เล่ห์กลจักรพรรดิ ตอนที่ 4

[บทที่ 4 หรือว่าท่านจะแอบรักซาต๋า] ตระกูลหลิวที่แสนจะซับซ้อนยุ่งเหยิง
สำนักพิมพ์โรส

[บทที่ 4 หรือว่าท่านจะแอบรักซาต๋า]
ตระกูลหลิวที่แสนจะซับซ้อนยุ่งเหยิง

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ใต้เท้าหลิวก็เดินออกจากห้องทรงพระอักษรด้วยความงุนงง ในอ้อมแขนยังคงหอบม้วนภาพเอาไว้อยู่เมื่อกลับถึงบ้าน ฟูเหริน[1] เห็นเขามีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ก็รีบถาม “ฝ่าบาทไม่ทรงยอมรับช่วยเป็นตัวกลางการจับคู่ให้หรือเจ้าคะ”
ใต้เท้าหลิวส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ฝ่าบาททรงรับปากแล้วทั้งยังตรัสอีกว่าภาพเหมือนนั่นธรรมดาสามัญเกินไป จึงมีรับสั่งให้จิตรกรในวังวาดขึ้นมาใหม่”
“ท่านเล่นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้ ข้าก็นึกว่าถูกโยงไปเกี่ยวกับญาติผู้พี่ของท่านเลยโดนตำหนิมาอีกแล้ว” หลิวฟูเหรินถอนหายใจ
“เป็นสาวเป็นนางจะพูดมากอย่างนี้ไปทำไมกัน” พอใต้เท้าหลิวได้ยินก็ไม่พอใจ วางม้วนภาพลงบนโต๊ะแล้วกล่าว “ไปบอกให้ลูกสามหาช่างฝีมือเก่ง ๆ สักคนมาติดภาพนี้ขึ้นไป ข้าต้องการแขวนเอาไว้ในห้องโถง”
หลิวฟูเหรินได้ยินดังนั้นก็นึกประหลาดใจ คิดว่าเขาไข้ขึ้นเสียแล้ว“ภาพขององค์หญิงแคว้นเกาลี่ ท่านจะแขวนไว้กลางห้องโถงทำไมกัน”
“ภาพนั้นทิ้งไว้ในวังแต่แรกแล้ว อันนี้เป็นอักษรลายพระหัตถ์ของฝ่าบาท พระองค์พระราชทานฉายาให้ข้า” ใต้เท้าหลิวค่อย ๆ แกะเชือกอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาทพระราชทานฉายาให้ท่านด้วยหรือเจ้าคะ” หลิวฟูเหรินปลื้มปีติเป็นอย่างมาก พอรีบรุดเข้ามาชมดูก็เห็นว่าบนกระดาษเซวียนจื่อ[2]แต้มทองคำนั้นปรากฏตัวอักษรขนาดใหญ่อยู่ไม่กี่ตัว ฝีพู่กันหนักแน่นสง่าผ่าเผย องอาจทรงพลานุภาพยิ่ง
พ่อสื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า

อันที่จริงใต้เท้าหลิวสับสนวุ่นวายใจอยู่ไม่น้อย รู้สึกปลาบปลื้มดีใจอยู่หรอก แต่ก็คิดว่าอักษรไม่กี่ตัวนี้ยากจะนำออกมาอวดใครเขาได้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ไม่ได้เป็นแม่สื่อแม่ชักบนท้องถนนในเมืองหลวงที่ต้องทัดดอกไม้ตรงขมับเอาไว้สักหน่อยนี่นา
ในห้องทรงพระอักษร จิตรกรหลวงเอ่ยถามหลังจากได้ดูภาพวาดที่แคว้นเกาลี่ส่งมาแล้ว “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้แก้ไขอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“วาดให้ยิ่งสวยได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี” ฉู่เยวียนตอบ “ไม่ต้องไปสนใจว่าก่อนหน้านี้หน้าตาเป็นแบบไหน”
จิตรกรหลวงน้อมรับพระบัญชาแล้วออกไป ถึงตรงนี้เสิ่นเชียนฟานจึงโผล่ออกมาจากหลังฉากกันลม เขาถามด้วยความสงสัย “ฝ่าบาทจะทรงจับคู่ให้ซีหนานหวังจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แค่เรื่องเล็กน้อยเองนี่” ฉู่เยวียนวางถ้วยชาลง กล่าวตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “อายุก็ปูนนี้แล้ว ควรจะแต่งงานได้เสียที”
เสิ่นเชียนฟาน “…”
เรื่องนี้ก็ยังต้องเข้าไปยุ่งด้วยหรือ
“ในหมู่คนสกุลหลิวน่ากลัวว่าจะเหลือเขาอยู่คนเดียวที่ยังนับได้ว่าจงรักภักดี” ฉู่เยวียนกล่าวต่อ
“แล้วมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียนฟานถาม
“หลิวอี้สุ่ย? รายนั้นลื่นเป็นปลาไหล ดูไม่คล้ายจะเป็นคนทรยศ แต่ก็ยังไม่อาจนับได้ว่าซื่อสัตย์ภักดี” ฉู่เยวียนตอบ “หากว่าเขารู้จักวางตัว หนนี้เราก็ยังไม่คิดจะทำอะไรเขา”
เสิ่นเชียนฟานพยักหน้า “พอจวนสกุลหลิวถูกกำจัดไป ครั้งนี้น่ากลัวว่าคงมีคนในราชสำนักอีกไม่น้อยที่ต้องล้มลงไปด้วย ถึงตอนนั้นก็คงยากจะเลี่ยงไม่ให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ขุนนาง มีมหาเสนาบดีหลิวอยู่คอยช่วยไกล่เกลี่ยได้ก็ดีเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เยวียนถอนหายใจลึก พิงกายกับบัลลังก์มังกรพลางหลับตาลงช้า ๆ

ตระกูลหลิวเป็นคนของตระกูลฝั่งมารดาของไท่หวงไท่โฮ่ว[3] ครอบครัวพระประยูรญาติสายนอกนั้นแสนจะซับซ้อนยุ่งเหยิง ประชาชนในเมืองหลวงต่างพากันกระซิบกระซาบว่าจวนสกุลหลิวบนถนนเจิ้งหยางนั้นยิ่งสร้างยิ่งโอ่อ่าตระการตา ดูแล้วเกือบจะหรูหราเทียบเท่าพระราชวังอยู่แล้ว เจ้าตระกูลหลิวมีนามว่าหลิวกง เดิมทีเคยกุมอำนาจทหารปกปักรักษาดินแดนตงเป่ยไว้ในมือ อดีตจักรพรรดิฉู่เสียเวลาถึงสิบปีเต็มจึงค่อยลดทอนอำนาจทหารในมือเขาแล้วดึงกลับคืนมาได้ นอกจากนี้ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ก็ยังเรียกบรรดาขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารมายังเบื้องหน้าแท่นบรรทม แล้วพระราชทานตำแหน่งรัชทายาทให้กับฉู่เยวียนแทนที่จะเป็นเกาหวังฉู่เซี่ยง
และสิ่งแรกที่ฉู่เยวียนทำหลังขึ้นครองราชย์ก็คือลดฐานะของพี่ชายต่างมารดาผู้นี้เป็นสามัญชน ทั้งยังเนรเทศไปอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในเขตทะเลของซีหนาน ผู้ที่ถูกปลดตำแหน่งไปพร้อมกันนั้นยังมีหลิวจิ่นเต๋อ ผู้ว่าราชการแห่งเหลียวโจวซึ่งเป็นบุตรชายคนที่ห้าของหลิวกง
ด้วยเรื่องเหล่านี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่เยวียนกับจวนสกุลหลิวเป็นอย่างไรไม่ต้องให้เอ่ยออกมาก็เข้าใจได้เอง
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมิใช่คนโง่ ต่อให้ในใจมีความแค้นลึกล้ำเพียงใดแต่เปลือกนอกนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังคงพูดจาปราศรัยแย้มยิ้มให้กันตามปกติทว่าหลังจากเยียนจี้นั่งบัลลังก์มาได้หนึ่งปี หลิวกงก็กราบทูลขอลาออกจากตำแหน่ง อ้างว่าต้องการกลับไปอยู่ดูแลลูกหลานที่บ้าน ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข
ไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันมองว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการแสดงความอ่อนแอ แต่ฉู่เยวียนตระหนักดี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหลิวกงยังคงอยู่ในเมืองหลวงหรอก ต่อให้กลับไปบ้านเกิดที่ตงเป่ยก็เถอะ เขาก็ยังคงเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของตระกูลหลิว ขุนนางฝ่ายปกครองและพลเรือนในราชสำนักทุกคนทั้งบนล่าง ขอเพียงยังคบค้าสมาคมกับสกุลหลิวอยู่ก็จะยังคงเชื่อฟังคำของเขาเหมือนเดิม จะมีข้อยกเว้นอยู่แค่สองคน หนึ่งก็คือหลิวต้าจย่งที่เพิ่งจะมาเป็นพ่อสื่อพ่อชักเมื่อครู่ แต่ไหนแต่ไรมาเขากับจวนสกุลหลิวก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อ เหตุเพราะเขาเขลาเกินไปซื่อตรงมากไป และเพราะไม่มีความทะยานอยากแต่อย่างใด มุ่งมั่นตั้งใจแต่จะทำงานของตนในกรมพระคลังให้ดี ดังนั้นหลายต่อหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว อีกผู้หนึ่งก็คือหลิวอี้สุ่ยมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะว่าไปแล้วเขาก็นับว่าเป็นแค่คนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันกับหลิวกงเท่านั้นปีที่มาเข้าสอบรับราชการก็กราบอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์อยู่คนละสำนักกันอีกด้วย ทั้งยังมีอุปนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย ดังนั้นจึงมองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วในใจคิดอะไรอยู่กันแน่

“ฝ่าบาท แม่ทัพเสิ่น” ซื่อสี่กงกงที่อยู่ด้านนอกกล่าวเตือน “ได้เวลามื้อค่ำแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เย็นป่านนี้แล้วหรือนี่” ฉู่เยวียนตื่นจากภวังค์ ถึงแม้จะยังคงไม่รู้สึกอยากอาหาร แต่พอคิดขึ้นมาได้ว่าเสิ่นเชียนฟานเพิ่งจะเร่งรีบกลับมาจากแดนไกลต้องหิวแล้วเป็นแน่ จึงได้สั่งให้ตั้งสำรับอาหารเย็นและยังถึงกับร่วมดื่มสุรากับเขาอีกสองสามจอกด้วย จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทแล้วถึงให้ซื่อสี่ส่งออกจากวัง
“หากว่าเป็นขุนนางฝ่ายปกครองก็สมควรต้องไปส่ง แต่ข้าเป็นเพียงนายทหารธรรมดา ไม่ขอรบกวนกงกง” พอมาถึงหน้าประตูฉงเต๋อ เสิ่นเชียนฟานก็หัวเราะพลางกล่าว “เชิญท่านกลับไปเถอะขอรับ”
“ก็ได้ เช่นนั้นแม่ทัพเสิ่นก็รีบกลับไปพักผ่อนนะขอรับ” ซื่อสี่กงกงหัวเราะหึ ๆ “ข้าเองก็ต้องกลับไปปรนนิบัติฝ่าบาทเสวยโอสถแล้วเช่นกัน”
เสิ่นเชียนฟานพยักหน้า หันหลังแล้วเดินต่อไปยังด้านนอก ทว่ากลับถูกคนสกัดไว้กลางทาง
“…จิตรกรจาง?” พอเห็นชัดแล้วว่าคนที่มาเป็นใคร เสิ่นเชียนฟานก็ผ่อนลมหายใจ มาไม่ให้สุ้มให้เสียงอย่างนี้ นึกว่าเป็นใต้เท้าหลิวมาแนะนำคู่ดูตัวให้อีกแล้วเสียอีก
“แม่ทัพเสิ่น” จิตรกรจางมีความสัมพันธ์อันดีกับเขามาโดยตลอดด้วยเหตุนี้เองจึงไม่รู้สึกขัดเขินแต่อย่างใด “ข้าได้ยินเสี่ยวฝูบอกว่าแม่ทัพได้กินอาหารค่ำร่วมกับฝ่าบาท เลยรู้ว่าต้องมารอแม่ทัพอยู่ตรงนี้”
“อยู่ดี ๆ ท่านจะมารอข้าทำไมกัน” เสิ่นเชียนฟานไม่เข้าใจ
“มีเรื่องเล็กน้อยจะขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพน่ะสิ” จิตรกรจางตอบ “วันนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร แล้วมีภาพเหมือนขององค์หญิงแคว้นเกาลี่ที่พระองค์ตรัสว่าไม่โปรดเพราะคนในรูปเดิมนั้นไม่งาม มีพระประสงค์ให้วาดขึ้นมาใหม่”
“เช่นนั้นเจ้าก็วาดขึ้นมาใหม่เสียก็เรียบร้อย หรืออยากจะให้ข้าช่วยวาดให้ด้วยล่ะ” เสิ่นเชียนฟานหลุดขำ
“ข้าวาดเสร็จไปแล้ว แต่องค์หญิงเกาลี่ผู้นั้นหน้าตาธรรมดาเหลือเกินคิดดูแล้วจิตรกรคนแรกคงจะวาดให้สวยกว่าเก่าไปแล้ว ตอนนี้พอข้ามาปรับเปลี่ยนอีกรอบก็เกรงว่าจะไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ข้าเลยอยากจะมาถามท่านแม่ทัพว่ารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม หากบอกข้าได้ว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะใช้ภาพนี้ทำอะไร ข้าก็จะได้รู้ว่าต้องปรับเปลี่ยนอย่างไรไม่เช่นนั้นหากเป็นอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่มั่นใจจริง ๆ” จิตรกรจางกล่าวออกมารวดเดียวอย่างไม่มีหยุดพักหายใจ
เสิ่นเชียนฟานกล่าวให้เขาเบาใจลง “ใต้เท้าหลิวเป็นคนที่ส่งภาพเหมือนมา”
จิตรกรจางฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันที “โอ้ จับคู่ดูตัวนี่เอง”
เสิ่นเชียนฟานกลั้นยิ้ม “เจ้าก็แค่วาดไปเถอะ วาดไม่เหมือนก็ไม่เป็นไร” อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ฝ่าบาทจะอภิเษกสมรสเองสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะงดงามหรืออัปลักษณ์ คิดดูแล้วซีหนานหวังไม่น่าจะรับปากด้วยคงแค่อาละวาดโวยวายขึ้นมาสักรอบก็เท่านั้น
“ใช่ ๆ ๆ แบบนี้ก็ได้แล้ว อย่างนั้นข้าจะไปเอาภาพมาถวายฝ่าบาทเลย” จิตรกรจางดีอกดีใจ แล้วยังอดไม่ได้ที่จะคุยโว “ภาพของข้าภาพนี้วาดไว้ได้ดีมาก วาดตามคนงามอันดับหนึ่งของยุทธภพเชียวนะ” งามจนไม่รู้จะงามอย่างไรแล้ว เอาไปให้ใครจับคู่ดูตัวรับรองว่าต้องสำเร็จทุกราย
เสิ่นเชียนฟานตบบ่าเขาเบา ๆ จากนั้นก็หมุนกายสาวเท้ากลับไปยังจวนแม่ทัพ

อีกด้านหนึ่ง ณ ตำบลฝูตัว ต้วนเหยากำลังนั่งเขี่ยหนอนแมลงตัวเล็กตัวน้อยเล่นอยู่ในห้องพักของโรงเตี๊ยม ฉับพลันก็มีคนสี่ห้าคนกระโจนเข้ามาจากนอกหน้าต่าง จึงสะบัดมือซัดมีดบินใส่ไปเล่มหนึ่งทันที
“เป็นข้าน้อยเองขอรับ” คนที่มาหลบเลี่ยงไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ใจยังหวาดเสียวไม่หาย
“เป็นพวกเจ้า?” ต้วนเหยานึกสงสัย ทำไมมือสังหารของจวนซีหนาน-หวังถึงได้ตามมาถึงนี่
“จวนซีหนานเกิดเรื่องขอรับ” หนึ่งในผู้ที่มามีคนหนึ่งนามว่าต้วนเนี่ยนเป็นคนสนิทของต้วนไป๋เยว่
“ท่านอาจารย์ฟื้นคืนชีพอีกแล้วเหรอ” ต้วนเหยาตื่นตระหนก
“ถ้าท่านฟื้นขึ้นมาจริง ๆ ละก็ อย่างแรกที่จะทำก็คือมาคิดบัญชีกับเจ้า” ต้วนไป๋เยว่ผลักประตูเข้ามา
ต้วนเหยา “…”
“มีอะไร” ต้วนไป๋เยว่ถาม
ต้วนเนี่ยนตอบ “เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ หวังเยียจากมาได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีคนลอบเข้าไปขโมยของในเจดีย์เจินเป่าขอรับ”
“จดหมายปลอมพวกนั้นก็ถูกขโมยไปด้วยใช่ไหม” ต้วนไป๋เยว่ยิ้ม
ต้วนเนี่ยนตอบ “ขอรับ”
“ดีมาก” ต้วนไป๋เยว่พยักหน้าแล้วกล่าว “ในเมื่อมาแล้วก็ตามไปเมืองหลวงด้วยเลยก็แล้วกัน แต่จำไว้ว่าห้ามทิ้งร่องรอยเอาไว้เด็ดขาด”
ต้วนเหยาจิ้มหนอนตัวหนึ่งจนทะลุ พลางเบะปากในใจ
แน่ละสิ กระทั่งท่านเองก็ยังต้องไปแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เลย ข้ารับใช้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ตกลงเมื่อไหร่ถึงจะได้กลับซีหนานล่ะเนี่ย

อากาศหนาวผิดฤดูใบไม้ผลิที่มาเยือนยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นทุกที ดูแล้วไม่มีสัญญาณว่าอากาศจะกลับมาปลอดโปร่งสดใสเลย ต้วนเหยาห่มห่อตัวจนกลมดิกราวกับซาลาเปา หมกตัวอยู่บนรถม้าทั้งวันไม่ยอมออกมา
แต่ต้วนไป๋เยว่กลับไม่อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด ทั้งยังมีอารมณ์สุนทรีย์ถึงขนาดไปฟังเพลงที่โรงขับลำนำอีกด้วย
ต้วนเหยา “…”

เวลายี่สิบกว่าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และต้วนเหยาก็ถูกหิ้วออกมากลางดึกเพื่อไป “เอา” ราชโองการฉบับหนึ่งมาจากสถานีพักม้า[4]

“เดิมทีมันก็ต้องส่งไปที่จวนซีหนานหวังอยู่แล้ว” ต้วนไป๋เยว่นั่งเปิดจดหมายอยู่ข้างโต๊ะ ดังนั้นไม่นับว่าเป็นการขโมย
ต้วนเหยากลอกตา มือกุมถ้วยชาร้อนเดินเข้าไปหา “มีอะไรอีกล่ะ”
ต้วนไป๋เยว่กางราชโองการออก
เมื่อต้วนเหยาอ่านจบก็ตกใจเป็นที่สุด “จักรพรรดิฉู่ยังจะเข้ามายุ่งเรื่องท่านจะแต่งงานหรือไม่ด้วยเหรอ” ทำไมถึงได้มีงานอดิเรกเหมือนกับท่านป้าสะใภ้ที่จวนเลยล่ะ
ถัดมาต้วนไป๋เยว่ก็กางม้วนภาพออก
ต้วนเหยาตกใจยิ่งกว่าเดิม “จักรพรรดิฉู่จะจับเจ้าสำนักอู๋เสวี่ยแต่งกับท่านเหรอ”
“อู๋เสวี่ยอะไรกัน นี่คือองค์หญิงเกาลี่” ต้วนไป๋เยว่เคาะกะโหลกเขา
“องค์หญิงเกาลี่กับเจ้าสำนักอู๋เสวี่ยเป็นพี่น้องกันเหรอ” ต้วนเหยายกภาพวาดขึ้นส่องกับแสงตะเกียงดู “นี่มันเจ้าสำนักอู๋เสวี่ยชัด ๆ” คนงามอันดับหนึ่งของยุทธภพนี่ช่างงามแท้
ต้วนไป๋เยว่แย้มยิ้ม แล้วรวบเอาทั้งภาพวาดและราชโองการทิ้งลงในกระถางไฟไปพร้อมกัน จากนั้นเรียกต้วนเนี่ยนให้เข้ามาหา “ได้ข่าวอะไรมาอีกบ้าง”
“มีอีกเรื่องขอรับ” ตอนแรกต้วนเนี่ยนพยักหน้า ต่อมาก็ลังเลไปครู่หนึ่ง “แต่ว่าข้าน้อยยังไม่ได้สืบให้ชัดเจนดี”
“ลองพูดออกมาให้ฟังก่อน” ต้วนไป๋เยว่กล่าว
“ว่ากันว่าซาต๋าผู้ครองแคว้นอาหนี่ว์มาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ” ต้วนเนี่ยนตอบ
ต้วนไป๋เยว่ขมวดคิ้ว “เขาน่ะหรือ”
มีเรื่องอะไรน่าประหลาดใจกัน ต้วนเหยาที่อยู่ด้านข้างนึกตำหนิในใจท่านเองก็แอบลอบเข้ามาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ท่านมาได้แต่คนอื่นเขามาไม่ได้หรือไงกัน
“ต้องเป็นเขาไม่ผิดแน่ เขาพำนักอยู่ที่โรงรับจำนำในเมืองหลวงชั่วคราว คนของเราไปพบเข้าโดยบังเอิญขอรับ” ต้วนเนี่ยนตอบ “อีกทั้งกู่ลี่น้องชายของเขาก็เพิ่งจะถูกคนลอบสังหารในตรอกกลางเมืองหลวง ก่อนหน้านี้จักรพรรดิฉู่ทรงสืบเรื่องนี้ไปแล้ว แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวจนต้องรามือไปขอรับ”
ต้วนไป๋เยว่ส่ายหน้า ผุดลุกขึ้นยืนข้างโต๊ะแล้วกล่าว “ไปกันเถอะ”
“ไปไหน” ต้วนเหยาตกใจ นี่มันกลางดึกกลางดื่นนะ
“เมืองหลวง!” ต้วนไป๋เยว่สาวเท้ายาว ๆ ออกไปด้านนอก
ต้วนเหยาตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ใครที่ไหนเขาไปเมืองหลวงตอนนี้กัน
ต้วนเนี่ยนเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ใส่ใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“สงสัยจะแอบหลงรักซาต๋าคนนั้น” ต้วนเหยาจับหนอนแมลงใส่กลับเข้าถุงด้วยความขุ่นเคือง “เพราะงั้นพอได้ยินว่าเขาอยู่ที่เมืองหลวงก็ตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ รีบร้อนอยากลอบไปพบกันละสิ”

________________________________________
[1] หมายถึง ภรรยา สำเนียงแต้จิ๋วออกเสียงว่า “ฮูหยิน”
[2] เป็นกระดาษที่ผลิตในเมืองซวนเฉิง มณฑลอานฮุย ลักษณะกระดาษมีเนื้อสีขาวเนียนละเอียดทั้งยังเหนียวนุ่ม ถือเป็นกระดาษคุณภาพสูงที่สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นร้อยเป็นพันปี เหมาะแก่การเขียนอักษรและวาดภาพ
[3] พระอัยยิกา (ย่าหรือยาย) ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
[4] จุดพักที่ทางการสร้างขึ้นตามรายทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่และม้าสื่อสารได้พักแรม ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่และม้าสำรองคอยผลัดเปลี่ยนในกรณีที่เป็นสารด่วน อาทิ ราชโองการ เป็นต้น

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ
Status: Ongoing
อ่านนิยาย เล่ห์กลจักรพรรดิเรื่องย่อ เพราะถือกำเนิดในตระกูลหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ “ฉู่เยวียน” จึงต้องเดินทางหมากทุกตาด้วยความระมัดระวัง หากว่าพลาดพลั้งเพียงก้าวเดียวก็จะแพ้ราบคาบทั้งกระดาน ชันษาสิบแปดขึ้นครองราชย์ไม่ถึงครึ่งปี อวิ๋นหนานก็เกิดสงครามกลางเมือง แม้เหล่าขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักจะคิดอ่านแตกต่างกันไป แต่ทุกผู้ก็ล้วนกำลังเฝ้ารอดูว่า ตี้หวัง พระองค์ใหม่จะทรงยุติเรื่องนี้อย่างไร แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าตี้หวังยังไม่ทันจะได้ลงมือ ไกลออกไปพันหลี่นั้น ซีหนานหวัง “ต้วนไป๋เยว่” ก็ได้นำทัพออกเข่นฆ่าสังหารผู้ต่อต้านเสียแล้ว ใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็ปราบปรามจลาจลสงบลงได้ ภายในวังหลวงเงาจันทร์อ่อนจาง ฉู่เยวียน หยดครั่งผนึกจดหมายลับด้วยตัวเองแล้วเร่งส่งไปยังอวิ๋นหนานที่อยู่ห่างถึงแปดร้อยหลี่ “หนนี้ต้องการให้เราใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยน” ปลายพู่กันตวัดเส้นสายลึกซึ้งทรงพลังจนแทบจะมองเห็นได้ชัดว่ายามขีดเขียนอักษรประโยคนี้ ตี้หวังผู้อ่อนเยาว์กริ้วโกรธถึงเพียงใด ต้วนไป๋เยว่ กางกระดาษออกอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเพียงคำเดียวว่า “เจ้า”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset