหวัง”
[8] ดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เป็นพื้นที่ซึ่งเชื่อมระหว่างจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันประกอบไปด้วยมณฑลเหลียวหนิง จี๋หลิน เฮยหลงเจียง และพื้นที่ทางตะวันออกของเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน อันได้แก่ เมืองฮูหลุนเป้ยเอ่อ เมืองซินอัน เมืองทงเหลียวเมืองชื่อเฟิง และเมืองซีหลินเกอเร่อ
[9] อ๋องแห่งแคว้นเกาลี่